กรุงเทพฯ--14 มิ.ย.--Fleishman Hillard
โดย นายลีเฮอร์ ออบิซูร์ กรรมการผู้จัดการ เอสเอพี ประจำภูมิภาคอินโดจีน
ปัจจุบันองค์กรส่วนใหญ่เข้าใจดีว่าเทคโนโลยีคลาวด์คืออะไร และสามารถให้ประโยชน์กับการทำงานได้อย่างไรบ้าง แนวโน้มของการใช้คลาวด์คอมพิวต์ติ้งในไทยมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากนโยบาย "ดิจิทัล อีโคโนมี" ของภาครัฐ ที่จะส่งเสริมให้มีการใช้ไอทีมากขึ้น ด้วยประสบการณ์การทำงานกับระบบคลาวด์และภาคธุรกิจบริการขนาดใหญ่มานานหลายปี ผมจึงมีความเข้าใจและขอนำเสนอมุมมองว่าองค์กรธุรกิจจะมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมต่อไปในทิศทางใด
เทคโนโลยีคลาวด์จะส่งผลต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมในองค์กรในสามด้านหลัก ดังนี้
• ความคล่องตัวในการส่งมอบโซลูชั่น ครอบคลุมถึงขั้นตอนการพัฒนาที่รวดเร็ว และผลักดันโซลูชั่นให้พร้อมออกสู่ตลาดได้ภายในเวลาอันสั้น
• ความยืดหยุ่นด้านการจัดการทรัพยากรระบบขณะใช้งาน แบ่งสรรปันส่วนทรัพยากรระบบได้อัตโนมัติตามความต้องการใช้งานจริงในทุกขณะ
• การเปลี่ยนทั้งทรัพยากรระบบและบริการต่าง ๆ ให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ร่วมกันได้ โดยไม่จำกัดอยู่เพียงแค่ทรัพยากรพื้นฐานเท่านั้น
ความคล่องตัวในการส่งมอบโซลูชั่น
เทคโนโลยีคลาวด์ควรจะทำให้กระบวนการการพัฒนาและส่งมอบผลิตภัณฑ์เป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และผู้นำในวงการ
ไอทีทุกรายก็ควรที่จะหันมาจับตามองปัจจัยด้านความเร็วนี้ไว้ให้ดี
ทุกวันนี้ นักพัฒนาโซลูชั่นจะต้องนำผลงานล่าสุดผนึกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ใช้งานจริงอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเขียนโค้ดเรียบร้อยแล้ว โค้ดดังกล่าวจะถูกป้อนเข้าสู่ระบบเพื่อสร้างเป็นแอพพลิเคชัน ก่อนจะส่งต่อไปยังขั้นตอนการทดสอบแบบอัตโนมัติ ตรวจสอบความถูกต้อง และนำเข้าสู่การทดสอบในสภาวการณ์จำลองในที่สุด
แต่ขั้นตอนเหล่านี้ อาจไม่เพียงพออีกต่อไปในโลกยุคคลาวด์ เทคโนโลยีคลาวด์ทำให้เราสามารถพัฒนา ตั้งค่า และทดลองใช้งานซอฟต์แวร์ใหม่ได้ภายในชั่วอึดใจ ดังนั้น เราจึงสามารถสร้างและทดสอบแอพพลิเคชั่นรุ่นใหม่ได้แบบสด ๆ โดยไม่ต้องรอ และทำให้กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์มีความรวดเร็ว คล่องตัว โดยไม่สูญเสียความมั่นคงหรือเสถียรภาพของตัวแอพไป ด้วยเหตุนี้เอง นักพัฒนาจึงสามารถเปลี่ยนแปลงโซลูชั่นของตนในสภาวะการใช้งานจริงได้ ในขณะที่บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบความถูกต้องแม่นยำของซอฟต์แวร์นั้นก็อยู่ในสถานะพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ เรายังต้องการที่จะปรับเปลี่ยนและเสริมศักยภาพให้กับผลิตภัณฑ์แต่ละตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเทคโนโลยีคลาวด์ก็เข้ามาตอบโจทย์ในจุดนี้ได้เป็นอย่างดี ทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ที่นำระบบคลาวด์มาใช้งานจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานแบบจำลองขึ้นได้ตามต้องการ เพื่อทดสอบคุณสมบัติใหม่ ๆ ของซอฟต์แวร์แต่ละชิ้น ก่อนจะปิดระบบจำลองลงเมื่อใช้งานเสร็จ จึงเท่ากับว่าทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์สามารถสร้างสรรค์คุณสมบัติใหม่ขึ้น และนำไปทดสอบใช้งานในสถานการณ์เสมือนจริง ที่มีความแตกต่างจากภาวะการใช้งานจริงน้อยมาก
ทั้งหมดนี้ทำให้การพัฒนาซอฟต์แวร์ในปัจจุบันสามารถส่งมอบคุณสมบัติใหม่ ๆ ให้กับผู้ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง โดยทุกวันนี้ มีโซลูชั่นชั้นนำจำนวนมากที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงแบบรายวัน ด้วยโครงสร้างการพัฒนาและปล่อยซอฟต์แวร์ใหม่ที่มีความคล่องตัวสูง
โดยส่วนใหญ่แล้ว เทคโนโลยีคลาวด์จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ จะสามารถพัฒนาบริการหรือโซลูชั่นในรูปแบบดังกล่าวนี้ได้ด้วยค่าใช้จ่ายเพียงน้อยนิด เนื่องจากบริการคลาวด์ทุกรายจะมี API ที่ครบครัน พร้อมให้เลือกใช้งาน ขณะที่ชุดเครื่องมือต่าง ๆ ก็สามารถช่วยให้คุณตั้งค่าและวางระบบได้แบบอัตโนมัติ แพลตฟอร์มที่ล้ำสมัยอย่าง Chef, Puppet หรือ Ansible ก็สามารถมอบประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมจนทำให้คุณสามารถร่นเวลาการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เปลี่ยนแนวคิดให้กลายเป็นโซลูชั่นพร้อมใช้งานได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน แทนที่จะต้องเสียเวลานานนับเดือน
ความยืดหยุ่นด้านการจัดการทรัพยากรระบบขณะใช้งาน
ทุกวันนี้ การวางแผนจัดการทรัพยากรระบบได้กลายเป็นสิ่งที่ไร้ประโยชน์ไปแล้ว หรือหากมองย้อนหลังไป ก็อาจกล่าวได้ว่าเทคนิคการวางแผนนี้ไม่เคยช่วยอะไรเราได้เลย
เราจะวางแผนจัดการทรัพยากรระบบให้คุ้มค่าได้อย่างไร หากเราต้องใช้พลังการประมวลผลของซีพียูหลายคอร์ในช่วงสิ้นเดือน แต่แทบไม่ต้องใช้งานอะไรเลยในช่วงเวลาอื่น หรือในกรณีที่ระบบของคุณมีการใช้งานเฉลี่ยตลอดปีเพียง 20% โดยที่อีก 80% จะได้ทำงานก็ต่อเมื่อถึงช่วงสิ้นสุดวงจรงานจัดซื้อประจำปี?
