รักแห่งสยาม

ข่าวทั่วไป Wednesday September 26, 2007 11:08 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 ก.ย.--สหมงคลฟิล์ม
กำหนดฉาย 22 พฤศจิกายน 2550
ประเภทภาพยนตร์ รักโรแมนติก
สร้างและจัดจำหน่ายโดย สหมงคลฟิล์มอินเตอร์เนชั่นแนล
กำกับภาพยนตร์ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
อำนวยการสร้าง สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ
ควบคุมการสร้าง ปรัชญา ปิ่นแก้ว ,สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์
บทภาพยนตร์ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
กำกับภาพ จิตติ เอื้อนรการกิจ
ออกแบบงานสร้าง มนต์ชัย ทองศรีสืบสกุล
กำกับศิลป์ ธนกร บุญลือ
ออกแบบเครี่องแต่งกาย เอกศิษฎ์ มีประเสริฐสกุล
แต่งหน้า สาริน สุขขะพละ
โลเคชั่น วราภรณ์ พิบำรุง, วราวุธ ปัญจพลากรกุล
ดนตรีประกอบ ปวิณ สุวรรณชีพ
นักแสดง สินจัย เปล่งพานิช, เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์,
ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี
มาริโอ้ เมาเร่อ, วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล, กัญญา รัตนเพชร์,
อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์
เรื่องราวอบอุ่นเริ่มขึ้น....เมื่อสายลมหนาวแห่งฤดูกาลโพยพัดมา.... ...ที่นี่แห่งนี้...สยาม แห่ง รัก
“โต้ง” (มาริโอ้ เมาเร่อ) เด็กชาย ม. 6 หน้าตาดี มีแฟนสวยเสียจนเพื่อนๆ และผู้ชายทั้งสยาม สแควร์จะต้องอิจฉา แต่ใครเลยจะรู้ว่าความสดใสและน่ารักของ “โดนัท” (อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์) สำหรับโต้ง เริ่มจะกินไม่ได้เสียแล้ว โต้งเริ่มตีตัวออกห่างโดนัทและเริ่มค้นหาคำตอบให้กับชีวิตตัวเอง
ในขณะที่ “มิว” (วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงษ์กุล) เด็กชายวัยเดียวกันผู้มีพรสวรรค์ทางดนตรีก็กำลังทุ่มเทความรักให้กับเสียงเพลงและวงดนตรีของตัวเอง มิวเป็นเด็กผู้ชายขี้เหงาที่ไม่เคยได้สัมผัสกับความรักมานานแสนนาน ตั้งแต่อาม่าตายจากไป ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องยากเหลือเกินสำหรับโจทย์ “เพลงรัก” ที่มิวต้องแต่งให้กับ ”วงออกัส” เพื่อนำไปเสนอกับค่ายเพลงใหญ่ ....ในเวลาเดียวกับที่ “หญิง” (กัญญา รัตนเพชร์) เพื่อนบ้านของมิวก็คอยให้กำลังใจและแอบมองมิวอยู่ห่างๆ แต่มิวก็ไม่เคยรับรู้ความรู้สึกที่หญิงมีต่อตัวเองเลย
และแล้ววันหนึ่ง สยาม ก็เป็นที่ที่ทำโต้งและมิวก็ได้เจอกันอีกครั้ง หลังจากที่ขาดการติดต่อกันมานานตั้งแต่โต้งย้ายบ้านไปตอนเด็ก มิวแนะนำโต้งให้รู้จักกับ จูน (พลอย เฌอมาลย์) คนดูแลวงดนตรีของมิวที่หน้าตาเหมือนกับ แตง พี่สาวของโต้งที่หายตัวไปสมัยที่เขายังเด็ก โต้งจึงคิดแผนให้แม่ “สุนีย์” (สินจัย เปล่งพานิช) จ้างจูนปลอมตัวเป็นแตงเพื่อมารักษาอาการติดเหล้าให้กับพ่อ “กร” (ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี)
การเข้ามาของจูนทำให้ครอบครัวโต้งดีขึ้น ในขณะที่เพลงรักของมิวก็เริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้น ความฝันของวงออกัสที่จะได้ออกอัลบั้มเริ่มใกล้เข้ามาทุกที แต่แล้วมิวก็หายตัวไปในวันออดิชั่น สร้างความเสียหายให้กับวง จนพี่อ๊อดโปรดิวเซอร์ตัดสินใจที่จะเปลี่ยนนักร้องนำและแล้ววันคริสมาสก็ใกล้เข้ามา คอนเสิร์ตใหญ่ที่ทุกคนเฝ้ารอคอยก็กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า วงออกัสจะได้เปิดตัวต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก มิวจะตัดสินใจอย่างไร แล้วใครจะเป็นผู้จับไมค์ร้องเพลงรักที่มิวเขียนขึ้น
เตรียมพบกับเรื่องราวหลากความรัก ของหลายชีวิต ที่ถูกโยงใยโดยมิตรภาพ และถูกถ่ายทอดผ่านบทเพลงรักที่จะทำให้ทุกคนได้สัมผัสกับช่วงเวลาอบอุ่น ที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป
