กรุงเทพฯ--12 ก.พ.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์
บมจ.กรุ๊ปลีส หนึ่งในผู้นำตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ รายงานกำไรไตรมาส 4 /57 พุ่ง 93.76 ล้านบาท หรือเติบโต 606% ซึ่งเป็นกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ GL หลังผลประกอบการเทิร์นอะราวด์ชัดเจน หวนคืนสู่ยุคเฟื่องฟูพร้อมประกาศรุกสินเชื่อรถจักรยานยนต์ในกลุ่มประเทศ CLMV อย่างเต็มที่เพื่อหนุนผลประกอบการสู่นิวไฮ
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL หนึ่งในผู้นำผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เปิดเผยถึงผลกำไรสุทธิในงบรวมของบริษัทฯ ในไตรมาส 4/57 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 93.76 ล้านบาท ซึ่งเป็นกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของ GL สะท้อนถึงผลประกอบการที่เทิร์นอะราวด์อย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบกับยอดรวมของกำไรสุทธิใน 9 เดือนแรกของปี 2557 ที่ทำได้เพียง 21.55 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยได้ฟื้นตัวเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ซบเซาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่ปี 2556 และในขณะเดียวกัน ผลกำไรจากธุรกิจบริษัทฯ ลูกในกัมพูชา ก็ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจากยอดกำไรสุทธิในไตรมาส 4/57 ที่ทำได้ 93.76 ล้านบาทนั้น แบ่งเป็นกำไรจากผลประกอบการในประเทศไทย 72.67 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ 21.09 ล้านบาท เป็นกำไรจากบริษัทฯ ในเครือในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลกำไรจากธุรกิจเช่าซื้อในประเทศกัมพูชา
“ตลาดกัมพูชานับว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพเติบโตได้อีกมากให้อัตราการทำกำไร (Profit Margin) สูงขณะที่มีหนี้สูญในอัตราที่ต่ำมาก โดย GL Finance (GLF) ซึ่งเป็นบริษัทฯ ลูกของ GL ได้สร้างเครือข่ายส่งเสริมการขายผ่านเอเย่นต์ของรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ซึ่งเป็นยี่ห้อยอดนิยมในกัมพูชาตามหัวเมืองทั่วประเทศถึง 132 แห่ง จึงสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าชาวกัมพูชาในการขอสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ได้อย่างเต็มที่” นายมิทซึจิ โคโนชิตะ กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจในกัมพูชาได้ผ่านจุดคุ้มทุนตั้งแต่กลางปี 2557 และเริ่มทำกำไรได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมาและเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4 ของปีก่อน ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าผลกำไรจากธุรกิจในกัมพูชาจะขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญจากนี้ไป เนื่องจากยอดปล่อยสินเชื่อรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มียอดประมาณ 2,000 คันต่อเดือนจะเพิ่มเป็น 3,000 คันในเดือนหน้าและเพิ่มขึ้นต่อเนื่องถึง 5,000 คันต่อเดือนภายในสิ้นปีนี้
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ กล่าวว่า จากศักยภาพการขยายตัวดังกล่าว บริษัทฯ คาดการณ์ว่ากำไรจากผลประกอบการในประเทศกัมพูชาจะเติบโตแบบก้าวกระโดดและมีโอกาสแซงหน้ากำไรในประเทศไทยภายในปี 2559 จากปัจจุบัน ธุรกิจในประเทศไทยมียอดปล่อยสินเชื่ออยู่ที่ 5,000-6,000 คันต่อเดือน
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเปิดตลาดใหม่ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเพิ่มเติม โดยได้เตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้านเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งออฟฟิศสำนักงานและระบบไอทีในการรองรับการดำเนินธุรกิจ ซึ่งขณะนี้รอเพียงใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจจากธนาคารแห่งชาติของ สปป.ลาว ซึ่งคาดว่า จะได้รับใบอนุญาตดังกล่าวในเร็วๆ นี้
ขณะที่ประเทศเมียนม่า ซึ่งเศรษฐกิจมีอัตราการขยายตัวที่ดีอันเป็นผลจากนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมืองของรัฐบาล บริษัทฯ ได้เริ่มศึกษาตลาดและเริ่มวางแผนงานโดยคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ในปี 2559 ส่วนตลาดประเทศเวียดนามนั้น บริษัทฯ ยังดำเนินการเจรจาอย่างต่อเนื่องกับผู้ประกอบการท้องถิ่นที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการเงินและเช่าซื้อเพื่อเข้าซื้อหรือควบรวมกิจการ
“ทั้งหมดนี้เป็นแผนงานของเราในการรุกใหญ่เข้าไปสู่ประเทศในกลุ่ม CLMV ที่เป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและยังมีอัตราการทำกำไรจากการดำเนินธุรกิจที่ดี ส่วนธุรกิจในไทย เรายังคงเดินหน้าขยายตัวต่อเนื่องเช่นกัน” นายมิทซึจิ โคโนชิตะ กล่าว
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 4/57 บริษัทฯ มีรายได้รวมจากดอกเบี้ยเช่าซื้อทั้งสิ้น 475.22 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 349.59 ล้านบาท โดยรายได้ดังกล่าวได้รวมงบของบริษัท ธนบรรณ ที่ GL ได้เข้าซื้อกิจการและควบรวมไปตั้งแต่กลางปี 2557 ที่ผ่านมา ส่วนกำไรสุทธิไตรมาส 4/57 ได้เพิ่มขึ้นถึง 93.76 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 606% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 13.19 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นขณะที่หนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญปรับลดลงและยอดขาดทุนจากการขายรถจักรยานยนต์มือสองก็ปรับลดลงอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
นายมิทซึจิ โคโนชิตะ กล่าวยืนยันว่า ผลกำไรของบริษัทฯ จากนี้ไปจะหวนคืนสู่ยุคเฟื่องฟูและคาดว่าจะสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องสู่นิวไฮ เนื่องจากกิจการในประเทศไทยเองยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยพอร์ตสินเชื่อรวมขยายตัวถึง 50% จากประมาณ 4,200 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี 2556 เพิ่มเป็น 6,300 ล้านบาท เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำไรจากผลประกอบการในกัมพูชาจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนี้ไปเช่นกัน