กรุงเทพฯ--15 ก.ย.--แมสคอท คอมมิวนิเคชั่น
การเคลื่อนไหวของร่างกาย มีอยู่ 3 ส่วนหลัก คือ สมองและประสาท กระดูกและข้อ และกระดูกสันหลัง ซึ่งทั้ง 3 ส่วนนี้จะทำงานประสานกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ จึงควรดูแลรักษาร่างกายให้ถูกวิธี เพื่อชะลอความเสื่อม รวมไปถึงเรื่อง เวชศาสตร์การกีฬา สำหรับการบำบัด ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ เพื่อเพิ่มสมรรถภาพทางด้านร่างกายให้แข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดประสบการณ์อิสระทุกการเคลื่อนไหว รวมพลัง Best Team & Best Technology จาก 6 ศูนย์ที่ดูแลด้านการเคลื่อนไหวของร่างกายทุกช่วงวัย มาช่วยอัพเดตทุกปัญหาในการเคลื่อนไหวร่างกาย ผ่าน "โครงการ Enjoy The Moveคืนความสุขให้ทุกการเคลื่อนไหว" รณรงค์ให้ใส่ใจสุขภาพ พร้อมเปิดตัวหนังสั้นสร้างแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของผู้ป่วยที่มีความผิดปกติทางการเคลื่อนไหวมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวให้ติดตามชม
นพ. กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานคณะผู้บริหารศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องดูแล ยิ่งต้องเคลื่อนไหว ก็ต้องใส่ใจทุกจังหวะ โรงพยาบาลกรุงเทพจึงผนึกกำลัง 6 ศูนย์เฉพาะโรคที่ดูแลรักษาทุกปัญหาการเคลื่อนไหวของร่างกายทุกช่วงวัย ได้แก่ ศูนย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ สถาบันโรคกระดูกสันหลังกรุงเทพ ศูนย์ข้อสะโพกและข้อเข่ากรุงเทพ ศูนย์กระดูกและข้อกรุงเทพ ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูกรุงเทพ และ สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกายกรุงเทพ (BASEM) จัดกิจกรรม "คืนความสุขให้ทุกการเคลื่อนไหว หรือ Enjoy The Move" ที่จะช่วยเติมเต็มศักยภาพและสมรรถภาพของร่างกาย และในงานยังมีการเปิดตัวหนังสั้นสร้างแรงบันดาลใจ ถ่ายทอดจากประสบการณ์จริงของผู้ป่วยที่มีการเคลื่อนไหวจากโรคพาร์กินสัน โรคกระดูกข้อสันหลังอักเสบยึดติด และกระดูกเชิงกรานหัก โดยฝีมือการกำกับและเขียนบทของคุณสุรัสวดี เชื้อชาติ หรือ มาม่าบลู นอกจากนี้เรายังจัดกิจกรรมสุขภาพสำหรับประชาชนที่สนใจเสวนาให้ความรู้เคล็ดลับ เรื่อง ไขปริศนาเดิน...ไม่รู้...ล้ม จากทีมแพทย์ด้านกระดูกสันหลัง กระดูกและข้อ หัวข้อ การป้องกันการล้มในผู้สูงอายุ โดยแพทย์ด้านโรคสมอง และระบบประสาท หัวข้อ ออกกำลังอย่างไร...หยุดล้ม โดยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูกรุงเทพ และกิจกรรมที่ออกแบบมาเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงในการล้ม พร้อมอัพเดทเทคโนโลยีทันสมัยที่ช่วยให้คุณ "หยุด! ล้มด้วยตัวคุณเอง" ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดจากทีมแพทย์และนักกายภาพบำบัด พร้อมแนะนำเทคโนโลยีป้องกันการล้มอาทิ Balance Master ตรวจความสามารถในการทำกิจกรรมประจำวัน อาทิ จุดศูนย์ถ่วงของร่างกาย การหมุนตัว ความสมดุลขณะยืนหรือก้าวเดิน ความเร็วของการตอบสนอง Virtual Reality จำลองสภาวะเสมือนจริงเพื่อฝึกกล้ามเนื้อและข้อ การทรงตัวในชีวิตประจำวัน หรือการเล่นกีฬา โดยในโครงการครั้งนี้โรงพยาบาลกรุงเทพมีความคาดหวังให้ประชาชนหันมาตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสังเกตความผิดปกติของร่างกายทุกส่วนโดยเฉพาะในด้านการเคลื่อนไหวมากขึ้น พร้อมเพิ่มความมั่นใจในด้านการรักษาให้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถดำรงชีวิตปกติได้ในสังคมอีกครั้ง
