บลจ.กสิกรไทย เปิดตัวประธานกรรมการบริหารคนใหม่ มั่นใจนำทัพรั้งตำแหน่ง บลจ.อันดับ 1

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 29, 2015 11:49 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 ม.ค.--บลจ.กสิกรไทย บลจ.กสิกรไทย เปิดแผนปี 2558 ภายใต้การนำของแม่ทัพใหม่ “วศิน วณิชย์วรนันต์” มั่นใจครองบัลลังก์ผู้นำ บลจ. อันดับ 1 ต่อเนื่อง ชูกลยุทธ์ช่องทางการให้บริการและให้คำแนะนำกับผู้ลงทุนอย่างครบวงจร พร้อมตอบสนองด้วยผลิตภัณฑ์การลงทุนที่หลากหลายในตลาด นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2557 ที่ผ่านมา บริษัทยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ในธุรกิจจัดการกองทุนด้วยมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 1,092,180 ล้านบาท คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณร้อยละ 21 โดยเติบโตขึ้นกว่าร้อยละ 14 จากปี 2556 ซึ่งถือเป็นการครองตำแหน่งผู้นำ บลจ.ได้อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 รวมถึงยังสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ทั้งในธุรกิจกองทุนรวม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมถึง กองทุน LTF/RMF กองทุนตลาดเงิน และ กองทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะกองทุนต่างประเทศ (FIF) นั้น บริษัทครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า ร้อยละ 44 หรือคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิกว่า 93,000 ล้านบาท มีกองทุนต่างประเทศถึง18 กองทุน ครอบคลุมทุกตลาดทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา ยุโรป และ เอเชีย และยังสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดีอีกด้วย “เป้าหมายในปี 2558 ของ บลจ.กสิกรไทย คือการครองตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ไว้อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในสิ้นปี 2558 บริษัทจะมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิถึง 1.2 ล้านล้านบาท โดยใช้ 3 กลยุทธ์หลักที่ครอบคลุมทั้งการเข้าถึงลูกค้า(Connecting) ด้วยการให้บริการที่ครบวงจรทั้งผ่านสาขาธนาคารกสิกรไทย ตัวแทนสนับสนุนการขาย และช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ การให้คำแนะนำด้านการลงทุน (Advice) โดยจะร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนหรือ K-Expert จากธนาคารกสิกรไทย รวมถึงพัฒนาช่องทางการสื่อสารอื่นๆทั้ง K-Contact Center, เว็บไซต์ และ สื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับผู้ลงทุนให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสุดท้ายคือนำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านการลงทุน (Investment) ซึ่งเป็นจุดเด่นของ บลจ.กสิกรไทย ที่มีกองทุนที่มีความหลากหลายอยู่แล้ว และมีศักยภาพที่จะพัฒนากองทุนประเภทใหม่ๆให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุนในทุกๆกลุ่มให้ได้ดียิ่งขึ้น” นายวศิน กล่าว ด้านมุมมองการลงทุน นายวศินเปิดเผยว่า “เศรษฐกิจโลกจะได้ปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำ รวมถึงการที่ธนาคารกลางของกลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่นยังคงอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 3 ในขณะที่มาตรการทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอมเริกา ที่แตกต่างกับธนาคารกลางของยุโรปและญี่ปุ่นอย่างมาก จะส่งผลให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ มีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ต้องจับตามองคือปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในยูเครนและกรีซ ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมการลงทุนทั่วโลกยังมีความผันผวนมากกว่าปีที่ผ่านมา กลยุทธ์การลงทุนของ บลจ.กสิกรไทย จึงเน้นลงทุนในประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดีจากนโยบายของธนาคารกลาง สำหรับเศรษฐกิจไทยคาดว่าจีดีพีจะเติบโตได้ถึงร้อยละ 4 โดยราคาน้ำมันที่ปรับลงอย่างมากจะส่งผลบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยเช่นกัน นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐและแผนการเบิกจ่ายงบประมาณ จะเสริมความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในด้านการใช้จ่ายและการลงทุนภาคเอกชนได้ อย่างไรก็ตามยังต้องจับตาผลประกอบการของหุ้นกลุ่มพลังงานที่อาจจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ซึ่งอาจทำให้การเติบโตของกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2558 อาจปรับตัวลดลง ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย คาดการณ์ว่าดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในช่วงปลายปี 2558 จะอยู่ที่ประมาณ 1,700 จุด และยังคงมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตราสารทุน เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนจากอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น เงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ และสภาพคล่องที่มีอยู่ในระดับสูงของโลกจากการดำเนินมาตรการ QE ของธนาคารกลางขนาดใหญ่ แม้ว่าจะมีความผันผวนบ้างจากความไม่แน่นอนของปัจจัยทั้งภายนอกและภายในประเทศ อีกทั้งความคาดหวังต่อการเติบโตที่ดีขึ้นได้สะท้อนไปในการปรับขึ้นของดัชนีในช่วงที่ผ่านมาแล้วส่วนหนึ่ง ทั้งนี้หากมองไปข้างหน้าปัจจัยพื้นฐานทางด้านผลประกอบการของบริษัท และการดำเนินนโยบายของภาครัฐจะเป็นปัจจัยหลักที่สามารถส่งทั้งผลบวกและผลลบต่อราคาหุ้น ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นจึงเน้นลงทุนในกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากนโยบายภาครัฐ และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ทางด้านแนวโน้มของการลงทุนในตราสารหนี้ บลจ.กสิกรไทย คาดว่า ดอกเบี้ยนโยบายและเงินฝากจะยังคงอยู่ในระดับต่ำ ตามอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำจากราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามนโยบายการเงินที่ยังคงอยู่ในลักษณะผ่อนคลายและเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ แรงกดดันเงินเฟ้อที่ต่ำและสภาพคล่องในระบบสถาบันการเงินยังอยู่ในระดับที่มากเพียงพอ น่าจะส่งผลบวกต่ออัตราดอกเบี้ยในปีนี้” นายวศิน กล่าวในที่สุด

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