หัวใจเต้นผิดปกติ

ข่าวทั่วไป Thursday June 23, 2016 16:02 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 มิ.ย.--โรงพยาบาลรามคำแหง หัวใจเต้นปกติเป็นอย่างไร หัวใจปกติจะเต้นอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความเร็วที่เปลี่ยนไปตามกิจกรรมของร่างกาย โดยในขณะพักหัวใจจะเต้นประมาณ 60-100 ครั้งต่อนาที ในขณะเดินหัวใจจะเต้นเร็วขึ้นประมาณ 100-120 ครั้งต่อนาทีและมากกว่า 120 ครั้งต่อนาทีในขณะวิ่ง อย่างไรก็ตามนักกีฬาหรือผู้ที่ออกกำลังเป็นประจำ อาจมีชีพจรในขณะพักระหว่าง 50-60 ครั้งต่อนาที หัวใจเต้นผิดปกติเป็นอย่างไร หัวใจเต้นผิดปกติจะมีความผิดปกติในสองลักษณะผิดปกติในอัตราการเต้นของหัวใจ คือเต้นช้าหรือเร็วมากเกินไปไม่เหมาะกับกิจกรรมของร่างกายในขณะนั้นผิดปกติในจังหวะการเต้นของหัวใจ คือหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ เต้นๆหยุดๆผู้ป่วยบางรายอาจมีความผิดปกติทั้งอัตราการเต้นและจังหวะการเต้นก็ได้เช่นเต้นๆหยุดๆและเต้นเร็ว ในบางรายอาจมีเต้นช้าสลับกับเต้นเร็วก็ได้ หัวใจเต้นผิดปกติมีกี่ชนิด หัวใจเต้นผิดปกติมีไม่ต่ำกว่า 10 ชนิด แต่ละชนิดจะมีกลไกการเกิด สาเหตุ อาการ การพยากรณ์โรคและวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป โดยทั่วไปสามารถแบ่งหัวใจเต้นผิดปกติเป็นสองแบบคือ หัวใจเต้นช้าเกินไป (Bradyarrhythmia) คือเต้นช้าน้อยกว่า 60 ครั้งต่อนาที หัวใจเต้นเร็วเกินไป (Tachyarrhythmia) คือเต้นเร็วมากกว่า 100 ครั้งต่อนาที หัวใจเต้นผิดปกติมีอาการอย่างไร หัวใจเต้นผิดปกติมีอาการได้หลายอย่างตั้งแต่ไม่มีอาการเลย ใจสั่น เหนื่อยง่าย หน้ามือ เป็นลม หมดสติ รุนแรงที่สุดอาจเสียชีวิตเฉียบพลันได้ ผู้ป่วยทีมีหัวใจเต้นช้าผิดปกติ จะมีอาการที่เกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองและร่างกายไม่เพียงพอ ถ้าเลี้ยงสมองไม่เพียงพอจะมีอาการมึนงง ถ้าหัวใจเต้นช้ามากจะหน้ามืดหรือหมดสติได้ ถ้าเลือดไปเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอก็จะมีอาการเหนื่อยเวลาออกแรง ถ้าเป็นมากอาจมีอาการเหนื่อยแม้ในขณะพักและอาจทำให้เกิดหัวใจล้มเหลวได้ ในรายที่หัวใจเต้นเร็วผิดปกติจะมีอาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็วและแรง เหนื่อย โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ที่มีโรคหัวใจอยู่ก่อนอาจเกิดหัวใจล้มเหลวได้ ในกรณีที่หัวใจเต้นเร็วมากอาจหมดสติหรือเสียชีวิตเฉียบพลันได้ สำหรับผู้ป่วยที่มีหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอมักจะมีอาการหัวใจกระตุกแรงๆ จุกที่หน้าอกหรือคอ ใจหายเป็นช่วงๆ อย่างไรก็ตามผู้ป่วยหัวใจเต้นผิดปกติบางรายอาจไม่มีอาการใดๆเลยก็ได้ ซึ่งจะทราบโดยบังเอิญ จากการตรวจสุขภาพประจำปีหรือมาพบแพทย์ด้วยโรคอื่นๆ สาเหตุของหัวใจเต้นผิดปกติ สาเหตุของหัวใจเต้นผิดปกติพอแบ่งเป็นสี่ส่วนใหญ่ๆคือ เป็นความผิดปกติภายนอกร่างกายและนอกหัวใจ เช่นการรับประทานอาหาร เครื่องดื่มหรือยาที่มีผลต่อการทำงานของหัวใจ เช่นการดื่มกาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในปริมาณมากๆติดต่อกันนานๆ ก็จะส่งผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือเต้นเร็วเกินไป การทานยาที่อาจมีผลต่อการเต้นของหัวใจเช่นยาลดความดันบางอย่างนอกจากจะลดความดันแล้วยังลดการเต้นของหัวใจให้ช้าลงด้วย กรณีนี้สาเหตุอยู่นอกหัวใจและนอกร่างกาย วิธีการรักษาจึงมุ่งไปที่การลดหรือหยุดการรับประทานอาหาร เครื่องดื่มหรือยาดังกล่าว หัวใจก็จะกลับมาเต้นเป็นปกติ เป็นความผิดปกติของร่างกายระบบอื่นๆนอกหัวใจแต่มีผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจ เช่นผู้ป่วยที่มีการทำงานของต่อมไทรอยด์มากเกินไปจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและผิดจังหวะได้ ผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อเช่นปอดอักเสบ ท้องร่วงอาจมีผลกระทบต่อการเต้นของหัวใจ ในกรณีให้มุ่งรักษาโรคที่เป็นสาเหตุกระตุ้น หัวใจก็จะกลับมาเต้นเป็นปกติได้ เป็นความผิดปกติของโรคหัวใจชนิดต่างๆแล้วมีผลต่อการทำงานของหัวใจ เช่นหลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจล้มเหลว ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ในกรณีนี้ต้องรักษาโรคหัวใจร่วมไปกับการรักษาหัวใจเต้นผิดปกติ เป็นความผิดปกติที่ระบบไฟฟ้าของหัวใจเองโดยไม่มีความผิดปกติของหัวใจชนิดอื่นๆร่วมด้วย เช่นโรคไฟฟ้าลัดวงจรชนิด Wolff Parkinson White (WPW) syndrome บางชนิดเป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติขั้นรุนแรงที่อาจทำให้เสียชีวิตเฉียบพลันได้เช่น โรคใหลตาย (Brugada Syndrome) long QT syndrome กรณีนี้การรักษามุ่งแก้ไขความผิดปกติของระบบไฟฟ้าหัวใจโดยตรง จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นโรคหัวใจเต้นผิดปกติ การวินิจฉัยหัวใจเต้นผิดปกติเป็นสิ่งที่มีความยุ่งยากอยู่บ้าง เนื่องจากหัวใจเต้นผิดปกติมีหลายชนิด ผู้ป่วยมีอาการหลากหลายแตกต่างกันออกไป นอกจากนี้หัวใจเต้นผิดปกติที่เกิดขึ้นจะมีระยะเวลาสั้นยาวแตกต่างกัน บางชนิดเป็นแค่เสี้ยววินาที บางที่เป็นหลายๆนาทีหรือหลายชั่วโมง มักจะเกิดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าหรือมีเหตุกระตุ้นชัดเจน การวินิจฉัยที่ถูกต้องจำเป็นต้องได้คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ขณะที่มีอาการเท่านั้นถึงจะวินิจฉัยได้ถูกต้อง มีวิธีการตรวจอะไรบ้างเพื่อให้ได้คลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะที่มีอาการ มีเครื่องมือตรวจการเต้นของหัวใจหลายชนิดที่ช่วยในการวินิจฉัยหัวใจเต้นผิดปกติ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ( Electrocardiography, EKG) เป็นการตรวจมาตรฐานของการตรวจการเต้นของหัวใจ เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการนานพอที่จะมาถึงโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลที่มีเครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจต่อเนื่อง 24-48 ชั่วโมง (Holter monitoring) ผู้ป่วยต้องติดเครื่องบันทึกติดตัวตลอดเวลา 24-48 ชั่วโมงเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการทุกวันหรือเกือบทุกวัน แต่อาการเกิดขึ้นช่วงสั้นๆ ไม่นานพอที่จะมาตรวจที่โรงพยาบาล อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นการบันทึกต่อเนื่องเป็นเวลานาน เครื่องจะสามารถตรวจพบความผิดปกติของการเต้นของหัวใจได้แม้ผู้ป่วยไม่มีอาการ เครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจชนิดพกพา (Event recorder/ Loop recorder) เหมาะกับผู้ป่วยที่อาการไม่บ่อย อาจจะเดือนละ 1-2 ครั้ง และอาการไม่นานพอที่จะไปรับการตรวจที่โรงพยาบาล อุปกรณ์มีลักษณะคล้ายโทรศัพท์มือถือ พกพาไปในที่ต่างๆ เมื่อมีอาการจึงนำเครื่องมาทาบที่หน้าอก กดปุ๋มบันทึก ก็จะได้คลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะที่มีอาการ แต่ไม่ได้รายละเอียดเท่าการตรวจด้วยเครื่อง EKG มาตรฐานหรือ Holter monitoring เนื่องจากมีหน่วยความจำจำกัด แต่ก็มากพอที่จะให้การวินิจฉัยได้ ผู้ป่วยที่เป็นลมหมดสติเวลาเกิดหัวใจเต้นผิดปกติจะใช้วิธีนี้ไม่ได้ เครื่องบันทึกการเต้นของหัวใจชนิดฝังใต้ผิวหนัง (Implantable loop recorder, ILR) เครื่องจะมีลักษณะคล้ายหน่วยความจำชนิดพกพาที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ (USB flash drive) แพทย์จะฝังไว้ใต้ผิวหนังบริเวณหน้าอกด้านซ้าย เครื่องจะบันทึกการเต้นของหัวใจอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากมีหน่วยความจำจำกัด เครื่องจะเก็บคลื่นไฟฟ้าหัวใจเฉพาะช่วงเวลาที่หัวใจเต้นผิดปกติตามที่ได้โปรแกรมไว้ก่อนหรือเมื่อผู้ป่วยต้องการ เท่านั้น เครื่องมีอายุแบตเตอรี 2-3 ปี เครื่องนี้เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการนานๆครั้งแต่อาการรุนแรงเช่นผู้ป่วยที่มีอาการหมดสติที่ไม่ทราบสาเหตุ การตรวจการทำงานของระบบไฟฟ้าหัวใจด้วยสายสวนหัวใจ ( Cardiac Electrophhysiology, EP study) วิธีนี้ต้องมีการสอดใส่สายสวนไปที่หัวใจผ่านทางหลอดเลือดดำที่ขา แพทย์สามารถตรวจการทำงานของระบบไฟฟ้าหัวใจและกระตุ้นให้เกิดหัวใจเต้นผิดปกติขึ้นได้ โดยทั่วไปเป็นวิธีที่มีความปลอดภัยสูแต่เนื่องจากเป็นการตรวจที่มีราคาแพง จึงใช้วิธีนี้ในกรณีที่ไม่สามารถตรวจหาความผิดปกติด้วยวิธีอื่นๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น จะรักษาหัวใจเต้นผิดปกติอย่างไร หัวใจเต้นผิดปกติมีหลายชนิดและมีหลากหลายสาเหตุ การรักษาจึงมีความแตกต่างกันออกไป ประการแรกต้องมุ่งแก้ไข สาเหตุที่แก้ไขได้ เช่นเลิกการดื่มเครื่องดื่มหรือทานอาหารที่มีผลต่อการเต้นของหัวใจ รักษาโรคหรือภาวะที่เป็นตัวกระตุ้นหัวใจเต้นผิดปกติ เมื่อแก้ไขแล้วยังมีหัวใจเต้นผิดปกติอยู่อีก การรักษามุ่งแก้ไขหรือรักษาการเต้นที่ผิดปกติซึ่งพอแบ่งแนวทางการรักษาได้ดังนี้ หัวใจเต้นช้าผิดปกติ แก้ไขโดยการใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker) หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ a. หัวใจเต้นเร็วผิดปกติขั้นรุนแรงทำให้ผู้ป่วยหมดสติหรือเสียชีวิตเฉียบพลันได้ รักษาด้วยการใส่เครื่องกระตุกหัวใจ (Automated Implantable Cardioverter Defibrillator, AICD) b. หัวใจเต้นเร็วผิดปกติไม่รุนแรงสามารถรักษาด้วย i. ยาต้านการเต้นผิดปกติ ( Antiarrhythmic drug) ii การจี้ด้วยคลื่นวิทยุ ( Radiofrequency Catheter Ablation, RFCA) การรักษาด้วยการจี้ด้วยคลื่นวิทยุ (Radiofrequency Catheter Ablation, RFCA)เป็นการรักษาหัวใจเต้นเร็วผิดปกติโดยใช้สายสวนหัวใจผ่านทางหลอดเลือดดำหรือแดงที่บริเวณขาหนีบ แพทย์จะใช้สายสวนหัวใจนี้ตรวจหาความผิดปกติภายในผนังด้านในของหัวใจที่เป็นจุดกำเนิดของหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ เมื่อพบแล้วแพทย์จะทำการจี้ทำลายบริเวณดังกล่าวด้วยคลื่นวิทยุซึ่งจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนประมาณ 40-50 องศาเซลเซียส เป็นการรักษาวิธีเดียวที่สามารถรักษาหัวใจเต้นผิดปกติให้หายขาดได้ ในอดีตการรักษาด้วยวิธีนี้จะใช้ในรายที่ทานยาแล้วไม่ได้ผล หรือทานยาได้ผลแต่มีผลข้างเคียงจากการใช้ยา แต่ในปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญของแพทย์ทำให้การรักษาด้วยวิธีมีความสำเร็จสูงโดยมีภาวะแทรกซ้อนต่ำมาก การรักษาวิธีนี้จึงเป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะผู้ป่วยอายุน้อยที่ไม่ต้องการทานยาตลอดชีวิต ในกรณีที่มีความผิดปกติเพียงตำแหน่งเดียว มีโอกาสรักษาสำเร็จสูงถึง 90-95% ขึ้นกับชนิดของหัวใจเต้นผิดปกติ โดยมีภาวะแทรกซ้อนต่ำประมาณ 1% โรคแทรกซ้อนที่อาจพบได้เช่น การจี้ถูกสายไฟฟ้าปกติทำให้หัวใจเต้นช้าตลอดเวลา ซึ่งจะเกิดเฉพาะในรายที่บริเวณที่ผิดปกติและสายไฟฟ้าปกติอยู่ใกล้กันมากเท่านั้น อาจมีการเจ็บต่อหลอดเลือดดำหรือแดงบริเวณที่ใส่สายสวนเข้าไป ในรายที่มีความผิดปกติหลายตำแหน่งเช่นที่พบในผู้ป่วยหัวใจห้องบนเต้นพลิ้ว (Atrial Fibrillation, AF) ทำให้มีจุดที่ต้องจี้มาก โอกาสจะรักษาสำเร็จโดยการทำครั้งแรกจะลดลงเหลือ 70%-80% บางรายอาจต้องทำ 2-3 ครั้งเพื่อจี้ความผิดปกติให้หมดไป การรักษาด้วยวิธีนี้มีข้อจำกัดอยู่บ้างคือ เป็นการรักษาคล้ายการผ่าตัดเล็กซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 1-2 วัน ค่าใช้จ่ายสูงและต้องทำในโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านหัวใจเต้นผิดปกติและมีเครื่องมือที่ทันสมัย อย่างไรก็ตาม มีผลงานวิจัยแสดงให้เห็นถึงความคุ้มค่าในการรักษาด้วยวิธีจี้เทียบกับการใช้ยาในระยะยาว ใครควรรับการรักษาด้วยวิธีจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุ การจี้หัวใจด้วยคลื่นวิทยุสามารถรักษาหัวใจเต้นผิดจังหวะให้หายขาดได้ ผู้ป่วยที่เหมาะสำหรับการรักษาด้วยวิธีนี้คือ แก้ไขสาเหตุที่แก้ไขได้แล้วแต่ยังมีหัวใจเต้นผิดปกติ รับประทานยาแล้วไม่ได้ผล รับประทานยาแล้วมีผลข้างเคียง ต้องการหายขาด ไม่ต้องการที่จะทานยาต่อเนื่องระยะยาว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