สภาปัญญาสมาพันธ์ แนะรัฐพัฒนา 6 ยุทธศาสตร์ ดันไทยสู่ประเทศรายได้สูง

ข่าวทั่วไป Friday July 14, 2017 14:39 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--14 ก.ค.--เจซีแอนด์โค พับลิครีเลชั่นส์ · สภาปัญญาสมาพันธ์ เปิดผลวิจัยยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยสู่ประเทศรายได้สูง พร้อมเสนอทางเลือกเชิงนโยบายและกลไกในการขับเคลื่อน ให้หลุดจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ด้วยการปฏิรูปเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม นักวิชาการไทยและต่างชาติร่วมถกแนวทางการสร้างชาติไทยให้มั่นคงและยั่งยืน แนะรัฐบาลวางยุทธศาสตร์ประเทศให้เหมาะสมและปฏิบัติได้จริง ระบุแนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบต้องใช้ "หลักนิติธรรม" (The Rule of Law) ควบคู่ไปกับการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพภายใต้กฎหมาย พร้อมเปิดผลวิจัยยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสู่ประเทศรายได้สูง อันเป็นผลมาจากการวิเคราะห์ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของนโยบาย ควบคู่กับการประเมินผลกระทบและความยากง่ายในการดำเนินการได้สำเร็จ แบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1. เพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา โดยการจัดทำโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านการวิจัยและพัฒนา 2. ยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงการเรียนการสอนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง 3. พัฒนาเศรษฐกิจภาคบริการ โดยเปิดเสรีภาคบริการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และย้ายแรงงานออกจากภาคเกษตร 4. ขยายตลาดส่งออก โดยการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าเกษตรส่งออก 5. ลดต้นทุนโลจิสติกส์โดยการผลักดันการขนส่งระบบราง และพัฒนาศักยภาพการบริหารสินค้าคงคลัง และ 6. ลดการพึ่งพาการนำเข้า โดยการส่งเสริมพลังงานทดแทนเพื่อลดการนำเข้าพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน นายทวีชัย เจริญเศรษฐศิลป์ ผู้อำนวยการวิจัยสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา เปิดเผยผลวิจัยยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสู่ประเทศรายได้สูง พร้อมเสนอทางเลือกเชิงนโยบายและกลไกในการขับเคลื่อน ระบุว่าปัจจุบันประเทศไทยกำลังติดอยู่ในกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) เนื่องจากไม่สามารถปฏิรูป (transform) เศรษฐกิจไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (innovation-driven economy) จึงไม่สามารถรักษาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูงไว้ได้อย่างยั่งยืน แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีข้อเสนอแนะนโยบายในการขับเคลื่อนประเทศสู่รายได้สูงจำนวนมาก ซึ่งแต่ละทางเลือกนโยบายสร้างประโยชน์และต้นทุนที่แตกต่างกัน แต่การที่ประเทศไทยมีทรัพยากรจำกัดจึงควรมียุทธศาสตร์ ในการจัดการกับทางเลือกต่างๆ อย่างเหมาะสม งานวิจัยชิ้นนี้จึงได้สังเคราะห์ทางเลือกนโยบายการพัฒนาประเทศสู่รายได้สูง โดยค้นหานโยบายที่เหมาะสมและจัดเรียงลำดับความสำคัญ พร้อมนำเสนอยุทธศาสตร์และกลไกในการขับเคลื่อนให้เกิดขึ้นจริงในทางปฏิบัติ ซึ่งจากการวิเคราะห์ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของนโยบาย ควบคู่กับการประเมินผลกระทบและความยากง่ายในการดำเนินการได้สำเร็จ แบ่งออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ 1. เพิ่มการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา โดยการจัดทำโครงการลงทุนขนาดใหญ่ด้านการวิจัยและพัฒนา ปรับโครงสร้างจากการผลิต (OEM) เป็นการออกแบบ (ODM) และสร้างแบรนด์ (OBM) รวมทั้งส่งเสริม angel fund และ venture capital เพื่อการวิจัยและพัฒนา 2. ยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงการเรียนการสอนที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง ลดภาระการประเมินผลการศึกษาที่ไม่จำเป็น และส่งเสริมให้กลไกตลาดทำงานมากขึ้นโดยลดบทบาทภาครัฐ เพิ่มทางเลือกการศึกษา รวมทั้งอุดหนุนการศึกษาด้านอุปสงค์ 3. พัฒนาเศรษฐกิจภาคบริการ โดยเปิดเสรีภาคบริการ ส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน และย้ายแรงงานออกจากภาคเกษตร 4. ขยายตลาดส่งออก โดยการเพิ่มความหลากหลายของสินค้าเกษตรส่งออก จัดโซนนิ่งการผลิต ส่งเสริมสินค้าที่ยังมีการผลิตน้อย เสริมสภาพคล่องเกษตรกรช่วงเปลี่ยนชนิดสินค้าที่ผลิต เจรจาเปิดเสรีการค้าโดยพิจารณาผลกระทบอย่างรอบคอบ สนับสนุนเงินทุนเพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าให้สามารถส่งออก 5. ลดต้นทุนโลจิสติกส์ โดยการผลักดันการขนส่งระบบราง และพัฒนาศักยภาพการบริหารสินค้าคงคลัง 6. ลดการพึ่งพาการนำเข้า โดยการส่งเสริมพลังงานทดแทนเพื่อลดการนำเข้าพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เช่น ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ รวมทั้งพัฒนาอุตสาหกรรมสินค้าทุนลดการพึ่งพาการนำเข้า ด้าน ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา และประธานสถาบันการสร้างชาติ กล่าวเสริมว่า ประเด็นสำคัญที่ควรตระหนักในการสร้างชาติให้มั่นคงและยั่งยืน คือการกำหนดยุทธศาสตร์สำหรับพัฒนาประเทศ โดยคำนึงถึงโครงสร้างและความซับซ้อนของโลกปัจจุบัน อันเป็นผลมาจากปัจจัยในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการกำหนดยุทธศาสตร์และวางกลยุทธ์ที่ถูกต้องและเหมาะสมของรัฐบาล โดยหากดูตัวอย่างประเทศใกล้เคียงที่ประสบความสำเร็จ เช่น ประเทศสิงคโปร์ และประเทศเกาหลีใต้ จะเห็นว่าทั้งสองมีการกำหนดยุทธศาสตร์และจัดวางกลยุทธ์ในการพัฒนาประเทศที่ดีมาก ปัจจุบันสิงคโปร์จึงกลายเป็นศูนย์กลางในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่เกาหลีใต้ซึ่งในอดีตเคยมีดัชนีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศต่อหัว(GDP) เท่ากับประเทศไทย แต่ปัจจุบันดัชนีดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นสูงกว่าไทย 4-5 เท่า อันเป็นผลมากจากการส่งเสริมและพัฒนาด้านเทคโนโลยีอย่างจริงจัง สำหรับการกำหนดยุทธศาสตร์และวางกลยุทธ์ของประเทศไทย เพื่อให้มีความเหมาะสมสามารถนำไปใช้งานได้จริง และเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดนั้นต้องพัฒนาพร้อมกัน 5 ด้าน ได้แก่ 1. กลยุทธ์ต้องเข้าใจได้ง่าย (Simplification Strategy) เพื่อลดความไม่แน่นอนและช่วยผู้ที่เกี่ยวข้อง คาดการณ์สถานการณ์และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เช่น นโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน 2. กลยุทธ์การร่วมมือกัน (Collaboration Strategy) โดยเพิ่มการสื่อสารให้มากขึ้นระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสัมคม เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านทรัพยากรมนุษย์และภาคธุรกิจ 3. กลยุทธ์กระจายอำนาจ (Decentralization Strategy) เพื่อช่วยให้การตัดสินใจนโยบายภาครัฐเกิดประสิทธิผลมากขึ้น เช่น การกระจายอำนาจด้านการศึกษาให้โรงเรียนต่างจังหวัด ได้รับการพัฒนาและส่งเสริมอย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น 4. กลยุทธ์ด้านระบบดิจิตอล (Digitalization Strategy) โดยนำเอาระบบดิจิตอลมาช่วยการจัดอย่างเป็นระบบ เพื่อลดความซับซ้อนและจำนวนคนที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบการตรวจคนเข้าเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการแบ่งปันข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การทำงานสะดวกมากขึ้น และ 5. กลยุทธ์การมองจากภายนอก (Outward-looking Strategy) โดยภาครัฐควรใช้นโยบายเชิงรุกในเวทีระหว่างประเทศ เช่น การเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งการรวมกลุ่มระหว่างประเทศ เป็นต้น ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.โฮเซ สเตลเล่ ผู้เขียนหนังสือ 'บทเล็คเชอร์ที่จีน' กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์เลวร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในปัจจุบัน ล่วนมีอิทธิพลมาจากแรงกดดันหลัก 2 ประการ ได้แก่ 1. ระบบสังคมนิยม ที่ถูกถ่ายทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ด้วยแนวความคิดตามหลักประชาธิปไตยที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ไม่คำนึงถึงอุดมการณ์ ไม่คำนึงถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น และท้ายที่สุดเกิดการใช้อำนาจกดขี่ข่มเหง ซึ่งถือเป็นทางออกเดียวสำหรับปัญหาหรือภัยคุกคามที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และ 2. แรงกดดันอื่นที่คล้ายกับระบบสังคมนิยม โดยมีจุดกำเนิดมาจากสภาพแวดล้อมทางจิตใจทางศาสนาและส่งผลให้เกิดความรุนแรงขึ้น ทั้งสองประเด็นมีวัตถุประสงค์เดียวกันคือการมีอำนาจเหนือบุคคลทั่วไป เพื่อทำลายสิทธิเสรีภาพทางความคิด และล้มล้างระบอบการไต่สวน หรือกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยให้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นได้นั้น จำเป็นต้องอาศัย "หลักนิติธรรม" (The Rule of Law) ประกอบด้วย 1. กฏหมายต้องถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์กับคนในประเทศโดยสถาบันที่มาจากการเลือกตั้ง 2. ต้องมีความเสมอภาคในการใช้กฏหมาย 3. ผู้บังคับใช้กฏหมายต้องเป็นกลาง และ 4. ต้องมีกระบวนการยุติธรรมและรัฐธรรมนูญที่ดี ควบคู่กับการเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพภายใต้กฏหมาย เพื่อให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขในสังคม ซึ่งในภาพรวมจะก่อนให้เกิดความสามัคคีและประเทศชาติที่เข้มแข็ง และนำไปสู่การเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สภาปัญญาสมาพันธ์ (WISDOM COUNCIL) โทรศัพท์ 084-522-4424 อีเมล:wisdomcouncilthailand@gmail.com หรือเข้าไปที่ http://www.wisdomcouncilthailand.com
แท็ก นวัตกรรม  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