GL จับมือกลุ่ม J Trust ของญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์ ออกหุ้นกู้แปลงสภาพ 1,000 ล้านบาทรุกขยายตลาด CLMV+อินโดนีเซีย

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday March 9, 2015 10:52 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 มี.ค.--มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ บมจ.กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL หนึ่งในผู้นำผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ เดินหน้าออกหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Debentures) มูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ขายให้พันธมิตรทางยุทธศาสตร์กลุ่ม J Trust หนึ่งในผู้นำธุรกิจการเงินการธนาคารในญี่ปุ่นเพื่อรุกขยายตลาดเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และเครื่องจักรกลการเกษตรในกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนม่า เวียดนาม) และเตรียมเจาะตลาดใหม่ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในอาเซียน นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร GL กล่าวว่า คณะกรรมการของบริษัทฯ ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา ให้ออกหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible Debentures หรือ CDs) มูลค่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,000 พันล้านบาท โดยกำหนดระยะเวลาแปลงสภาพภายใน 3 ปี ที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น เพื่อขายให้กับบริษัท J Trust ที่เป็นกลุ่มการเงินการธนาคารชั้นนำของประเทศญี่ปุ่นและเป็นเจ้าของกิจการธนาคารในประเทศเกาหลีใต้และอินโดนีเซีย ทั้งนี้ เพื่อเป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์โดยอาศัยเครือข่ายธนาคารท้องถิ่นในอินโดนีเซียที่ชื่อ PT Bank Mutiara ซึ่ง J Trust ได้ควบรวมกิจการตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ช่วยสนับสนุนการรุกขยายธุรกิจเช่าซื้อของ GL เข้าสู่ตลาดอินโดนีเซีย โดยนายมิทซึจิ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า ธนาคารท้องถิ่นแห่งนี้สามารถระดมทุนจากแหล่งเงินทุนภายในประเทศมาสนับสนุน GL ในต้นทุนที่ต่ำกว่าหากเปรียบเทียบกับการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ โดยมติการออก CD จะนำเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปีของผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายนนี้ นายมิทซึจิ กล่าวว่า GL ได้รับข้อเสนอจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศหลายแห่งในรูปแบบต่างๆ เพื่อสนับสนุนทางด้านการเงินแก่ GL ในการรุกขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ท้ายที่สุดบริษัทฯ ได้ตัดสินใจเลือกกลุ่ม J Trust เป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ เนื่องจากเป็นข้อเสนอที่มีเงื่อนไขที่ดีที่สุดและสามารถเอื้อประโยชน์โดยตรงแก่ GL ในการสนับสนุนขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน นายมิทซึจิ กล่าวชี้แจงเพิ่มเติมว่า วัตถุประสงค์หลักส่วนหนึ่งของการออก CDs ครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจในกัมพูชา ซึ่งบริษัทฯ ประกอบธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า ที่เป็นแบรนด์ยอดนิยมมีส่วนแบ่งการตลาดดกว่า 80% และเครื่องจักรกลเกษตรแบรนด์ คูโบต้า ตั้งแต่ปี 2556 ที่ผ่านมา โดยประโยชน์พิเศษที่ GL ได้รับจากการออก CDs ครั้งนี้ทำให้การบริหารจัดการด้านการเงินมีความยืดหยุ่นมากขึ้นและ Dilution ในอัตราต่ำและไม่มีผลทันที โดยบริษัทฯ ไม่มีภาระเพิ่มเติมเนื่องจากไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน และประโยชน์ที่สำคัญอีกส่วนหนึ่งคือ ตราสาร CDs ชุดนี้ ออกในสกุลเงินยูเอสดอลลาร์ ซึ่งจะนำไปใช้ในประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากประเทศไทย โดยเฉพาะในกัมพูชา ซึ่งเงินสกุลยูเอสดอลลาร์เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและถือว่าสามารถป้องกันความเสี่ยงได้อย่างดี การเตรียมการรุกเข้าสู่ตลาดใหม่ในประเทศอินโดนีเซียครั้งนี้ บริษัทฯ ดำเนินการควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจอย่างเต็มที่ในกลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งมีความคืบหน้าอย่างน่าพอใจ โดยเฉพาะธุรกิจในประเทศกัมพูชาที่บริหารจัดการโดย GL Finance (GLF) ที่สามารถสร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำหลังจากผ่านพ้นจุดคุ้มทุนตั้งแต่กลางปี 2557 ที่ผ่านมา ในขณะที่บริษัทฯ กำลังเตรียมเปิดกิจการเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และเครื่องจักรกลการเกษตรในประเทศ สปป.ลาว ซึ่งการเตรียมการด้านบุคลากรและระบบต่างๆ มีความพร้อมเต็มที่อยู่แล้ว เพียงรอคอยใบอนุญาตจากธนาคารแห่งชาติของ สปป.ลาว โดยคาดว่าจะได้รับใบอนุญาตในเร็วๆ นี้ ส่วนประเทศเมียนม่า บริษัทฯ กำลังศึกษาตลาดและแผนงานด้านต่างๆ โดยตั้งเป้าจะเริ่มธุรกิจในปี 2559 ขณะที่ประเทศเวียดนามยังมีการเจรจาต่อเนื่องถึงความเป็นไปได้ในการเข้าควบรวมกิจการกับบริษัทที่ทำธุรกิจด้านเงินทุนคล้ายคลึงกัน การรุกใหญ่เข้าสู่ตลาด CLMV และการเปิดตลาดใหม่ในอินโดนีเซีย กำลังรุดหน้าไป หลังจากที่บริษัทฯ ได้รายงานผลประกอบการที่บ่งชี้ชัดเจนถึงการเทิร์นอะราวด์ โดยกำไรสุทธิในไตรมาส 4/57 พุ่งสูงถึง 93.76 ล้านบาท หรือเพิ่มมากกว่า 600% หากเทียบกับกำไรสุทธิของไตรมาส 4/56 ทั้งนี้ กำไรจากผลประกอบการในกัมพูชานับเป็นสัดส่วนกว่า 20% ของยอดกำไรสุทธิทั้งหมดในไตรมาส 4/57 นายมิทซึจิ แสดงความมั่นใจว่าแนวโน้มผลประกอบการในกัมพูชาจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง ในขณะที่การตั้งสำรองสำหรับหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญอยู่ในเกณฑ์ต่ำมาก คุณภาพของสินทรัพย์จัดว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าผลกำไรจากกัมพูชาจะสามารถแซงหน้าผลประกอบการในประเทศไทยภายในปี 2559 และสืบเนื่องจากการฟื้นตัวตลาดในประเทศด้วยทำให้ผู้บริหารของบริษัทฯ มีความมั่นใจว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2557 ที่ผ่านมาและกำลังเข้าสู่ยุคทองของธุรกิจที่มีอัตราการเติบโตและกำไรพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