กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--IR network
"เมืองไทย ลิสซิ่ง"ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง ปิดงบไตรมาส 2/59 กำไรสุทธิ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 63% ยอดปล่อยสินเชื่อพุ่ง 86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ฐานลูกค้าพุ่งแตะ 1 ล้านบัญชี "ชูชาติ เพ็ชรอำไพ"มั่นใจยอดปล่อยกู้ปีนี้ทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 70% พร้อมปรับเป้าเปิดสาขาใหม่เพิ่มเป็น1,600 สาขา จากเดิมวางไว้ที่ 1,350 สาขา
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (MTLS) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯในไตรมาส 2/59 มีรายได้รวม 1,003 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 420 ล้านบาท หรือ 72 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 117 ล้านบาท หรือ 63% โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดปล่อยสินเชื่อ 8,750 ล้านบาท ที่เติบโตกว่า 86% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากบริษัทฯเดินหน้าขยายสาขาในต่างจังหวัด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ เพื่อขยายฐานลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในระดับล่างที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อในระบบได้
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในครึ่งแรกของปี 2559 บริษัทฯมียอดปล่อยสินเชื่อ 15,702 ล้านบาท เติบโตกว่า 86% และมีรายได้รวม 1,868 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 752 ล้านบาท หรือ 67% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีสินเชื่อคงเหลือ 17,246 ล้านบาท เติบโตกว่า 84% และมีกำไรสุทธิ 580 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 215 ล้านบาท หรือ 59% โดยปัจจุบันพอร์ตลูกค้าของบริษัทฯเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านบัญชี เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 7 แสนบัญชี
"แนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ความต้องการสินเชื่อของลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการที่เราเร่งเปิดสาขาใหม่ในต่างจังหวัด ซึ่งในปีนี้เราได้เพิ่มเป้าหมายการเปิดสาขาใหม่เป็น 1,600 แห่ง จากเดิมวางไว้ที่ 1,350 แห่ง เพื่อขยายฐานลูกค้า ที่ยังมีดีมานด์อยู่เป็นจำนวนมาก และมั่นใจว่ายอดปล่อยสินเชื่อทั้งปีจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 70% พอร์ตสินเชื่อคงค้างทะลุ 20,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้ ผลักดันรายได้และกำไรในปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง"นายชูชาติกล่าว
ประธานกรรมการบริหาร บริษัทเมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) กล่าวอีกว่า ธุรกิจของ MTLS ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ตราบใดที่ลูกค้ารายย่อยในต่างจังหวัดยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อในระบบ ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบที่คิดอัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้บริษัทฯยังคงเป็นทางเลือกและเป็นที่พึ่งพิงสำหรับลูกค้าในระดับรากหญ้า อีกทั้งยังคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเพดานที่ทางการกำหนด และต่ำสุดในระบบ เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกันอีกด้วย