ทิสโก้ เวลธ์ ตอกย้ำภาพผู้นำที่ปรึกษาการลงทุน เชียร์ลงทุนหุ้นญี่ปุ่น-เยอรมันต่อเนื่อง หลังสร้างผลตอบแทนโดดเด่น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 9, 2015 09:30 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--6 มี.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป ทิสโก้ เวลธ์ ตอกย้ำภาพผู้นำที่ปรึกษาการลงทุน เชียร์ลงทุนหุ้นญี่ปุ่น-เยอรมันต่อเนื่อง หลังที่ผ่านมาแนะนำให้ผู้ลงทุนให้กระจายพอร์ตลงทุนในตลาดหุ้นดังกล่าวตลอด และสามารถสร้างผลตอบแทนได้ในระดับที่น่าพอใจ พร้อมแนะลดสัดส่วนลงทุนตลาดหุ้นไทย-สหรัฐฯ เหตุราคาหุ้นแพง ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไม่โดดเด่น ทิสโก้ เวลธ์ (TISCO Wealth) โดยนายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (Mr.Komsorn Prakobphol, Head of Strategy, Economic Strategy Unit, TISCO Financial Group Plc). เปิดเผยว่า กลยุทธ์การลงทุนในขณะนี้ ทิสโก้ เวลธ์ ยังคงมุมมองเดิมในการให้กระจายพอร์ตการลงทุนไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นเยอรมัน ซึ่งที่ผ่านมาทิสโก้ เวลธ์ ได้เน้นย้ำกลยุทธ์ดังกล่าวมาโดยตลอด และตลาดดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนได้ในระดับที่น่าพอใจ โดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับขึ้น 19% และเยอรมันขึ้น 17% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ทั้งนี้ภาพรวมของการลงทุนในปีนี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเยอรมัน ยังถือเป็นทางเลือกหลักที่นักลงทุนควรจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุน เพื่อสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทน โดยญี่ปุ่นจะมีปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชัดเจน จากมาตรฐานกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ ๆ ของรัฐบาล และการผ่อนคลายทางการเงิน ขณะที่เยอรมันเป็นประเทศที่เติบโตได้แข็งแกร่งที่สุดในแถบยุโรป นอกจากนี้ทิสโก้ เวลธ์ ยังคงคำแนะนำเดิมในการลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและสหรัฐฯ โดยตลาดหุ้นไทยติดลบ 1-2% สวนทางตลาดหุ้นโลกในช่วง 3-6 เดือนที่ผ่านมา เนื่องจากผลประกอบการที่อ่อนแอ และตัวเลขเศรษฐกิจที่ฟื้นช้ากว่าคาด ประกอบกับ Valuation ที่แพงกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค แต่อย่างไรก็ตามหากตลาดหุ้นไทยมีการปรับฐานลงมาถึงระดับที่น่าสนใจ ก็ถือเป็นโอกาสและจังหวะที่เข้าไปลงทุนเพื่อทำกำไรระยะสั้นได้เช่นกัน ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ แนะนำให้ลดสัดส่วนลง เนื่องจากแนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์จะกดดันผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้ “ทิสโก้ เวลธ์ ถือเป็นรายแรก ๆ ในตลาดที่มีการแนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเยอรมัน เนื่องจากเล็งเห็นถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศทั้งสอง ซึ่งตอนนี้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราได้คาดไว้ ทำให้ผลลงทุนที่ทำตามคำแนะนำได้รับผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจ ซึ่งกลยุทธ์หลังจากนี้เรายังคงกลยุทธ์เดิม โดยมองว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่นและเยอรมัน เป็น Top Pick ของการลงทุนในปีนี้ ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงเงินทุนไหลออกจากการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีนี้ ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ เราแนะนำให้ลดสัดส่วนลง เนื่องจากแนวโน้มการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์จะกดดันผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปีนี้” นายคมศร กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