เมื่อมีความรัก....ย่อมมีความหวัง
นิยามรักในแบบของ ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
เราอาจจะเคยได้ยินนิยามรักมานับร้อยนับพัน แต่จะมีนิยามไหนเล่าที่มีความสุขได้เท่านิยามรักของผู้ชายคนนี้ มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับที่อาจจะกำลังทำให้ความรักของใครหลายคนเต็มไปด้วยความหวังตลอดไป กับภาพยนตร์รักโรแมนติก ที่เชื่อกันว่ามีบทที่ดีที่สุด และเต็มไปด้วยเรื่องราวความรักที่สามารถเกิดขึ้นจริงได้กับทุกคน
รักแห่งสยาม” เป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยความรักที่เกิดขึ้นกับหลายชีวิต หลายกลุ่มคน ที่เกาะเกี่ยวและโยงใยกันอยู่ในรูปแบบของความรักที่แตกต่าง ด้วยแรงปรารถนาแห่งรักที่ถูกบ่มเพาะมานานกว่า 4 ปีเต็มของผู้กำกับคนนี้ ถูกขัดเกลาจนกลายเป็นบทภาพยนตร์รักชั้นดี
“รู้สึกว่าอยากทำหนังรักเรื่องหนึ่งที่มันไม่ใช่หนังรักแบบทั่ว ๆ ไป มุมมองความรักในแบบของเราคือ ความรักมันสำคัญกับชีวิตของเรายังไงมากกว่า ถ้าเราไม่กินข้าวเราตาย แต่ไม่มีความรักเราอยู่ได้ แต่ชีวิตจะเป็นยังไงถ้าไม่มีความรักเลย นี่คือไอเดียแรกที่เราอยากจะทำหนังรักเรื่องหนึ่งที่พูดถึงความสำคัญของรักต่อการมีชีวิต ก็เลยเริ่มเขียนบทรวบรวมเรื่องราวของคนที่ผ่านเข้ามา คนที่เราเคยเจอในความทรงจำ ก็ค่อยๆเขียนค่อยๆขัดเกลา ใช้เวลาเรียนรู้อะไรประมาณหนึ่งถึงจะเข้าใจอะไรบางอย่างจนได้เป็นบทหนัง ซึ่งก็ใช้เวลานานเหมือนกัน เพราะเราก็เขียนไปเรื่อย ๆ ตราบใดที่หนังยังไม่สร้าง มันก็จะมีเรื่องราวใหม่ๆ เข้ามาอีก”
ไอเดียแรกแห่งรักของมะเดี่ยวถูกพัฒนาขึ้นไปพร้อมๆกับภาพในหัวที่อบอวลไปด้วยความรักในรูปแบบต่างๆ และเรื่องราวส่วนใหญ่ก็เกิดขึ้นที่นี่แห่งนี้ ‘สยามสแควร์’ ซึ่งจะกลายเป็นฉากหลักในเรื่อง “รักแห่งสยาม
“ทำไมต้องรักแห่งสยาม หลายๆ คนจะเข้าใจว่าเป็นหนังโบราณรึเปล่าสยามประเทศ แต่รักแห่งสยามของเราคือสยามสแควร์นี้เอง เหตุที่เป็นสยามสแควร์เพราะว่าตอนที่เราเริ่มเขียนบท ตอนนั้นจริงๆ เราเพิ่งอยู่มหา’ลัย อยู่จุฬา แล้วสยามก็เป็นที่ที่ไปประจำ แล้วก็ได้พบเห็นคู่รักมากมาย วัยรุ่นมากมายเต็มไปหมด แม้กระทั่งคนวัยทำงาน คนมีครอบครัวแล้วเค้าก็เดินสยาม มันเป็นสถานที่ในความทรงจำของหลายๆ คน เช่นเดียวกับตัวละครทั้งหลายในเรื่องนี้ เค้าพบรักกันที่สยาม เค้าอาจจะเลิกกันที่สยาม ไปเที่ยวกันที่สยาม เคยหัวเราะเคยร้องไห้ เคยมีความสุขกันในสยาม รู้สึกว่าสยามมันคลาสสิค แล้วมันก็ไม่ได้ถูกบอกเล่าในหนังไทยมานานแล้ว ดังนั้นก็เลยใช้สยามเป็นฉากหลังของหนังเรื่องนี้ ซึ่งสยามก็กลายเป็นที่ที่ตัวละครในเรื่องหลายๆ ตัวมาเจอกัน และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย”
เมื่อตัวหนังสือในบทภาพยนตร์ถูกพัฒนาจนกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวบนแผ่นฟิล์ม ความหวังของผู้กำกับที่จะได้เห็นความทรงจำในสยามสแควร์ก็เริ่มใกล้เข้ามาทุกที และแล้วก็ถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย เมื่อลมหนาวและสีสันของเทศกาลคริสมาสต์เข้ามาปกคลุมและเพลง Silent Night ก็ถูกบรรเลงอย่างครื้นเครงไปทั่วสยาม
“ในช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในหนังเรื่องนี้ จะเป็นช่วงฤดูหนาว ช่วงคริสมาสต์ปีใหม่ บรรยากาศและการตกแต่งตึกรามบ้านช่องร้านค้าต่างๆ ก็จะประดับประดาไปด้วยไฟและสีสันของวันคริสมาสต์ ก็จะเป็นฉากที่สวยงามอารมณ์หนาวๆ ที่เราจะได้เห็นในสยาม ซึ่งก็ต้องถ่ายในช่วงนั้นจริงๆ เพราะเราต้องการฉากหลังแบบนั้น”