ในสถานการณ์เหล่านี้ การวางแผนจัดการทรัพยากรระบบไม่สามารถสร้างประโยชน์อะไรให้คุณได้เลย เนื่องจากช่วงการใช้งานสูงสุดมีระดับการใช้งานทรัพยากรระบบที่สูงกว่าช่วงปกติมาก จนทำให้การลงทุนวางระบบกลายเป็นความสิ้นเปลืองที่ไม่คุ้มค่ากับธุรกิจของคุณ
ปัญหานี้มีทางแก้ไขเพียงทางเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือการมุ่งพัฒนาความยืดหยุ่นของระบบอย่างเต็มรูปแบบ
ในขั้นแรก เราต้องออกแบบบริการที่ใช้งานให้พร้อมรองรับการขยายตัวตามปริมาณการใช้งาน โดยมีการคืนทรัพยากรระบบสู่กองกลางทันทีที่ใช้งานเสร็จ และสามารถใช้ทรัพยากรระบบที่จัดสรรเพิ่มเติมเข้ามาได้ทันที จึงเท่ากับว่าระบบจะจัดสรรการใช้งานทรัพยากรได้ตามสถานการณ์จริงอยู่ตลอดเวลา ปัจจุบัน ยังมีระบบจำนวนมากที่ไม่สามารถรองรับการเพิ่มทรัพยากรระบบตามความต้องการจริงนี้ โดยผู้ดูแลระบบอาจจะต้องปิดและเปิดระบบใหม่ หรือลงมือเปิดให้ระบบใช้ทรัพยากรเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง ซึ่งไม่ตรงกับหลักการของการบริการด้วยเทคโนโลยีคลาวด์
ระบบศูนย์ข้อมูลในปัจจุบันมีปริมาณทรัพยากรระบบที่ไม่ได้ใช้งานอยู่ไม่น้อย และผู้นำด้านเทคโนโลยีและการปฏิบัติงานของหลาย ๆ องค์กรก็ยังคงประเมินค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่าไปกับทรัพยากรเหล่านี้ไว้ต่ำเกินไป โดยเราจะไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้เลย หากไม่เสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบในระดับโครงสร้างสถาปัตยกรรมพื้นฐาน นับจากนี้เป็นต้นไป การพัฒนาระบบให้มีความยืดหยุ่นสูง พร้อมขยายหรือลดขนาดตามความต้องการจริง จะต้องกลายเป็นคุณสมบัติมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นที่มีเทคโนโลยีคลาวด์เป็นรากฐาน
นอกจากนี้ ความยืดหยุ่นในการใช้ทรัพยากรยังสามารถช่วยเสริมสร้างความคล่องตัวของระบบได้อีกด้วย เช่นในกรณีของการทดสอบระบบก่อนการใช้งานจริง โดยทีมพัฒนาจะสามารถทดสอบศักยภาพการขยายตัวหรือเพิ่ม-ลดทรัพยากรระบบได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ซึ่งต่างจากในอดีตที่นักพัฒนาไม่อาจรู้ได้เลยว่าซอฟต์แวร์และองค์ประกอบต่าง ๆ ของระบบจะสามารถนำไปใช้งานจริงกับผู้ใช้หรือข้อมูลจำนวนมากได้หรือไม่ โดยถ้าต้องการทดสอบระบบในด้านนี้ ก็จะต้องลงทุนจัดหาทรัพยากรระบบในปริมาณมหาศาลจนกลายเป็นการสิ้นเปลือง
แต่ด้วยความยืดหยุ่นของเทคโนโลยีคลาวด์ ทีมพัฒนาสามารถสร้างเซิร์ฟเวอร์ในคลาวด์กว่า 1,000 ตัว เพื่อทดสอบบริการในสภาวะการใช้งานหนักเป็นเวลาหลายวัน ก่อนจะปิดระบบลงเมื่อสิ้นสุดการทดสอบ โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ในระดับที่องค์กรขนาดกลางสามารถรับมือได้อย่างไม่มีปัญหา
อีกหนึ่งประเด็นที่ใครหลายคนยังมองข้าม แต่กลับมีความสำคัญอย่างมากกับการออกแบบระบบคลาวด์ให้ยืดหยุ่นอย่างสมบูรณ์ ก็คือการเก็บข้อมูลการใช้งานระบบในทุกขั้นตอน
