กรุงเทพฯ--30 ธ.ค.--124 คอมมิวนิเคชั่นส คอนซัลติ้ง
กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศ กำหนดให้ผู้ส่งออกที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 2560 ต้องมีสต็อกในความครอบครองในเดือนก่อนหน้าที่จะส่งออกในอัตราส่วน 1.5 : 1เพื่อรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังภายในประเทศ ส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยเร่งหาซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังคาดส่งผลให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น
นางดวงพร รอดพยาธิ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าต่างประเทศ ได้ออกระเบียบกระทรวงฯ ว่าด้วยการอนุญาตให้ส่งผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังออกไปนอกราชอาณาจักรสำหรับปี 2560 พ.ศ. 2559 โดยกำหนดให้ผู้ส่งออกที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในช่วงเดือนมกราคม – เมษายน 2560 ต้องมีสต็อกในความครอบครองในเดือนก่อนหน้าที่จะส่งออกในอัตราส่วน 1.5 : 1 เช่น ผู้ส่งออกที่จะส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในเดือนมกราคม 2560 จำนวน 10,000 ตัน จะต้องมีสต็อกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในเดือนธันวาคม 2559 จำนวน 15,000 ตัน ทั้งนี้ เพื่อเร่งให้ผู้ส่งออกรับซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังโดยเฉพาะในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ซึ่งจะช่วยรักษาเสถียรภาพราคามันสำปะหลังภายในประเทศ
ภายหลังจากที่ระเบียบกระทรวงฯ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ ทำให้ผู้ส่งออกต้องเร่งซื้อผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเพื่อเก็บเข้าสต็อกจำนวนมาก เนื่องจากหากผู้ส่งออกมีสต็อกในความครอบครองในเดือนก่อนหน้าที่จะส่งออกน้อย ก็จะส่งผลต่อปริมาณที่มีสิทธิส่งออกในเดือนถัดไป ประกอบกับระเบียบกระทรวงฯ ฉบับนี้ มีการปรับเพิ่มอัตราส่วนสต็อกในความครอบครองของผู้ส่งออกจากเดิมที่กำหนดอัตราส่วนไว้เพียง 1 : 2 (มีผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังในความครอบครองในเดือนก่อนหน้า 1 ส่วน ส่งออกได้ 2 ส่วน) ปรับอัตราส่วนเป็น 1.5 : 1 ทำให้ผู้ส่งออกต้องสต็อกสินค้าในปริมาณที่มากกว่าเดิม ซึ่งกรมฯ พร้อมที่จะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ส่งออกอย่างเต็มที่ เพื่อให้การส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังเป็นไปอย่างราบรื่น
นอกจากมาตรการข้างต้นแล้ว เพื่อเป็นการยกระดับราคามันสำปะหลังในประเทศ กรมการค้าต่างประเทศจะบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคเกษตรกร จัดชุดตรวจสอบการนำเข้า-ส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เพื่อลดปัญหาการลักลอบนำเข้า และควบคุมคุณภาพมาตรฐานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังให้เป็นไปตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนด
อนึ่ง ช่วงเดือนมกราคม – พฤศจิกายน 2559 ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ปริมาณ 10.13 ล้านตัน มูลค่า 2,667 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2558 คิดเป็นร้อยละ 5.11 และ 17.36 ตามลำดับ