การปักหลักถ่ายทำภาพยนตร์กันที่กลางใจเมืองที่มีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาอย่างสยามสแควร์ เห็นจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกับการควบคุมปัจจัยภายนอกและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทั้งความชุลมุนวุ่นวายของผู้คนมากมายที่แวะเวียนผ่านเข้ามาทำกิจกรรมในสยาม บ้างก็เดินผ่าน บ้างก็มุงดู บวกกับสภาพของเสียงรบกวนต่างๆ รอบด้านที่ ทำให้การถ่ายทำค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบาก
“สำหรับการทำงานที่สยามสแควร์ ก็ค่อนข้างยากเพราะว่าเราไม่สามารถควบคุมอะไรได้ เป็นที่ที่คนจากทุกสารทิศจะแห่แหนกันมาช็อปปิ้ง มาเดินเล่น ซึ่งก็ยากที่จะควบคุม แต่ว่าเราก็ซื้อเพราะว่ามันมีความสับสนอยู่ในนั้น มันมีความเคลื่อนไหวมีคนเดินไปเดินมาตลอด ซึ่งถือว่ามันเป็นสีสัน แต่มันก็ยากที่จะควบคุมคน ยากที่จะบล็อกคนไม่ให้มาเดิน ซึ่งเราก็จะเจอทั้งคนที่ไม่ให้ความร่วมมือและคนให้ความร่วมมือดีๆ อย่างเช่นร้านพี่เปี๊ยก ดีเจสยาม เค้าก็สนับสนุนให้มาใช้ร้านเค้าถ่ายทำได้ และก็มีอีกหลายร้าน
และซีนที่ยากๆ อีกซีนหนึ่งก็คือซีนที่ลานน้ำพุเซ็นเตอร์พอยต์เลย ซีนนั้นเป็นซีนอารมณ์ของมาริโอ้กับเบสท์ที่บอกเลิกกันที่สยาม แล้วลำบากมาก เสียงดังจากจอเช็คเกอร์สกรีนหน้าเซ็นเตอร์พอยต์ ทั้งทีมงานและนักแสดงไม่มีสมาธิเลย เพราะว่ามันเป็นช่วงเวลา Prime Time ช่วง 6 โมง-ทุ่มหนึ่ง คนก็เยอะมาก แห่มามุงดู นักแสดงก็ต้องทำงานหนักมากเพื่อจะรักษาสมาธิให้จนหมดซีน ก็ถือว่าเป็นซีนที่เหนื่อยจริงๆ เหนื่อยแต่ก็คุ้ม”
อยากให้รู้ว่า...เพลงรัก...ถ้าไม่รักก็เขียนไม่ได้
นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้เห็นคนเขียนหนังทำหน้าที่เดียวกับคนเขียนเพลง นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้เห็นหนังดีๆ ที่ใช้บทเพลงในการตีแผ่ความรู้สึกของตัวละครได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่ต้นจนจบ และนานเท่าไหร่แล้วที่เพลงรักไม่ได้ถูกพูดถึงในภาพยนตร์ไทยเท่าที่ควร
รักแห่งสยาม” เป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกแห่งปีที่มีเพลงรักน่าจดจำหลายเพลง จนไม่อาจปฏิเสธว่า มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ และนักแต่งเพลงคนนี้กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการเพลงและวงการภาพยนตร์ไปพร้อมๆ กัน กับผลงานเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ไพเราะและซึ้งกินใจ และยิ่งไปกว่านั้นเพลงทุกเพลงกำลังบอกเล่าความรู้สึกของตัวละครเอกได้อย่างตรงไปตรงมา ทำให้เห็นถึงพัฒนาการทางความคิดและการเติบโตขึ้นของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง
“จริงๆ แล้ว เพลงทุกเพลงเหมือนเขียนขึ้นเพื่อหนังเรื่องนี้ ซึ่งจะมีตัวละครของมิวเป็นตัวที่ถ่ายทอดเพลงเหล่านี้ออกมา มิวจะเป็นคนที่เล่าความรู้สึกตัวเองผ่านบทเพลงที่ตัวเองเขียนขึ้นมา ไม่ว่ามิวคิดอะไรอยู่ มิวต้องการจะบอกอะไรกับใคร มิวก็จะใช้เพลงสื่อ เหมือนฉากที่อาม่าเคยบอกมิวตอนเด็กว่า เรียนไว้เถอะดนตรี วันหนึ่งมันจะใช้บอกอะไรกับคนอื่น ถ้าเราไม่กล้าบอกอะไรตรงๆ” มะเดี่ยว กล่าว
เพลงแรกที่เราจะได้ยินในหนังก็คือเพลง “Ticket” ซึ่งมันจะเป็นเพลงแรกที่เล่าว่ามิวเป็นนักร้อง และเพลงของเขาเพลงนี้ก็กำลังดัง ฮิตติดชาร์ตและถูกเปิดในคลื่นวิทยุมากมาย
“เพลงนี้จะออกมาในช่วงที่เล่าถึงการจากลาของมิวกับครอบครัวโต้งที่ย้ายบ้านออกไป แล้วก็ดำเนินต่อมาจนมิวโต เป็นเพลงที่แนะนะตัว “วงออกัส” และตัวมิว ซึ่งเนื้อเพลงมันก็จะมีนัยยะถึงความรัก แต่มันไม่ได้พูดตรงๆ ใช้การเปรียบเปรย ซึ่งในเรื่องเพลงนี้ก็จะเป็นเพลงดัง ที่ขึ้นอันดับหนึ่ง แต่ว่าโปรดิวเซอร์คือพี่อ๊อด เค้าอยากได้เพลงที่มันพูดถึงความรักแบบตรงๆ ง่ายๆ ไม่ต้องอ้อม ซึ่งเป็นโจทย์ที่ทำให้มิวต้องมาคิดแล้วละว่าความรักในมุมมองมิวมันคืออะไร”
