รอบรู้เรื่องสิวและสิวที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน โดย รศ.นพ.นภดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย

ข่าวทั่วไป Wednesday July 20, 2016 16:27 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ก.ค.--คอร์แอนด์ พีค สิว ถือเป็นปัญหาใหญ่สำหรับวัยหนุ่มสาว โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่มักจะประสบพบเจอกับเจ้าตัวปัญหานี้ส่วนใหญ่แล้วอาการของสิวจะไม่รุนแรงนัก แต่สำหรับบางคนอาจจะรุนแรงและอักเสบมาก ที่สำคัญ คือบางคนเมื่อสิวหายไปแล้วก็ยังคงทิ้งรอย กลายเป็นแผลเป็น รอยดำ รอยบุ๋ม หรือรอยนูน ไว้ให้รำคาญใจการเกิดสิวมีอยู่หลายประการ โดยเฉพาะช่วงเข้าสู่วัยรุ่น เพราะเนื่องจากร่างกายมีการสร้างฮอร์โมนเพศมากขึ้น ซึ่งฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้มีขนาดโตและผลิตไขมันได้มากขึ้น และจะทำให้ใบหน้าและ หนังศีรษะเกิดความมันมาก อีกทั้งยังมีแบคทีเรียที่ชื่อว่า P. acne เพิ่มมากขึ้นในบริเวณรูขุมขน ในต่อมไขมันที่มีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังกระตุ้นให้รูขุมขนบริเวณที่มีสิว สร้างเคราตินที่ผิดปกติ ทำให้เกิดการอุดตันที่บริเวณรูขุมขนนั้น และยังเป็นตัวกระตุ้นให้สิวอักเสบมากขึ้นได้ นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่กระตุ้นให้สิวกำเริบ เช่น ความเครียดจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นการนวด ขัด ถู ใบหน้าแรง ๆ การล้างหน้าด้วยสบู่บ่อยเกินไป การใช้ยาทาบางอย่าง เช่น สเตียรอยด์ เครื่องสำอางและสารเคมีบางอย่างอาจจะกระตุ้นให้เกิดสิวได้ หรือกลุ่มคนที่มีอาชีพที่ต้องสัมผัสกับอากาศร้อนเหงื่อออกมาก หรือทำงานในโรงงานที่ต้องสัมผัสกับน้ำมัน ก็ล้วนทำให้เป็นสิวได้มากขึ้นเช่นกัน การรักษาสิวจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะถือว่าเป็นโรคที่พบได้บ่อย ซึ่งการเป็นสิวก็ต้องแยกก่อนว่าเกิดจากอะไร เพราะบางครั้งสิวไม่ได้เกิดแค่เฉพาะฮอร์โมนอย่างเดียว อาจเกิดจากการสะสมจากการล้างเครื่องสำอางค์ออกไม่หมด เกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์ต่าง ๆ และเกิดจากเชื้อรา โดยการวินิจฉัยโรค จะแยกโรคจากรูขุมขนอักเสบและที่เกิดจากสเตียรอยด์ เพราะจะมีลักษณะเป็นตุ่มแดง ๆ บริเวณรูขุมขนและจะเกิดหลังจากการใช่สารสเตียรอยด์ประมาณ 2 สัปดาห์ โดยลักษณะอาการทั่วไปของคนที่เป็นสิว สิวอุดตัน มีลักษณะเป็นตุ่มนูนผิวซึ่งเป็นลักษณของสิวหัวปิด แต่หากพบเป็นจุดดำที่ยอดของตุ่มก็จะเป็นลักษณของสิวหัวเปิด ซึ่งปกติจะพบคละ ๆ กัน สิวอักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีแดง ตุ่มหนอง หรืออักเสบมากคล้ายถุงซีสต์ และมักจะพบบริเวณที่พบสิวมากเป็นคือ ใบหน้า หน้าอก และหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่เป็นจำนวนมาก ในส่วนการดูแลรักษาไม่ให้เกิดสิว ส่วนใหญ่จะใช้ยาทา และยารับประทานในการรักษา ซึ่งยาทาจะนิยมใช้มีอยู่ 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น อิริโทมัยซินนามิก (erythromycin), คลินดามัยซิน (clindamycin) จะเป็นกลุ่มที่ช่วยลดปริมาณของ P.acnc ที่รูขุมขนแล้วยังช่วยลดการอักเสบ กลุ่มเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide)ก็ช่วยลดปริมาณของ P. acne ที่รูขุมขน และช่วยลดการอักเสบ กลุ่มยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ จะช่วยละลายหัวสิว ใช้ได้ดีในสิวชนิดไม่อักเสบ ยาแต่ละชนิดมีหลายความเข้มข้น ความเข้มข้นที่สูงจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย หากทายาต่อเนื่อง 2-4 สัปดาห์อาการยังไม่ดีขึ้นควรใช้ยารับประทานร่วมด้วย สำหรับยารับประทานจะเป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่ม เตตตร้าไซคลิน (tetracycline) หรือดอกซีไซคลิน (doxycycline) หรือถ้าเป็นสิวเรื้อรัง รุนแรง ควรใช้ยาในกลุ่มกรดไวตามินเอ (13-cis retinoic acid) ซึ่งควรจะปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เนื่องจากยาชนิดนี้ จะมีผลต่อการตั้งครรภ์ การทำงานของตับและไขมันในเลือด โดยสิวที่มีอาการไม่รุนแรง จะสามารถหายได้เอง หรือเมื่อรักษาต่อเนื่อง อาการจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในระยะเวลาเพียง 2-4 สัปดาห์ หากเป็นสิวที่รุนเรงมักใช้เวลาหลายเดือนอาการอักเสบจึงจะทุเลาลง นอกจากนี้การรักษาด้วยวิธีการรับประทานยา และยาทาแล้ว การใช้แสงเลเซอร์ การฉายแสงสีฟ้า และแสงสีแดง จะช่วยเสริมผลการรักษาสิวให้หายเร็วขึ้นด้วย ในการรักษาสิวไม่ใช่แค่เฉพาะการรักษาบนใบหน้าเท่านั้น แต่ต้องดูแลทั้งร่างกาย โดยเฉพาะเรื่องฮอร์โมน ซึ่งในต่างประเทศจะมีการวิเคราะห์ว่า สิวที่เกิดจากฮอร์โมนจะมีความแตกต่างจากสิววัยรุ่น โดยสิวจะมีการกระจายขึ้นรอบคาง รอบปาก และเกิดจากเครื่องสำอาง อาทิ คลีนซิ่ง ซันครีม ไนท์ครีม เซรั่ม มากกว่าพวกที่ทำให้เกิดผิวบนใบหน้าต่างๆ ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงปัจจัยต่าง ๆ ที่กระตุ้นให้เกิดสิวด้วย ไม่ว่าจะเป็นการล้างและถูหน้าแรง ๆ หรือนวดหน้า รวมถึงการบีบและแกะสิว ภาวะความเครียดและการนอนดึก ซึ่งพวกนี้สามารถทำให้เกิดสิวได้ทั้งสิ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