ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กร &หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน และแนวโน้ม “บ. สหโมเสคอุตสาหกรรม” ที่ “BBB-/Stable”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday June 24, 2015 16:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 มิ.ย.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งยืนยันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของ บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ "BBB-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิครายใหญ่อันดับ 3 ของไทย ตลอดจนตราสัญลักษณ์สินค้าที่เป็นที่รู้จัก และคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ รวมถึงส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นหลังจากการซื้อกิจการของ บริษัท ที.ที. เซรามิค จำกัด (มหาชน) และ บริษัท โรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสัดส่วนหนี้สินที่สูงขึ้นหลังการซื้อกิจการ รวมทั้งอัตรากำไรที่ลดลงหลังการรวมบริษัท ที.ที. เซรามิค ลักษณะที่เป็นวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมเซรามิค และความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาพลังงาน แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าสถานะการเงินของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในอีก 1-2 ปีข้างหน้าโดยเป็นผลจากการฟื้นฟูผลประกอบการของบริษัท ที.ที. เซรามิค อันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับขึ้นหากผลประกอบการโดยรวมของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการฟื้นฟูกิจการของบริษัท ที.ที. เซรามิค ได้อย่างยั่งยืน ในทางตรงข้าม อันดับเครดิตองค์กรและแนวโน้มอาจถูกปรับลดลงหากผลการดำเนินงานของบริษัท ที.ที. เซรามิค ลดลงต่ำกว่าที่คาดและฉุดให้ผลประกอบการโดยรวมของบริษัทต่ำกว่าระดับในปัจจุบัน บริษัทสหโมเสคอุตสาหกรรมเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องเซรามิครายใหญ่อันดับ 3 ของไทย โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 15% และมีกำลังการผลิตในประเทศที่ประมาณ 34 ล้านตารางเมตร (ตร.ม.) ต่อปี สินค้าของบริษัทประกอบด้วย กระเบื้องเซรามิค กระเบื้องตกแต่ง กระเบื้องดินเผา และกระเบื้องพอร์ซเลน บริษัทจัดจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียง 2 ตรา ได้แก่ "ดูราเกรส" และ "ดูราเกรส-ลีลา" โดยบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม เน้นผลิตกระเบื้องปูผนังที่มีคุณภาพสูงภายใต้ตราสัญลักษณ์ "อาร์ซีไอ" ในขณะที่บริษัท ที.ที. เซรามิคเป็นผู้ผลิตกระเบื้องพอร์ซเลนตราสัญลักษณ์ "เซอเกรส" ซึ่งเป็นกระเบื้องคุณภาพสูงสำหรับตลาดบน บริษัทและบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำหน่ายสินค้าในประเทศไทยมานานกว่า 30 ปี โดยสินค้าของบริษัทเน้นตลาดลูกค้าระดับกลางถึงระดับสูง ยอดขายในสัดส่วน 95% มาจากตลาดในประเทศ บริษัทเติบโตตามการขยายตัวของธุรกิจการค้าขายสินค้าสมัยใหม่เนื่องจาก 50% ของสินค้าของบริษัทจำหน่ายผ่านทางผู้ค้าปลีกสินค้าตกแต่งบ้านชั้นนำต่าง ๆ อันดับเครดิตของบริษัทมีข้อจำกัดจากการรวมผลการดำเนินงานที่ขาดทุนของบริษัท ที.ที. เซรามิค เข้ามาและการมีภาระหนี้สินที่สูงขึ้นจากการควบรวมกิจการ ซึ่งการขาดทุนที่ต่อเนื่องของบริษัท ที.ที.เซรามิค ได้ฉุดผลประกอบการโดยรวมให้อยู่ในระดับต่ำ อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของบริษัท ที.ที. เซรามิค มีการพัฒนาต่อเนื่องและมีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นบริษัทที่สร้างผลกำไรในอนาคต รายได้ของบริษัทในปี 2557 ลดลง 11.3% อยู่ที่ 3,314 ล้านบาทเนื่องจากผลของอุปสงค์ที่ชะลอตัวลง หลังจากเคยอยู่ในระดับสูงที่ 3,736 ล้านบาทในปี 2556 รายได้ของบริษัทลดลงมากกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมเนื่องจากบริษัทได้ตัดสินใจหยุดการผลิตกระเบื้องโมเสคลง อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (ก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ลดลงเหลือ 4.6% ในปี 2557 จาก 5.6% ในปี 2556 อัตรากำไรที่ลดลงสะท้อนถึงการแข่งขันในตลาดที่รุนแรงมากขึ้นและผลดำเนินการที่ยังคงขาดทุนของบริษัท ที.ที. เซรามิค ตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 บริษัทได้ทำการบันทึกผลประกอบการของบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม โดยใช้วิธีงบการเงินรวมแทนวิธีส่วนได้ส่วนเสียอันเป็นผลจากการปรับปรุงมาตรฐานการรายงานทางการเงิน โดยรายได้ตามงบการเงินรวมของบริษัทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2558 ลดลงเล็กน้อยที่ระดับ 2.