เพลงที่เล่าความรู้สึกของมิวในช่วงเวลาต่อมา ผู้กำกับบอกเล่าความพิเศษว่าเป็นเพลงที่น้อง พิช วิชญ์วิสิฐ์ หิรัญวงษ์กุล ผู้รับบทมิว เป็นคนลงมือแต่งเนื้อร้องและทำนองด้วยตัวเองในเพลงที่มีชื่อว่า “รู้สึกบ้างไหม” น้องพิชเล่าให้เราฟังถึงการมีส่วนร่วมในการทำเพลงนี้ว่า
“โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนที่ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว สำหรับเรื่องนี้ก็ได้มีโอกาสมีส่วนร่วมกับงานเพลงด้วย ก็คือเพลง รู้สึกบ้างไหม พิชแต่งเนื้อร้องและก็ทำนองเอง แต่ในเรื่องของดนตรีตรงนี้จะยกให้พี่มะเดี่ยวเป็นคนทำให้ครับ เพลงนี้ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพื่อนครับ เพื่อนกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความรัก เค้าก็โทรมาปรึกษาเรา แล้วเราก็ช่วยเค้า เราก็เลยได้ไอเดียสำหรับเพลงนี้มาครับ”
“เพลงนี้พูดถึงคนที่ไม่ได้เจอกันนาน จากกันไปนานแล้วก็รู้สึกเหมือนมันไม่มีความสุขเลย พิชก็ใช้คำดีนะ เป็นคำถามว่ารู้สึกเหมือนกันรึเปล่า ว่าตอนที่อยู่ด้วยกันมีความสุขนะ ในเรื่องมิวก็เขียนเพลงนี้ขึ้นมาเหมือนตั้งใจจะถามคนๆ หนึ่ง มันก็เล่าเรื่องได้ค่อนข้างดี” ผู้กำกับเสริม และเพลงที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือเพลง “กันและกัน” เพลงที่เป็นเหมือนแกนสำคัญในชีวิตของมิวกับสิ่งที่มิวกำลังค้นหาอยู่นั่นก็คือ “ความรัก”
“เพลงนี้เหมือนเป็นเพลงบอกรักหนึ่งเพลง แต่บอกรักในฐานะของคนที่เขียนเพลง เป็นการบอกความในใจแบบตรงๆ เลย ถ้าบอกว่าเพลงนี้แต่งให้เธอเธอจะเชื่อไหม มันอาจไม่เพราะเหมือนเพลงอื่นๆ หรอกแต่ว่ามันเป็นความรู้สึกพิเศษที่อยากให้รู้ว่า เพลงนี้เป็นเพลงของเธอนะ ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นแต่งขึ้นมาได้ยังไง แต่นานแล้ว แต่ก็แต่งเพื่อตอนเขียนบทเรื่องนี้แหละ”
“ต่อมาเพลง ‘คืนอันเป็นนิรันดร์’ เพลงนี้แต่งตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ปี 2 เคยใช้ประกอบละครเวทีที่คณะนิเทศศาสตร์ที่จุฬา ซึ่งออริจีนัลเวอร์ชั่นของเพลงนี้ จะเป็นเสียงของพี่ลูกหว้า (วงดูบาดู) เป็นคนร้อง แต่พอมาอยู่ในหนังเรื่องนี้มันก็จะเป็นเสียงของน้องเพชร -ภาสกร วิรุฬห์ทรัพย์ นักร้องยุวชนยอดเยี่ยมแห่งประเทศไทย ประจำปี 2549 ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครในหนังด้วย รู้สึกว่าเสียงน้องเพชรสามารถสื่อสารอะไรออกมาได้มากมายและทำให้เราเชื่อ ซึ่งมันก็จะเล่าเรื่อง ตอนที่ทุกคนกำลังตกอยู่ในสภาพที่แย่ เหมือนตกอยู่ในหลุมแล้วก็พยายามตะเกียกตะกายกันออกมา เต็มไปด้วยความสับสนไม่รู้จะทำยังไงกับชีวิตดี ซึ่งเพลงนี้ก็เป็นเพลงที่ปลอบประโลมจิตใจให้เราพยายามผ่านช่วงเวลาที่มืดมนเหล่านี้ไป”
มาถึงเพลงสุดท้าย ผลงานเก่าของ สุกัญญา มิเกล ที่นำมาทำใหม่เพื่อหนังเรื่องนี้โดยเฉพาะ กับเพลง “เพียงเธอ” เพลงรักเนื้อหาซึ้งๆ ความหมายดีที่อยู่ในใจผู้กำกับคนนี้มานานแล้ว เมื่อมีโอกาสเขาเลยไม่รีรอที่จะบรรจุเพลงนี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร
“โดยส่วนตัวชอบศิลปินคนนี้มาก คุณสุกัญญา มิเกล เป็นศิลปินที่เจ๋ง เป็นศิลปินในดวงใจคนหนึ่ง รู้สึกว่าเพลงที่เค้าร้องส่วนใหญ่จะเป็นเพลงรักเนื้อหาดี ไม่น้ำเน่า แล้วเพลงนี้ เพลง ‘เพียงเธอ’ ก็เป็นเพลงที่ออกมานานแล้วเป็นสิบปีแล้วมั้ง ตั้งแต่เราเป็นเด็กๆ แล้วเราก็ชอบมาก คือรู้สึกว่าในหนังมันควรจะร้องเพลงของคนอื่นบ้าง ก็เลยให้มิวร้องเพลงนี้ดีกว่า คาดว่าคงจะมีคนรู้จักบ้างแหละ”
แม้ว่าบทเพลงรักที่ถูกเขียนขึ้นในหนังจะได้รับแรงบันดาลใจจากสถานที่และเวลาที่แตกต่างกัน แต่สิ่งเดียวที่บทเพลงซึ้งเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนกันก็คือ การถ่ายทอดเพลงรักที่มันเยียวยาหัวใจ เยียวยาชีวิตให้เราสามารถอยู่ต่อไปได้ เหมือนกับความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการทำให้ภาพยนตร์รักแห่งสยาม” เป็นภาพยนตร์ที่อบอวลไปด้วยความรัก ความหวัง เพื่อให้ทุกคนพร้อมที่จะมีกำลังใจก้าวเดินต่อไป