นพ.อภิชาติ พิศาลพงศ์ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาทกรุงเทพ กล่าวว่า โรคพาร์กินสัน เป็นโรคความเสื่อมของสมองที่เกิดจากขาดสารโดปามีน พบมากในคนที่อายุ 60 ปีขึ้นไป และอาจพบในวัยกลางคนที่มีสมาชิกในครอบครัวเคยเป็นโรคนี้มาก่อน มักเริ่มด้วยอาการสั่นที่แขนขา กราม หรือใบหน้า กล้ามเนื้อเกร็ง เคลื่อนไหวช้า พูดหรือกลืนลำบาก ซึมเศร้าหดหู่ หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นอาการปกติของผู้สูงอายุ แต่หากปล่อยไว้จนอาการทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำให้ร่างกายฟื้นตัวยาก ถึงแม้พาร์กินสันจะเป็นโรคเรื้อรังแต่สามารถควบคุมอาการได้ โดยการตรวจ PET Brain F-DOPA หาความผิดปกติของสมองส่วนที่สร้างสารโดปามีน ช่วยวินิจฉัยระยะความรุนแรงของโรค หรือการผ่าตัดฝังไมโครชิปกระตุ้นสมองส่วนลึก DBS Therapy เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหว ลดการใช้ยา ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น การรักษาด้วยเทคนิค Deep Brain Simulation (DBS Therapy) เป็นการรักษาที่สามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคพาร์กินสันได้ โดยวิธีนี้แพทย์จะฝังอิเล็กโทรดเข้าไปในสมองและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เรียกว่าเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ซึ่งสามารถตั้งค่าโปรแกรมการทำงานได้จากภายนอก อุปกรณ์ตัวนี้จะส่งสัญญาณไฟฟ้าอ่อนๆ เข้าไปยังสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว และป้องกันไม่ให้สมองส่งคำสั่งบางอย่างที่เป็นสาเหตุของการเคลื่อนไหวผิดปกติ ทำให้สามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น และสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ดีกว่าเดิม
นพ.ปรเมษฐ์ เจริญธนากร ผู้อำนวยการสถาบันโรคกระดูกสันหลังกรุงเทพ กล่าวว่า โรงพยาบาลกรุงเทพเลือกสรรวิธีที่เหมาะสมและดีสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย พร้อมให้การรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวม คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่ผู้ป่วยจะได้รับ จนได้รับรองมาตรฐานการรักษาเฉพาะทางด้านโรคปวดหลังจาก JCI สหรัฐอเมริกา จุดเด่นของการรักษาคือ การทำงานร่วมกันเป็นทีมภายใต้ความร่วมมือของทีมแพทย์สหสาขา ได้แก่ ประสาทศัลยแพทย์ แพทย์ศัลยกรรมกระดูก แพทย์ประสาทวิทยา จิตแพทย์ วิสัญญีแพทย์ แพทย์ เวชศาสตร์ ฟื้นฟู พยาบาลวิชาชีพ และเจ้าหน้าที่เทคนิค จะร่วมกันให้การดูแลผู้ป่วย ที่มีความผิดปกติทาง ด้านกระดูกสันหลังอย่างเป็นระบบ พร้อมเครื่องมือที่ทันสมัย นอกจากนี้ แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะกับคนไข้แต่ละราย