PwC เผยความมั่นใจซีอีโอเอเปกต่ำสุดในรอบ 3 ปี แต่ชี้ไทยติด 1 ใน 5 ตลาดน่าลงทุนแม้เศรษฐกิจแย่

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday November 19, 2015 09:40 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--19 พ.ย.--PwC ประเทศไทย PwC เผย 'ซีอีโอเอเปก' มั่นใจรายได้ปีหน้าเติบโต ลดลงเหลือ 28% จาก 46% ในปีก่อน ต่ำสุดในรอบ 3 ปี หลังเศรษฐกิจจีนชะลอตัว เศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่เริ่มมีความเสี่ยง แถมการเมืองทั่วทั้งภูมิภาคยังมีความไม่แน่นอน แต่ไทยยังติด 1 ใน 5 ตลาดน่าลงทุน แม้เศรษฐกิจยังเปราะบาง เพราะเป็นฐานการผลิตใหญ่ของหลายอุตสาหกรรม ระบบตลาดเงินแข็งแกร่ง แต่ยังพ่ายอินโดนีเซีย-เวียดนาม-ฟิลิปปินส์ ชี้ภาคธุรกิจเอเปกตื่นตัวมากขึ้นสู่การเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล นาย ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหารและหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงผลสำรวจ APEC CEO Survey 2015: 'CEO confidence in Asia Pacific shaken but strong' ที่ใช้เผยแพร่ในการประชุมสุดยอดผู้นำ APEC CEO Summit ประจำปี 2558 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งทำการสำรวจซีอีโอและผู้นำในอุตสาหกรรมชั้นนำ จำนวน 800 ราย ใน 52 เขตเศรษฐกิจรวมทั้งสมาชิกกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปก) จำนวน 21 ประเทศว่า ซีอีโอเอเปกมีความมั่นใจต่อการเติบโตของธุรกิจและการเพิ่มขึ้นของรายได้ในอีก 12 เดือนข้างหน้าลดลง เหลือเพียง 28% จากปีก่อนที่ความมั่นใจอยู่ในระดับ 46% โดยตัวเลขดังกล่าวถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2555 "สาเหตุหลักที่ทำให้ความมั่นใจลดลงอย่างมีนัยในปีนี้เป็นเพราะเศรษฐกิจจีนที่เริ่มส่งสัญญาณการชะลอตัวตั้งแต่เมื่อกลางปีที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการบริโภคในตลาดและการค้า การลงทุนชะลอตัวตามลงไปด้วย ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าว ได้ขยายวงกว้างและส่งผลกระทบไปยังกลุ่มตลาดเกิดใหม่ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของตลาดเงินตลาดทุนทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมา ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นใจของซีอีโอเอเปกโดยรวม" นาย ศิระ กล่าว "นอกจากการปรับปรุงตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจต่างๆ ให้ดีขึ้นเพื่อฟื้นความมั่นใจของซีอีโอเอเปกแล้ว ผมยังคาดหวังว่า นโยบายและกฎระเบียนด้านการค้าจะต้องมีความโปร่งใสมากขึ้นเพราะทั้งหมดจะช่วยหนุนความเชื่อมั่นของเอกชน" อย่างไรก็ตาม นอกจากความเสี่ยงด้านตลาดจะกระทบความเชื่อมั่นในการเติบโตของธุรกิจและรายได้แล้ว ยังพบว่า ปัจจัยทางการเมือง (Geopolitical tension) เป็นอีกความเสี่ยงหนึ่งที่ซีอีโอเอเปกถึง 88% มองว่าหากมีสถานการณ์ความตึงเครียดทางการเมืองปุทะขึ้นในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของพวกเขาอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับ 78% ของซีอีโอเอเปก ที่มองว่า การชะลอตัวทางเศรษฐกิจของจีนอย่างรุนแรงจะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ยังคาดการณ์ว่า ประเทศหลักจาก 21 เขตเศรษฐกิจเอเปก ได้แก่ ฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ไทเป เปรู และไทย (ยังไม่แน่นอน) มีแผนการเปลี่ยนแปลงผู้นำประเทศในปี 2559 หรือบางประเทศที่ได้มีการปรับเปลี่ยนผู้นำไปแล้วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ สิงคโปร์ แคนาดาและออสเตรเลีย นอกจากนี้ ในปีหน้าจีนยังเตรียมกำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ 13 ระยะเวลา 5 ปี ระหว่างปี 2559-2563 ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ซีอีโอเอเปกต่างเฝ้าระวังและติดตามอย่างใกล้ชิด ไทยติด 1 ใน 5 ตลาดน่าลงทุน แม้ศก. ซบ ทั้งนี้ จากผลสำรวจพบว่า แม้ความมั่นใจต่อการเติบโตของธุรกิจและรายได้ในปีหน้าจะลดลง แต่ซีอีโอเอเปกถึง 53% วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนในภูมิภาคในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยส่วนใหญ่ (68%) มองว่าการกระจายการลงทุนใหม่ๆ จะอยู่ภายในเขตเศรษฐกิจเอเปก โดยประเทศ 5 อันดับแรกที่ซีอีโอเอเปกจัดให้เป็นตลาดที่น่าลงทุนในอีก 12 เดือนข้างหน้า ได้แก่ อันดับ 1 สาธารณรัฐประชาชนจีน (53%), อันดับ 2 อินโดนีเซีย เวียดนาม และ สหรัฐอเมริกา (52% เท่ากัน), อันดับ 3 สิงคโปร์ (46%), อันดับ 4 ฟิลิปปินส์ (45%) และอันดับ 5 ไทย (42%) ซึ่งขยับขึ้นจากปีก่อนที่อันดับ 8 และนำหน้ามาเลเซีย และ ญี่ปุ่น (40% เท่ากัน) "แม้ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะชะลอตัว แต่ก็ยังเป็นตลาดที่น่าสนใจลงทุน