กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยขณะนี้มีคนไทยเสี่ยงต่อโรคปอดฝุ่นหิน 2 แสนคน

ข่าวทั่วไป Tuesday December 18, 2001 11:41 —ThaiPR.net

นนทบุรีฯ--18 ธ.ค.--สธ.
นางสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึงผลการประชุมเครือข่ายศูนย์ประสานงานองค์การอนามัยโลกด้านอาชีวอนามัย ครั้งที่ 5 ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพจัดประชุมร่วมกับสำนักงานใหญ่องค์การอนามัยโลกด้านอาชีวอนามัยระหว่างวันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2544 ที่ผ่านมาว่า องค์การอนามัยโลกได้ให้ความสำคัญต่อสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพ ซึ่งทั่วโลกมีประมาณ 3,000 ล้านคน
เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจให้ประเทศ โดยองค์การอนามัยโลกเรียกร้องให้ทุกประเทศ รวมทั้งไทยเร่งหามาตรการป้องกันเร่งด่วน โดยเฉพาะโรคซิลิโคลิสหรือที่ชาวบ้านรู้จักกันว่าโรคปอดฝุ่นหิน ซึ่งมักจะเกิดกับผู้ที่ประกอบอาชีพในการโม่ บด ย่อยหิน โรงงานผลิตแก้ว ผลิตอิฐ เป็นต้น โรคดังกล่าวมีอันตรายรุนแรง เมื่อป่วยแล้วผู้ป่วยมักจะทรมานจากการเป็นโรคจนกระทั่งเสียชีวิต
โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกกำหนดจะจัดประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งโลกในปี พ.ศ. 2545 การประชุมครั้งนี้จะมีการบรรจุงานอาชีวอนามัย ซึ่งว่าด้วยสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพทุกประเภท เป็นนโยบายระดับโลก ระดับประเทศ และระหว่างประเทศด้วย
ในส่วนของประเทศไทย มีนโยบายจะดำเนินการจัดบริการด้านอาชีวอนามัยให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบอาชีพทุกระดับ ทั้งในและนอกระบบ เช่น จัดทำโครงการส่งเสริมสุขภาพผู้ประกอบอาชีพในโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ การทำสมุดคู่มือสุขภาพในกลุ่มชาวประมง การพัฒนาข้อมูลพื้นฐานด้านอาชีวอนามัย ตั้งแต่ระดับประเทศลงไปจนถึงระดับหมู่บ้าน เป็นต้น โดยจะเน้นที่การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคเป็นหลัก
ด้าน นายภักดี โพธิศิริ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า สำหรับโรคซิลิโคลิส เป็นโรคปอดจากการประกอบอาชีพที่มีอันตราย พบว่าในช่วงปี 2544 ประเทศไทยพบผู้ป่วยโรคนี้แล้ว 84 คน ส่วนใหญ่เป็นกรรมกร หรือแรงงานรับจ้าง ที่ประกอบอาชีพในกิจการประเภทการโม่ การบด การย่อยหิน
โดยแรงงานเหล่านี้จะสูดหายใจเอาฝุ่นเล็กๆ ของผลึกซิลิก้าบริสุทธิ์หรือซิลิคอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการบดเข้าไปในปอด เกิดการสะสมจนทำให้เนื้อเยื่อปอดเกิดพังผืด ทำให้หายใจหอบ เหนื่อยง่าย ไม่มีไข้
ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะเกิดวัณโรคปอดได้ง่ายกว่าคนทั่วไป โรคนี้มีระยะเวลาก่อตัวไม่น้อยกว่า 3-5 ปีจนเกิดอาการ โดยคาดว่ามีผู้เสี่ยงโรคนี้ประมาณ 200,000 คน--จบ--
-สส-

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