เพื่อต้องการให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการรักษาแบบบลอคเส้นประสาทระงับความปวด แบบอินเตอร์เวนชั่น(Intervention)ด้วยการฉีดยาลดอาการอักเสบเข้าช่องเส้นประสาทเฉพาะจุด (Selective Nerve Root Block) เพื่อลดอาการปวดร้าวเข้าเส้นประสาท หรือการจี้ข้อกระดูกสันหลังด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง (Pulse radio-frequency) หากไม่สามารถแก้ไขได้ แพทย์จะเลือกวิธีการผ่าตัดแบบแผลเล็ก (Minimal Invasive Surgery)เข้ามาใช้เพื่อลดการทำลายกล้ามเนื้อของผู้ป่วย โดยเลือกการผ่าตัดแบบด้านหน้า ด้านข้างลำตัว หรือด้านหลัง ซึ่งมีข้อดีคือ กล้ามเนื้อบอบช้ำน้อย เสียเลือดน้อย ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็ว ลดปัญหาปวดหลังเรื้อรังและภาวะพังผืดเกาะเส้นประสาท และที่สำคัญคือ มีโรคแทรกซ้อนต่ำ คนไข้ไม่ต้องอยู่รพ. นาน สามารถกลับไปพักฟื้นและกายภาพต่อได้ที่บ้าน
นพ.วัชระ พิภพมงคล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ศูนย์กระดูกและข้อกรุงเทพ กล่าวว่า ปัจจุบันภาวะกระดูกหักมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจากอุบัติเหตุ หรือจากโรคกระดูกพรุน ผู้ป่วยกระดูกหักส่วนหนึ่งยังคงประสบปัญหาภายหลังการรักษา เช่น กระดูกติดผิดรูป กระดูกไม่ติด ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เหมือนเดิม ปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจาก การไม่สามารถจัดกระดูกให้เข้าที่ได้ใกล้เคียงปกติหรือการยึดตรึงกระดูกหักไม่มั่นคง ไม่ได้องศาที่เหมาะสม เนื่องจากการรักษากระดูกหักที่มีความสลับซับซ้อนให้ได้ผลการรักษาที่ดีและผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมได้ใกล้เคียงเดิมมากที่สุดนั้น มีความจำเป็นที่ต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาในเวลาที่รวดเร็ว ด้วยศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ที่มีความรู้ ทักษะ และความชำนาญในการดูแลรักษาผู้ป่วยกระดูกหักโดยเฉพาะ รวมถึงการทำงานเป็นทีม อุปกรณ์เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ทันสมัย และการผ่าตัดรักษานั้นก็ต้องเป็นการรักษาที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อเนื้อเยื่อให้น้อยที่สุด เพื่อให้ผิวหนัง กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุอยู่แล้วไม่เสียหายมากขึ้น จึงจะให้ผลการรักษาที่ดีผู้ป่วยเจ็บปวดน้อยลง กระดูกเชื่อมติดได้ เคลื่อนไหวข้อต่างๆและฟื้นตัวเข้าสู่สภาวะก่อนบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็ว สิ่งเหล่านี้ยิ่งมีความสำคัญมากในผู้ป่วยสูงอายุ มีภาวะกระดูกพรุนและมีโรคประจำตัวหลายๆโรค หรือในผู้ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บอย่างรุนแรง มีกระดูกหักหลายตำแหน่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกที่มีความสลับซับซ้อนและเป็นบริเวณที่เสี่ยงอันตราย เช่นกระดูกเชิงกรานหัก ยิ่งต้องใช้ความรู้ความชำนาญในการผ่าตัดรักษาที่มีความเฉพาะทางมากขึ้น เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงและเปราะบางเหล่านี้ ความพร้อมในทุกมิติจึงมีส่วนสำคัญยิ่งเพื่อให้ผู้ป่วยได้มีโอกาสกลับไปใช้ชีวิตและเคลื่อนไหวอย่างมีความสุขต่อไป