แม้ว่าบทเพลงรักที่ถูกเขียนขึ้นในหนังจะได้รับแรงบันดาลใจจากสถานที่และเวลาที่แตกต่างกัน แต่สิ่งเดียวที่บทเพลงซึ้งเหล่านี้ทำหน้าที่เหมือนกันก็คือ การถ่ายทอดเพลงรักที่มันเยียวยาหัวใจ เยียวยาชีวิตให้เราสามารถอยู่ต่อไปได้ เหมือนกับความตั้งใจของผู้กำกับที่ต้องการทำให้ภาพยนตร์รักแห่งสยาม” เป็นภาพยนตร์ที่อบอวลไปด้วยความรัก ความหวัง เพื่อให้ทุกคนพร้อมที่จะมีกำลังใจก้าวเดินต่อไป
สยาม..แห่งรัก
ส่วนผสมที่ลงตัวของรักต่างวัย
น่ารัก.... สดใส...วัยสยาม
ปีที่แล้ว มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล เคยทำให้ น้อย วงพรู (13 เกมสยอง) โด่งดังและคว้ารางวัลนักแสดงนำชายฝ่ายชายยอดเยี่ยมมาแล้วจากหลายสถาบัน มาปีนี้ด้วยสายตาที่แหลมคมของเขาก็กำลังจะปั้นดาวดวงใหม่ให้แจ้งเกิดอีกหลายดวง ด้วยการรวบรวมเหล่าวัยรุ่นหน้าใสแต่มีดี มาถ่ายทอดสไตล์ความรักที่แตกต่างในแบบฉบับของแต่ละคน เริ่มจากตัวเอกของเรื่อง มาริโอ้ เมาเร่อ นายแบบวัยรุ่นที่กำลังฮอตที่สุดขณะนี้ ฉายแววความหล่อต้องตาผู้กำกับจนได้เข้ามาแคสบท “โต้ง” พระเอกหนุ่มวัยรุ่นแห่งสยาม
“ไปเจอเขาในปกหนังสือหลายเล่ม แล้วเรารู้สึกว่าเด็กคนนี้มันมีอะไรอยู่ แววตามันมีเรื่องราวมันน่าจะสามารถถ่ายทอดความเป็นโต้งได้ มันมีทั้งความแอบซนอยู่ในตัว แล้วก็มีความดราม่าอยู่ในนั้นด้วย ยอมรับว่าหายากมาก เพราะเด็กคนนี้ต้องเล่นเป็นลูกพี่นกสินจัยแล้วก็เหมือนกับแบกเรื่องนี้ไว้เกือบทั้งเรื่องเหมือนกัน มาเจอมาริโอ้ก็เลยเรียกมาแคสดู เราก็พยายามดึงความเป็นธรรมชาติออกมาจากตัวน้องให้มากที่สุด ซึ่งโอ้ก็ทำออกมาได้ดีเลย ใกล้เคียงกับคาแรกเตอร์ที่ควรจะเป็น”
“ตอนแรกก็ต้องสอนต้องฝึกค่อนข้างนานทีเดียว เพราะเป็นนักแสดงใหม่ ต้องมีการมาเวิร์คชอป แล้วก็สอนการแสดง แต่ว่าเราไม่ได้สอนการแสดงแบบวิธีการ สอนความ เข้าใจมากกว่า ว่า ณ เวลานี้ เราจะใช้วิธีโต้ตอบกับสถานการณ์เหล่านั้นยังไง เราจะใช้วิธีให้น้องเข้าใจเรื่องราวและให้เค้านึกถึงประสบการณ์ต่างๆ ที่ใกล้เคียงแล้วแสดงออกมา ซึ่งมาริโอ้ถือว่าเป็นนักแสดงที่มีความเป็นธรรมชาติสูง โชคดีที่น้องไม่เคยผ่านการแสดงมาก่อนฉะนั้นเค้าก็จะเป็นตัวของตัวเองแบบสุดๆ แล้วก็ลื่นไหลไปกับตัวละครหลายๆ คน ก็ถือว่าโอเคครับ เยี่ยม อนาคตไกล เป็นนักแสดงที่น่าจับตามอง” ผู้กำกับกล่าว
มาถึงหนุ่มน้อยหน้าใสอีกคนหนึ่ง เรียกว่าใหม่แกะกล่องถอดด้ามมาเลย เพราะยังไม่เคยผ่านงานแสดงที่ไหนมาก่อน น้องพิช-วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล หนุ่มผู้มีเสน่ห์ที่เสียงร้องและรอยยิ้ม รับรองว่าใครที่ได้ฟังเพลงที่เขาร้องจะต้องหลงรักเขาอย่างแน่นอน ซึ่งผู้กำกับเลือกพิชมารับบท “มิว” จากความสามารถทางด้านดนตรี เสียงร้อง และการแสดงที่โดดเด่น จนไม่อาจหาใครที่จะมารับบทนี้ได้ดีเท่ากับพิช
“สำหรับ พิช รู้จักกันมาค่อนข้างนานแล้ว พิชเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย เป็นนักร้องนักดนตรีเหมือนกัน เคยทำงานด้วยกัน แล้วพอเราจะทำหนังเรื่องนี้ ก็รู้สึกนึกถึงพิชขึ้นมา ซึ่งตัวละครมิว ก็ยากที่จะแคสใครมาเล่น เพราะคุณสมบัติของการที่เล่นเป็นมิวจะต้องร้องเพลงได้ เล่นเปียโนเป็น แสดงหนังได้ และหน้าตาดี ทั้งหมดนี้ รวมกันอยู่ในคนๆ เดียวนี่หายาก แต่ทุกอย่างก็มารวมอยู่ในตัวพิช ซึ่งคงจะเกิดมาเพื่อรับบทนี้ มีทุกอย่าง
