กรุงเทพฯ--16 มิ.ย.--IR network
บมจ.เค.ซี.เมททอลชีท (KCM) ส่งสัญญาณผลประกอบการไตรมาส 2/58 โตต่อเนื่อง เหตุคำสั่งซื้อไหลเข้าต่อเนื่อง-บริหารจัดการต้นทุนได้ดี ด้านผู้บริหารหนุ่มไฟแรง “นิพนธ์ เจริญกิจ” มั่นใจรายได้ทั้งปีเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ เตรียมบุกตลาดบ้านน็อกดาวน์ (บ้านสำเร็จรูป) คาดดีมานด์ทะลัก เนื่องจากการก่อสร้างมีความรวดเร็ว และมาตรฐานตรงตามความต้องการของลูกค้า แถมยังออกแบบดีไซน์ได้โดนใจ
นายนิพนธ์ เจริญกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี.เมททอลชีท จำกัด (มหาชน) (KCM) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายหลังคาเหล็กเมททัลชีท ภายใต้ตราสินค้า “รถถัง” และดำเนินธุรกิจจำหน่ายและติดตั้งโครงเหล็กสำเร็จรูปสำหรับอาคารโรงงาน คลังเก็บสินค้า รวมไปถึงการดำเนินธุรกิจให้เช่าอาคาร โรงงาน, โกดัง และคลังสินค้าสำเร็จรูป เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2/2558 เติบโตจากไตรมาส 2/2557 เนื่องจากมีจำนวนคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งบริษัทมีการวางแผนบริหารจัดการต้นทุนได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้แผนการดำเนินเป็นไปตามเป้าหมาย
“แนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 2 คาดว่าเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทได้รับคำสั่งซื้อเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้อัตราการทำกำไรขยายตัวอยู่ในทิศทางที่ดี อีกทั้งด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันนั้น ภาคครัวเรือนเริ่มมีใช้จ่ายมากยิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้การเติบโตของบริษัทเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้” นายนิพนธ์ กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทเล็งขยายตลาดโครงการบ้านน็อกดาวน์ (Knock down home หรือ บ้านสำเร็จรูป) มากขึ้น หลังจากบริษัทคาดว่าแนวโน้มความต้องการสร้างบ้านน็อกดาวน์หรือบ้านสำเร็จรูปมีปริมาณเพิ่มขึ้นเนื่องจากสามารถควบคุมงบประมาณการก่อสร้างได้ดี มีความรวดเร็วในการก่อสร้าง และงานมีคุณภาพได้มาตรฐานตามที่ลูกค้าต้องการ ประกอบกับสามารถออกแบบให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้นได้ไม่ต่างจากบ้านที่สร้างด้วยวิธีปกติ อีกทั้งยังลดปัญหาการขาดแคลนช่างในตลาดฝีมือ และที่สำคัญยังสามารถสร้างอัตราการทำกำไรของบริษัทได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้ บริษัทก็ยังคงมองหาโครงการใหม่ๆ เพื่อเสริมฐานรายได้และสร้างอัตราการทำกำไรที่ดีเพื่อการเติบโตของบริษัทอย่างมั่นคงในอนาคตต่อไป
ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 1/2558 บริษัทมีรายได้รวม 169.4 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 9.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 5.26 ล้านบาท ซึ่งเติบโตต่อเนื่องจากช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการรับรู้รายได้จากให้เช่าอาคารสำเร็จรูปจากโครงสร้างเหล็ก และบริษัทมีการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นทำให้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวปรับลดลงอย่างมาก