นั่นเพราะเราเป็นฐานการผลิตการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรรายใหญ่รายหนึ่งของโลก ขณะที่ระบบการเงินการธนาคารของเราก็มีความเข้มแข็งกว่าในอดีตเยอะ นอกจากนี้ หากเปิดเออีซี ไทยยังมีความได้เปรียบจากการเป็นศูนย์กลางอาเซียนในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์กลางโลจิสติกส์ หรือ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของโลก อย่างก็ไรดี เราต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถและความน่าสนใจของไทย ไม่ให้แพ้เพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซีย และเวียดนาม ซึ่งทั้งสองตลาดมีขนาดใหญ่ และค่าจ้างแรงงานยังถูกกว่าไทยมาก" นาย ศิระ ยังเชื่อว่า การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะช่วยส่งผลให้ประเทศสามารถฟื้นตัวได้ในระยะยาว ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง และ ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความเปราะบาง โดยมองว่า ความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน การเพิ่มขึ้นของการประยุกต์ใช้นวัตกรรมในหมู่ภาคธุรกิจ ผนวกกับ นโยบายหรือสิทธิประโยชน์ที่เอื้อต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติจะยังทำให้ไทยมีความน่าดึงดูดในระยะยาว ทั้งนี้ ตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ที่ประกาศโดยคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เติบโตที่ 2.9% จาก 2.8% ในไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้นอย่างช้าๆ เร่งเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ปัจจุบันการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงประกอบกับการตื่นตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ทำให้การค้า การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานใหม่ๆ เพื่อเชื่อมต่อการค้าในภูมิภาค รวมถึงพื้นที่ที่ยังไม่ถูกพัฒนามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างไร้พรมแดน โดยซีอีโอเอเปกถึง 63% คาดว่าจะเห็นการลงทุนระลอกใหม่เพื่อพัฒนาความทันสมัยของธุรกิจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆใน 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ซีอีโอเอเปก 66% ยังมองว่า นวัตกรรมด้านหุ่นยนต์อัจฉริยะ ปรากฏการณ์เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต (The Internet of Things) และเทคโนโลยีการพิมพ์แบบสามมิติ จะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมการผลิตอย่างแพร่หลายภายในปี 2563 แต่ในขณะเดียวกัน ความปลอดภัยจากการประยุกต์ใช้ระบบไซเบอร์ (Cybersecurity) ยังถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับหนึ่งที่ซีอีโอเอเปกแสดงความกังวลมากที่สุด ตามด้วยการเกิดภัยธรรมชาติ และ สถานการณ์ทางการเมือง ตามลำดับ ด้าน นาย เดนนิส เอ็ม แนลลี่ ประธาน บริษัท PricewaterhouseCoopers International Ltd. กล่าวเสริมว่า กระแสเศรษฐกิจยุคแบ่งปัน (Sharing economy) ยังถือเป็นจุดเริ่มต้นของการนำไปสู่การลงทุนด้านนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของธุรกิจในกลุ่มเอเปก สอดคล้องกับผลการศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มการวิจัยและพัฒนาของ Strategy&ที่พบว่า เอเชียกลายเป็นแหล่งของการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาองค์กร (Corporate R&D) อันดับหนึ่งของโลก (35%) แซงหน้าทวีปอเมริกาเหนือที่ 33% และยุโรปที่ 28% ในด้านการเจรจากรอบการค้าเสรีในภูมิภาค นายศิระ กล่าวว่า ซีอีโอเอเปกส่วนใหญ่ต่างเห็นประโยชน์จากข้อตกลงทางการค้าที่หลากหลาย โดย 1 ใน 4 ของซีอีโอที่ทำการสำรวจเชื่อว่า การจัดตั้งเขตการค้าเสรีของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Free Trade Area of the Asia Pacific: FTAAP) จะเกิดเป็นรูปเป็นร่างได้ในปี 2563 ขณะที่ซีอีโอเอเปก 35% ยังมองว่า ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะเปิดในปลายปีนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการค้า การลงทุนของธุรกิจในภูมิภาค และอีก 24% คาดว่า ความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (Trans-Pacific Partnership: TPP) จะช่วยเพิ่มการส่งออกและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเปก นาย ศิระ กล่าวทิ้งท้ายว่า "ภารกิจสำคัญที่ต้องอาศัยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน รวมทั้งเจ้าของธุรกิจในภูมิภาค คือ การเร่งสร้างจำนวนชนชั้นกลางในระบบ ผ่านการพัฒนาระดับการศึกษา และระบบคมนาคมขนส่ง เพื่อส่งเสริมให้คนในภูมิภาคเกิดความเท่าเทียม มีความสามารถในการประกอบวิชาชีพ และมีรายได้ นำไปสู่การเจริญเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว"

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