การแสดงของพิชก็เหมือนกับโอ้คือเริ่มใหม่เลย ไม่เคยผ่านงานแสดง แต่พิชจะต่างกับโอ้ตรงที่ตัวละครของพิชมันอาจจะบุคลิกไม่เหมือนตัวของพิชทีเดียว มันจะมีทั้งความอ่อนไหว ละเอียดอ่อนลึกซึ้งของความรู้สึกค่อนข้างมาก มิวคือคนที่เอาด้านที่เด่นของตัวเองออกมาสู่คนข้างนอก แต่พยายามเก็บด้านที่อ่อนไหวของตัวเองอยู่ข้างใน ดังนั้นการแสดงออกจึงค่อนข้างยาก ดังนั้นพิชก็ต้องทำการบ้านค่อนข้างเยอะ ซึ่งพิชก็ทำอออกมาได้ดีเลย ฟังเพลงที่พิชร้อง ดูหนังที่พิชเล่นแล้วก็จะรื่นรมย์ และก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตามองอีกคนหนึ่ง”
จากหนุ่มหล่อก็มาถึงสาวสวยน่ารักกันบ้าง สาวคนนี้ก็ถือว่าใหม่กับการแสดงเช่นกัน น้องเบสท์-อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์ ในเรื่องนี้เธอจะต้องมารับบทเป็น “โดนัท” ผู้หญิงสวยเลือกได้ที่เพรียบพร้อมไปซะทุกอย่าง
“สำหรับบทของโดนัท ก็หากันหลายทีเหมือนกันเพราะว่าเด็กผู้หญิงเดี๋ยวนี้ก็หน้าตาเหมือนๆ กันหมด ดังนั้นก็จะหาที่แตกต่างค่อนข้างยาก แล้วตัวละครตัวนี้ต้องสวย เข้าคู่กับมาริโอ้แล้วก็ดูเหมาะสมกันดี ใครเห็นก็จะต้องรู้สึกว่าเหมาะสมกันจัง แต่จริงๆ แล้วลึกๆ ทั้งคู่ก็มีความขัดแย้งกันอยู่ ฝ่ายชายเฉยๆ ฝ่ายหนึ่งก็อยากจะให้เอาอกเอาใจ เป็นผู้หญิงที่สวยเลือกได้ ซึ่งการทำงานเบสท์ เราก็พยายามให้น้องคุ้นเคยกัน ให้คุยกับมาริโอ้เยอะๆ ประหนึ่งว่าเป็นแฟนกันมาแล้วประมาณครึ่งปี ให้ทำความรู้จักสนิทสนมกันไป ก็จะปล่อยน้องเค้าไปนั่งคุยกัน เราก็จะใช้วิธีนี้”
นักแสดงเด็กวัยรุ่นอีกคนหนึ่งที่เราจะไม่กล่าวถึงไม่ได้เลยเพราะเธอถือว่าเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญมาก เป็นตัวละครที่เราจะได้เห็นพัฒนาการมากที่สุด นั่นก็คือตัวละครของ “หญิง” ที่รับบทโดย น้องตาล-กัญญา รัตนเพชร์ นักแสดงเด็กวัยรุ่นที่อาจจะคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้ว
“บทของหญิงหายากมาก จริงๆ แล้วเป็นบทที่ยากที่สุดของหนังเรื่องนี้ คือหาได้เป็นคนสุดท้ายเลย เพราะเป็นตัวละครที่พลิกคาแรกเตอร์จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย คือตอนแรกจะเป็นเหมือนเป็นตัวตลก ทำให้คนยิ้มๆ น่ารักๆ แอบชอบผู้ชาย เอาผมมาใส่ตุ๊กตาหมี อ่านหนังสือกลอนใยไหม แต่พอหลังๆ ตัวละครตัวนี้ก็จะเริ่มพลิกแล้วเมื่อมันได้ผ่านเรื่องราวต่างๆ มา ซึ่งหญิงก็จะเป็นตัวแทนของผู้หญิงหลายคนที่ต้องคิดแล้วว่า ถ้าคนที่เรารักมันไม่เป็นอย่างที่เราคาดหวัง เราจะรักเค้าอยู่รึเปล่า นี่เป็นคำถามที่เกิดกับหญิงและทำให้เค้าคิดและเติบโตขึ้น
ซึ่งเราก็เฟ้นหากันมาหลายคนแล้วกับบทนี้ ก็ยังไม่ได้ จนกระทั้งวันหนึ่งคุณหนึ่ง อัครพล เตชะรัตนประเสริฐ ก็แนะนำน้องตาลมาให้ เราก็เลยเรียกมาแคส ปรากฏว่าโอเค ผ่านเลย เพราะน้องตาลจะมีความเป็นเด็กธรรมดาๆ ที่มีทั้งความใส และความดราม่าอยู่ในตัวเองและเขาก็ถ่ายทอดออกมาได้ดีเกินคาด สมมุติว่าถ้าเราเลือกน้องผู้หญิงน่ารักๆ แบ๊วๆ ใสๆ มาเล่น พอช่วงหลังที่จะเข้าไปสู่การเป็นคนที่เข้าใจอะไรแล้ว เขาก็อาจจะไปไม่ถึงตรงนั้น หรือถ้าเอาคนที่เข้าใจอะไรเยอะๆ แล้วมาเล่นเป็นเด็กแบ๊ว มันก็ไม่เป็นธรรมชาติอีก”
นอกจากนี้ผู้กำกับยังกล่าวเสริมอีกว่า นักแสดงวัยรุ่นทั้ง 4 คนกว่าเขาจะหามาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะด้วยคาแรกเตอร์ที่ค่อนข้างยากและไม่ธรรมดาของทั้ง 4 ที่จะต้องมารวมอยู่ในภาพยนตร์รักที่ไม่ใช่หนังวัยรุ่นไร้เดียงสา แต่เป็นหนังที่ต้องเล่นกับความรู้สึกนึกคิดของคนที่กำลังจะผ่านช่วงเวลาวัยรุ่นไป ฉะนั้นแล้วเชื่อเถอะว่า 4 คนที่มารับบทตรงนี้ก็ได้ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ซึ่งทั้งหมดก็สามารถถ่ายทอดเรื่องได้สมบูรณ์แบบอย่างแน่นอน
อบอุ่น...ซาบซึ้ง...ตรึงใจ