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน เหลืออยู่ที่ 1,044 ล้านบาท ทั้งนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นเป็น 10.2% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2558 จาก 5.7% ในช่วงเดียวกันของปี 2557 ความสามารถในการทำกำไรที่ปรับตัวขึ้นเกิดจากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของบริษัท ที.ที. เซรามิค ทั้งนี้ รายได้ของบริษัท ที.ที. เซรามิค เพิ่มขึ้นเป็น 164 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2558 คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 10.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน บริษัทรายงานอัตรากำไรจากการดำเนินงานที่ 1.7% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2558 เพิ่มขึ้นจาก -15.4% ในปีก่อน คาดว่าผลประกอบการของบริษัท ที.ที. เซรามิค จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความพยายามในการเพิ่มอัตราการใช้กำลังผลิตและการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตรากำไรสูงขึ้น หลังจากบันทึกผลประกอบการของบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม ด้วยวิธีงบการเงินรวม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทโดยรวมก็ลดลงเหลือ 47.8% ณ เดือนมีนาคม 2558 เทียบกับ 49.8% ณ เดือนธันวาคม 2557 บริษัทมีหนี้สินโดยรวมเท่ากับ 2,219 ล้านบาท ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นกู้ของบริษัทจำนวน 798 ล้านบาท หนี้จากการปรับโครงสร้างหนี้ของบริษัท ที.ที. เซรามิค จำนวน 858 ล้านบาท และเงินกู้ระยะยาวของบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม จำนวน 284 ล้านบาท โดยนโยบายทางการเงินของบริษัทกำหนดให้แต่ละบริษัทจะต้องรับผิดชอบการชำระหนี้ของแต่ละบริษัทเอง ทั้งนี้ หนี้สินโดยรวมของบริษัทคาดว่าจะทยอยลดลงเนื่องจากบริษัทไม่มีแผนการลงทุนขนาดใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้ โดยบริษัทมีค่าใช้จ่ายส่วนทุนสำหรับงานบำรุงรักษาอยู่ที่ประมาณ 100-200 ล้านบาทต่อปี ในด้านของสภาพคล่องนั้น บริษัทได้ออกหุ้นกู้จำนวน 1,000 ล้านบาทในเดือนกรกฎาคม 2557 เพื่อใช้ชำระหนี้เงินกู้ร่วมเป็นหลัก ทั้งนี้ บริษัทได้ทำการซื้อคืนหุ้นกู้ 2 ครั้งซึ่งส่งผลให้จำนวนหุ้นกู้ลดลงเหลือ 798 ล้านบาท ณ เดือนมีนาคม 2558 บริษัทจะมีความเสี่ยงด้านสภาพคล่องจากการชำระเงินต้นครั้งเดียวเมื่อหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกรกฎาคม 2560 อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงลดทอนลงบางส่วนเนื่องจากคาดว่าบริษัทจะทยอยซื้อคืนหุ้นกู้ในอนาคต หนี้สินของบริษัทที.ที. เซรามิค มีภาระดอกเบี้ยที่ต่ำมากและมีการผ่อนชำระค่อนข้างยาว โดยมีกำหนดชำระหนี้สินจำนวน 26 ล้านบาทในปี2558 และ 53 ล้านบาทในปี 2559 ซึ่งทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัท ที.ที. เซรามิคจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เพียงพอสำหรับการชำระหนี้หลังจากการดำเนินงานเริ่มฟื้นตัว ในส่วนของบริษัทโรแยล ซีรามิค อุตสาหกรรม นั้นจะต้องมีภาระในการผ่อนชำระประมาณ 42 ล้านบาทต่อปีสำหรับเงินกู้ระยะยาวจำนวน 284 ล้านบาท ความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของบริษัทยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เมื่อเปรียบเทียบกับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทโรแยลซีรามิค อุตสาหกรรม ที่ระดับ 80 ล้านบาทในปี 2557 ในอนาคต ทริสเรทติ้งมองว่าผลประกอบการของบริษัทจะมีแนวโน้มดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 2558 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากงบการลงทุนของรัฐบาลและต้นทุนก๊าซธรรมชาติที่ต่ำลง ความเป็นไปได้ที่บริษัท ที.ที. เซรามิค จะฟื้นกลับมามีกำไรอีกครั้งจะเป็นปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ผลประกอบการของกลุ่มดีขึ้น รวมถึงโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตด้วย ความเสี่ยงด้านลบต่ออันดับเครดิตอาจจะเกิดความเป็นไปได้ที่การลงทุนของรัฐบาลจะล่าช้าออกไป ซึ่งจะส่งผลให้ความต้องการในกลุ่มวัสดุก่อสร้างลดลงและก่อให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาระหว่างผู้ผลิตกระเบื้องด้วยกัน บริษัท สหโมเสคอุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) (UMI) อันดับเครดิตองค์กร: BBB- อันดับเครดิตตราสารหนี้: UMI177A: หุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน 800 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2560 BBB- แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