พญ. สุชีลา จิตสาโรจิตโต ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูกรุงเทพ กล่าวว่า รูปแบบการกายภาพบำบัดเพื่อรักษาผู้ป่วยมีทั้งแบบสำหรับผู้ป่วยไม่ต้องผ่าตัด และต้องผ่าตัด ซึ่งแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูจะเป็นผู้กำหนดวิธีการกายภาพให้เหมาะสมกับคนไข้แต่ละราย โดยจุดเด่นของวิธีรักษาด้วยการทำกายภาพระยะสั้น คือ สามารถบรรเทาการเจ็บปวด ลดการใช้ยา ให้ความรู้การจัดท่าทางและการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการเกิดโรคในแต่ละบุคคล และกายภาพระยะยาว คือ ดูแลตัวเองได้ถูกต้อง ออกกำลังให้ถูกกับตัวโรค และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับการกายภาพบำบัดสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องผ่าตัด จะใช้วิธีกายภาพด้วยเครื่องมือต่างๆ อาทิ การประคบร้อน กระตุ้นไฟฟ้า ฝังเข็ม ธาราบำบัด ฯลฯ เพื่อการลดปวด และควรหาสาเหตุ เฝ้าระวังป้องกันโรคก่อนที่จะรุนแรงขึ้น เช่น สังเกตพฤติกรรมออกกำลังกายผิดวิธี คงค้างอยู่ในท่าที่ผิดลักษณะเป็นเวลานานๆ ฯลฯ เพื่อหาวิธีการแก้ไขด้วยการให้ความรู้ในแนวทางที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันการเกิดโรคในแต่ละบุคคล แต่สำหรับผู้ป่วยที่ต้องรับการผ่าตัด แพทย์ต้องดูแลความพร้อมของผู้ป่วยก่อนการผ่าตัดและหลังจากผ่าตัด เพื่อลดอาการแทรกซ้อน ฟื้นฟูสุขภาพให้ผู้ป่วยสามารถกลับบ้านแล้วดูแลตนเองได้อย่างถูกวิธี โดยเฉพาะส่วนหลังและสุขภาพองค์รวมไปถึงหัวใจและปอดให้แข็งแรง พร้อมทั้งเรียนรู้การออกกำลังกาย เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ แต่สำหรับผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ เช่น มีโรคประจำตัวต่างๆ ที่มีความเสี่ยงสูง แพทย์ต้องดูแลประคับประคอง เพื่อลดโอกาสเกิดการดำเนินโรคที่รุนแรงมากขึ้น รวมไปถึงฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจให้ได้สูงสุดเท่าที่สภาพร่างกายอำนวย เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ และสามารถทำกิจกรรมที่ชื่นชอบอย่างมีความสุขได้นานยิ่งขึ้นนั้น ทำได้ไม่ยาก นอกจากการทานอาหารครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว ควรหมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายอยู่เสมอ เพราะการรู้ก่อนเราย่อมสามารถป้องกัน หรือชะลอโรคต่างๆ ได้ หากพบความผิดปกติของร่างกายก็อย่าชะล่าใจ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาอย่างเหมาะสม เพื่อให้คุณเคลื่อนไหวได้อย่างมีความสุข มีอิสระทุกการเคลื่อนไหว "Enjoy the Move"
ติดตามข้อมูลการรักษาและเรื่องราวของความหวัง ผ่านหนังสั้น จำนวน 3 เรื่อง Hope Story เค้าโครงจากเรื่องจริงในธีม "อย่าหันหลังให้กับความหวัง เพราะความหวังคือสิ่งสุดท้ายที่เราควรจะสูญเสีย" ส่วนหนึ่งในแคมเปญ enjoy the move ได้ที่ www.bangkokhospital.com หรือร่วมติดตามได้ที่ hashtag #EnjoyTheMove
โดย บริษัท แมสคอท คอมมิวนิเคชั่น จำกัด 02-732-6069-70