นักแสดงหลักอีกกลุ่มหนึ่งที่เราจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย ก็คือ พาร์ตของครอบครัว ซึ่งประกอบไปด้วยนักแสดงรุ่นใหญ่ของเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นพี่นก สินจัย เปล่งพานิช, พี่กบ ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี และ พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ที่ไม่ต้องการันตีฝีมือทางด้านกันแสดงอีกแล้ว เพราะทั้ง 3 เป็นนักแสดงแถวหน้าที่ฝากฝีไม้ลายมือด้านการแสดงมาให้คนดูได้ประทับใจมาแล้วนับไม่ถ้วน ยิ่งเวลาที่พวกเขามารวมตัวเข้าฉากส่งอารมณ์กันแล้วนั้น แทบจะหยุดความเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งรอบข้างลงทันที ด้วยพลังที่ส่งออกมานั้นชวนพาให้หนังเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความอบอุ่น ซาบซึ้ง และตราตรึง
ซึ่งการคัดเลือกตัวแสดงหลักทั้ง 3 คนนี้ ก็มีทั้งที่วางตัวเอาไว้แล้ว อย่างนก สินจัย ที่ผู้กำกับตั้งใจตั้งแต่ตอนที่เขียนบทแล้วว่า คนที่จะมารับบท “สุนีย์” แม่ผู้แบกรับทุกสิ่งทุกอย่าง จะต้องเป็น สินจัย เปล่งพานิช เท่านั้น
“สำหรับบทนี้เลือกไม่ยากเลย เพราะตั้งแต่เขียนมาก็นึกถึงพี่นกอยู่แล้ว วางไว้แล้วว่าต้องเป็นสินจัย เปล่งพานิชเท่านั้น ซึ่งก็จะเป็นบทของแม่ ด้วยวัยก็เหมาะสม แล้วด้วยฝีมือการแสดงที่ตั้งแต่เกิดมาเราก็เห็นพี่นกแล้ว รู้สึกว่าเป็นความใฝ่ฝันอย่างหนึ่งที่จะได้ร่วมงานกับพี่นก ซึ่งเรื่องนี้บทค่อนข้างหนัก ต้องแบกรับอะไรไว้เยอะ แต่ว่าก็ต้องเก็บความรู้สึก แสดงออกทางแววตาเท่านั้น รู้สึกว่าพี่นกมีบุคลิกของคนที่สามารถแบกรับอะไรหนักๆ ไว้ได้โดยที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่พอถึงเวลาที่จะอ่อนแออ่อนไหว ก็เต็มที่เหมือนกัน ตอนที่เราติดต่อพี่นกไปครั้งแรก พี่นกอ่านบทแล้วโอเคเลย บอกว่าชอบบท และรู้สึกว่าบทแม่บทนี้ท้าทายดี
สำหรับการทำงานกับพี่นกก็สนุกมาก พี่นกน่ารักมาก ก่อนจะถ่ายเราก็ต้องมามาเวิร์คช็อปกันก่อน ต้องมาเจอกับครอบครัว ทั้งพี่กบ พลอย และมาริโอ้ ทำให้เค้ารู้สึกว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็มีการไปถ่ายรูปด้วยกัน ให้ทำความสนิทกัน ระหว่างนั้นเราก็จะพูดคุยกับแกแลกเปลี่ยนแชร์ความเห็นกัน พี่นกก็ให้ร่วมมือทุกอย่าง เอาบทมานั่งคุยกัน เราก็ปรึกษาพี่นกเพราะเราก็ไม่เคยเป็นแม่ ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วคนเป็นแม่เค้าคิดอย่างงี้รึเปล่า ก็คุยกัน แก้บทกัน ซึ่งพี่นกก็มีแนะนำมา เราก็ได้เรียนรู้จากคนรุ่นที่เก่งๆ ด้วย รู้สึกสนุกครับ” มะเดี่ยวกล่าว
จากนักแสดงหญิงรุ่นแม่ก็มาถึงนักแสดงสาวรุ่นลูกอีกคนบ้าง พลอย เฌอมาลย์ เรื่องนี้เธอรับบทบาทเป็น 2 ตัวละคร คือทั้ง “แตง” ลูกสาวของครอบครัวสุนีย์ และ “จูน” ผู้จัดการวงดนตรีของมิว ที่หน้าเหมือนกับแตงที่หายตัวไปตั้งแต่เด็กๆ
“ตัวละครนี้มีบทบาทสำคัญมาก เราก็มองหานักแสดงหลายๆ คนที่จะมาเล่น ซึ่งนักแสดงผู้หญิงรุ่นนี้ที่น่าจับตามองมีค่อนข้างเยอะ ทีแรกเราก็ไม่ได้มองพลอยไว้ เพราะเรารู้สึกว่าพลอยเป็นรุ่นใหญ่ไปแล้ว หมายถึงอยู่แถวหน้าไปแล้ว คราวนี้คุณหนึ่งอีกแล้วก็เป็นคนแนะนำพลอยมา เราก็ลองเสี่ยงติดต่อไป พอได้มาคุยกันแล้วรู้สึกว่าจูนกันติดเร็วมาก อาจเพราะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันด้วยเลยคุยกันง่าย แล้วพลอยก็เป็นคนตรงๆ พูดกันแบบเคลียร์ๆ ไม่มีอะไร
ทางด้านการแสดงพลอยก็สามารถถ่ายทอดความเป็นทั้งจูนกับแตงได้ดีทีเดียว เสน่ห์ของตัวละครจูนก็คือมันสัมผัสกับคนหลายๆ คน ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วย น้อยครั้งที่เราจะเห็นคาแรกเตอร์อย่างนี้ในหนังนะ ผู้หญิงที่ทำงานตัวคนเดียว มันเด็ดเดี่ยวดี และในฐานะที่พลอยตัวจริงเป็นน้องสาว แต่ต้องมาเล่นเป็นพี่สาว เป็นคนที่ต้องมาดูแลคนอื่นและต้องเข้าอกเข้าใจคนอื่น เลยรู้สึกว่าพลอยทำในจุดนี้ได้ค่อนข้างดี ยิ่งเวลาไปเข้าบทกับพี่นกพี่กบ นักแสดงเซ็ตนี้จะแข็งแรงมาก”
