ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ “บ. นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (6)” ที่ “AA-(sf)”

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 2, 2015 17:40 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--2 ธ.ค.--ทริสเรทติ้ง ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้นอายุ 3 ปี ของ บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (6) จำกัด (ผู้ออกตราสาร หรือเอสพีวี) ที่ระดับ "AA-(sf)" ทั้งนี้ ตราสารดังกล่าวเป็นตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลังที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตชุดที่ 2 ซึ่งริเริ่มโดยบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท. หรือ ผู้ค้ำประกัน) โดยตราสารดังกล่าวได้รับการค้ำประกันอย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้โดย บตท. อันดับเครดิตของเอสพีวีสะท้อนถึงอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกัน คือ บตท. ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ "AA-" ด้วยแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" จากทริสเรทติ้ง นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังได้รับการสนับสนุนจากการมีหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่เอสพีวีออกให้แก่ บตท. รวมถึงการที่ บตท. ตกลงจะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีเพื่อเสริมสภาพคล่อง และหน้าที่ของ บตท. ในการซื้อกองสินทรัพย์ (สิทธิเรียกร้องในค่างวดของกองลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย) ที่คงเหลือคืนจากเอสพีวี ณ วันครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้ด้วย ซึ่งอันดับเครดิตสะท้อนถึงการที่ผู้ถือหุ้นกู้มีการประกันจะได้รับชำระคืนหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่ครบถ้วนตามกำหนดเวลาด้วยเช่นกัน บตท. หรือผู้ค้ำประกัน ได้รับการก่อตั้งในปี 2540 ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย พ.ศ. 2540 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 1,000 ล้านบาท บตท. มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจประเภทสถาบันการเงินเฉพาะกิจสังกัดกระทรวงการคลังซึ่งมีบทบาทในการพัฒนาตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยใช้วิธีการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ในการระดมทุน ภายใต้ พ.ร.ก. ดังกล่าว รัฐบาลสามารถค้ำประกันตราสารหนี้ที่ออกโดย บตท. ได้ไม่เกิน 4 เท่าของเงินกองทุน ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2558 บตท. มีเงินกองทุนอยู่ที่ 959.06 ล้านบาท ดังนั้น รัฐบาลจึงสามารถค้ำประกันหนี้ของ บตท. ได้ถึง 3,836.24 ล้านบาท โดย บตท. จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนเรียกเก็บหนี้และผู้ให้เงินกู้ยืมเพื่อเสริมสภาพคล่องของโครงการด้วย เอสพีวี หรือผู้ออกตราสาร เป็นบริษัทจำกัดที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของประเทศไทยและได้รับอนุญาตให้มีสถานะเป็นนิติบุคคลเฉพาะกิจตาม พ.ร.ก. นิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ผู้ถือหุ้นของเอสพีวีประกอบด้วย บตท. ซึ่งถือหุ้น 48% บริษัท บริการดี จำกัด ซึ่งถือหุ้น 48.99% และบุคคลทั่วไปซึ่งถือหุ้น 3.01% ในระยะเริ่มต้นของโครงการ ผู้ออกตราสารได้ออกตราสารหนี้มูลค่ารวม 2,037.38 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกู้มีการค้ำประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้น 1,500 ล้านบาทและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ 537.38 ล้านบาท โดยหุ้นกู้มีการค้ำประกันจะเสนอขายให้แก่นักลงทุน ในขณะที่หุ้นกู้ด้อยสิทธิจะถือโดย บตท. หุ้นกู้ด้อยสิทธิมีสถานะด้อยกว่าหุ้นกู้ที่ไดัรับการจัดอันดับเครดิตและเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้มีการค้ำประกัน เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้จะนำไปใช้ซื้อสิทธิเรียกร้องในค่างวดของกองลูกหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (สินทรัพย์) ที่ บตท. ซื้อจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK หรือผู้ขาย) โดยมูลค่าเงินต้นของกองสินทรัพย์ดังกล่าวอยู่ที่ 1,982.96 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 มูลค่าคงเหลือของหุ้นกู้มีการค้ำประกันอยู่ที่ 1,303.04 ล้านบาท ในขณะที่กองสินเชื่อมีมูลค่าเงินต้นคงเหลือจำนวน 1,620.63 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนธันวาคม 2556 ถึงเดือนกันยายน 2558 เอสพีวีได้รับเงินค่าผ่อนชำระรายเดือนจากลูกหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนทั้งสิ้น 524.16 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินต้นที่ได้รับชำระคืนตามกำหนดเวลาจำนวน 230.57 ล้านบาท ดอกเบี้ยจำนวน 161.83 ล้านบาท และเงินต้นที่ได้รับคืนก่อนกำหนดจำนวน 131.76 ล้านบาท โดยจำนวนเงินต้นที่ได้รับคืนก่อนกำหนดคิดเป็นประมาณ 6.64% ของเงินต้นในช่วงเริ่มต้นทั้งหมดจำนวน 1,982.96 ล้านบาท ในขณะที่หนี้ที่มีการผิดนัดชำระสุทธิ (หลังหักหนี้ผิดนัดชำระที่ได้รับคืน) อยู่ที่ 37.98 ล้านบาท หรือประมาณ 1.92% ของมูลค่าเงินต้นเริ่มแรกของกองสินทรัพย์ เงินค่าผ่อนชำระที่ได้รับในแต่ละเดือนจะฝากเข้าบัญชีของ บตท. ก่อน หลังจากนั้นจะโอนเข้าบัญชีของผู้ออกตราสารทุกเดือน ส่วนเงินค่าผ่อนชำระที่เป็นส่วนของเงินต้นจะนำไปใช้ชำระเงินต้นของหุ้นกู้มีการค้ำประกัน รวมทั้งใช้ชำระคืนเงินต้นของเงินที่กู้ยืมจาก บตท. เพื่อจะนำมาใช้ชำระคืนหนี้เงินต้นของหุ้นกู้มีการค้ำประกันที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต รายรับส่วนที่เหลือจะนำไปเก็บไว้ในบัญชีสำรองประมาณ 10% ของเงินค่าผ่อนชำระรายเดือนหลังหักค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แล้ว หากรายรับส่วนที่เหลือมีไม่ถึง 10% ก็ให้นำเงินเข้าบัญชีสำรองเท่ากับจำนวนเงินที่คงเหลืออยู่ แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า หรือหลังจากนั้นจึงจะนำกระแสเงินสดที่เหลือไปชำระคืนเงินต้นของหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ส่วนของเงินค่างวดที่เป็นดอกเบี้ยจะนำไปใช้ชำระดอกเบี้ยของหุ้นกู้มีการค้ำประกันรวมถึงค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เป็นหลัก ณ สิ้นเดือนกันยายน 2558 มูลค่าหุ้นกู้ด้อยสิทธิคงเหลืออยู่ที่ 394.68 ล้านบาท หรือคิดเป็น 23.2% ของมูลค่าหุ้นกู้รวมคงค้างทั้งหมด ซึ่งลดลงจาก 26.4% ของมูลค่าหุ้นกู้ทั้งหมดในเริ่มต้นโครงการ อย่างไรก็ดี ภายใต้สัญญาให้การสนับสนุนทางการเงินระหว่าง บตท. และ เอสพีวีนั้น บตท. ตกลงจะให้เงินกู้ยืมแก่เอสพีวีในกรณีที่เอสพีวีไม่มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะชำระหนี้ในแต่ละงวดตลอดอายุของหุ้นกู้ได้ นอกจากนี้ ภายใต้สัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง บตท. ตกลงจะซื้อคืนสิทธิเรียกร้องดังกล่าวโดยราคาซื้อคืนสิทธิเรียกร้องจะเป็นราคาระหว่าง 1) มูลค่าทางบัญชีของสินทรัพย์รวมดอกเบี้ยค้างชำระ หรือ 2) มูลค่าเงินต้นและดอกเบี้ยค้างชำระของหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิซึ่งรวมภาระผูกพันต่าง ๆ ของเอสพีวี หลังจากที่หักด้วยเงินสดคงเหลือในบัญชีสำรองของเอสพีวี ซึ่งแล้วแต่ราคาใดจะต่ำกว่า เอสพีวีจะนำเงินที่ได้จากการขายคืนสิทธิเรียกร้องไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้มีประกันและหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ซึ่งหากยังมีส่วนที่ขาดอยู่ บตท. ก็จะรับชำระให้ตามสัญญาค้ำประกัน หุ้นกู้มีการค้ำประกันภายใต้โครงการนี้จะมีการทยอยชำระคืนเงินต้นตลอดอายุหุ้นกู้ประมาณ 23% ดังนั้น การชำระคืนเงินต้นทั้งหมดในวันที่ครบกำหนดไถ่ถอนหุ้นกู้จะขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ค้ำประกันคือ บตท. ในการที่จะซื้อคืนสิทธิเรียกร้องคงเหลือทั้งหมดกลับไป นอกจากนี้ บตท. ยังตกลงที่จะให้เงินกู้ยืมแก่ผู้ออกตราสารตลอดอายุของหุ้นกู้มีการค้ำประกันในกรณีที่ผู้ออกตราสารขาดสภาพคล่องอีกด้วย ดังนั้น อันดับเครดิตของหุ้นกู้มีการค้ำประกันจึงจะเปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกัน บริษัท นิติบุคคลเฉพาะกิจ บตท. (6) จำกัด (SPV-SMC (6)) อันดับเครดิตตราสารหนี้: MBSC16DA: หุ้นกู้มีการค้ำประกันชนิดทยอยชำระคืนเงินต้น 1,283.53 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 AA-(sf)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