การจะพัฒนาบริการเพื่อลดค่าใช้จ่ายและเสริมความยืดหยุ่นนั้น จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลประกอบมากมาย ทั้งในด้านทรัพยากรระบบและการใช้งาน โดยครอบคลุมถึงหน่วยประมวลผล หน่วยความจำ เครือข่าย และพื้นที่จัดเก็บข้อมูล ก่อนจะนำมาพิจารณาควบคู่ไปกับการใช้งานของผู้ใช้แต่ละราย และลำดับขั้นการทำงานโดยรวมของระบบ โดยผนึกรวมเป็นภาพเดียว ไม่แยกจากกัน
หากขาดข้อมูลเหล่านี้ไปแล้ว เราก็ไม่สามารถพัฒนาระบบให้ตอบสนองกับความต้องการทรัพยากรในแบบเรียลไทม์ได้การปรับเปลี่ยนทรัพยากรระบบและบริการให้ทำงานสอดประสานกันยิ่งขึ้น
เทคโนโลยีคลาวด์ได้ทำให้ระบบการประมวลผล จัดเก็บข้อมูล และเครือข่าย ผสมผสานและทำงานแทนที่กันได้ โดยบริการที่พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิดนี้จะมีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานที่ลดลง ทั้งยังมีเสถียรภาพสูงขึ้น จากข้อได้เปรียบด้านความคล่องตัวและความยืดหยุ่นดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น แต่การจะพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพและความคุ้มค่าสูงสุดนั้น จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนบริการต่าง ๆ ให้สามารถทำงานสอดประสานและแทนที่กันได้ เช่นเดียวกับทรัพยากรพื้นฐานเหล่านี้
วิธีหนึ่งที่จะตอบโจทย์นี้ได้ก็คือการแตกระบบออกเป็นบริการย่อย ๆ หรือที่เรียกว่า "ไมโคร เซอร์วิส" ซึ่งจะทำให้ระบบต้องรับมือกับการติดต่อสื่อสารระหว่างไมโคร เซอร์วิสแต่ละตัวมากขึ้น หรืออาจทำให้โครงสร้างการทำงานของระบบมีความซับซ้อนกว่าในรูปแบบเดิม
แต่ในขณะเดียวกัน โครงสร้างรูปแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานในภาพรวมลง โดยถือเป็นการเปลี่ยนมุมมองการออกแบบและบริหารจัดการระบบ จากเดิมที่ยึดการประมวลผล จัดเก็บข้อมูล และเครือข่ายเป็นองค์ประกอบหลัก มาใช้บริการย่อยในแต่ละขั้นตอนของการทำงานเป็นพื้นฐานแทน ซึ่งจะทำให้เราสามารถยกระดับและพลิกโฉมโครงสร้างของบริการทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วในอนาคต
ปัจจุบัน เราเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ในตลาดกันบ้างแล้วจากบริการในรูปแบบใหม่ ที่ปรับเอาเทคโนโลยีการเรียนรู้ด้วยปัญญาประดิษฐ์ (machine learning) สปาร์ค เวิร์กสเปซ หรือระบบอื่น ๆ ให้กลายเป็นบริการคลาวด์ เป็นต้น ซึ่งก็ถือเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย และหากองค์กรของคุณตัดสินใจที่จะหันมายึดโครงสร้างระบบแบบใหม่นี้เป็นพื้นฐาน ก็รับรองได้เลยว่าคุ้มค่ากับการลงทุนแน่นอน
สรุป
โลกเทคโนโลยียังคงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง สิ่งที่เคยเป็นนวัตกรรมล้ำยุคในอดีตอย่างเทคโนโลยีคลาวด์ ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มมาตรฐานไปแล้วในปัจจุบัน องค์กรที่ต้องการประสบความสำเร็จในปัจจุบันและอนาคต จะต้องสามารถนำระบบคลาวด์มาใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า โดยผู้นำทั้งในภาคธุรกิจและเทคโนโลยีของแต่ละองค์กรจะต้องปรับแนวความคิดในการทำงานเสียใหม่ และสร้างสรรค์ธุรกิจให้มีคุณค่ากับลูกค้ามากยิ่งขึ้น