มาถึงนักแสดงรุ่นใหญ่ฝ่ายชายกันบ้าง กบ ทรงสิทธิ์ ที่เรื่องนี้พลิกคาแรกเตอร์จากผู้ชายมาดอบอุ่นดูดีไปเป็น พ่อผู้สิ้นหวังและท้อแท้ในชีวิต กลายเป็นคนติดเหล้า ปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรม ซึ่งเจ้าตัวก็ยอมรับว่ายังไม่เคยเล่นหนังที่ต้องไว้หนวด ปล่อยเนื้อปล่อยตัวขนาดนี้ และยังต้องร้องไห้เยอะอีกด้วย
ผู้กำกับเล่าให้ฟังว่า “คนจะรู้จักพี่กบที่เป็น ทรงสิทธิ์ ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง ดูเป็นผู้ชายอบอุ่น ดูเป็นพี่ชาย ซึ่งถูกต้องแล้ว ตอนต้นเรื่องเค้าก็เป็นพ่อที่น่ารักนะ เป็นพ่อที่อบอุ่น ดูแลลูก เข้าใจลูก แต่แล้ววันหนึ่งความรู้สึกผิดแค่ครั้งเดียวที่มันเปลี่ยนชีวิตเค้าไปเลย เพราะเค้าไม่ใช่คนที่เข้มแข็งขนาดที่จะลืมทุกอย่างได้ เขาก็เลยหาทางออกด้วยการกินเหล้า เพื่อที่จะลืม แต่ยิ่งกินก็ยิ่งทำให้มันจำ มันตกอยู่ในความรู้สึกตรงนั้น ซึ่งก็ถูกต้องแล้วที่บทนี้เป็นพี่กบ
ส่วนในด้านการทำงาน พี่กบก็เป็นคนที่ทำการบ้านมาละเอียดมาก อ่านบทและก็ทำความเข้าใจ เราก็จะปรึกษากันในหลายๆ เรื่อง อีกอย่างพี่กบเป็นคนร้องไห้เก่งมาก คือเราเข้าใจว่าผู้ชายจะร้องไห้ยาก แต่ว่าพอเป็นพี่กบแล้ว แป๊บๆ น้ำตาก็ออกแล้วแล้ว บางทีรู้สึกว่าเค้าเข้าใจบทเยอะกว่าเราอีก ด้วยความที่เค้าเป็นผู้ใหญ่ด้วยมั้ง”
CAST : The Idol of Siam
มาริโอ้ เมาเร่อ
โต้ง เด็กชายวัยรุ่น ม. 6 อายุ 17 ปี หน้าตาดี มีแฟนสวย แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังโต้งแอบซ่อนความเจ็บปวดจากสภาพครอบครัวที่สูญเสีย “แตง” พี่สาวที่หายตัวไปตั้งแต่สมัยเขายังเด็ก แต่โต้งก็ยังดำเนินชีวิตต่อไปเหมือนเด็กผู้ชายวัยรุ่นทั่วไปที่ใช้เวลาไปกับการเรียนและเที่ยวกับเพื่อน เพียงแต่ลึก ๆ แล้วเขายังไม่รู้ว่าจะเลือกทางเดินไหนให้กับชีวิตดี
“โต้งเป็นตัวแทนความรักประเภทของวัยรุ่นครับ ความรักของโต้งก็นำพาไปถึงตัวละครตัวอื่นๆ ในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อน พี่สาว และก็แฟนด้วย ก็เหมือนเป็นความรักที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นครับ และก็เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับคนดู ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังไทยที่ดีอีกเรื่องหนึ่งเลยครับ เพราะเราจะได้เห็นความรักในหลายๆ รูปแบบ ทั้งมิตรภาพของเพื่อน ความรักของแม่ ความผูกพันของครอบครัว และของคนอีกหลายๆ กลุ่มเลยครับ จะได้ความอิ่มเอมใจกลับบ้านแน่นอน”
มาริโอ้ เมาเร่อ หรือ โอ้ หนุ่มลูกครึ่ง จีน - เยอรมัน เกิดเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2531 อาศัยอยู่เมืองไทยตั้งแต่เล็กจนโต เริ่มเข้าวงการจากการถ่ายโฆษณา และถ่ายแบบในนิตยสาร จนกลายเป็นนายแบบวัยรุ่นที่กำลังมาแรงที่สุดในขณะนี้ รวมถึงยังเป็นพระเอกมิวสิควิดีโออีกมากมาย ล่าสุดคงจะคุ้นกันดีในมิวสิค “ปากดีขี้เหงา” ของมีล่า ปัจจุบันเขากำลังก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงอย่างเต็มตัวด้วยผลงานการแสดงในภาพยนตร์รักแห่งสยาม
ผลงาน โฆษณา “Exit Rollon” , “Pizza Company“ , “มันฝรั่ง Jax“ , “กูลิโกะ โคลอน“ , “ทรอสโฟม“ , “ซูกัส“ , “นมโฟโมสต์ , “MV “กุญแจที่หายไป” (ปาล์มมี่), “ปากดีขี้เหงาเอาแต่ใจ” (มิล่า) ฯลฯ
วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล
มิว เด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกันกับโต้ง ชีวิตมิวอาศัยอยู่กับอาม่าเพียงลำพังจนกระทั่งอาม่าเสีย มิวก็ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว อาม่าคือคนที่สอนให้มิวเล่นดนตรี มิวจึงกลายเป็นเด็กที่โตมากับความเหงาและเสียงเพลง ด้วยพรสวรรค์ทางด้านดนตรี เขาและเพื่อนจึงรวมวงกันทำเพลงจนฮิตติดชาร์ต แต่แล้วมิวก็ได้รับโจทย์ให้เขียนเพลงรักซึ่งเป็นเรื่องยากมากสำหรับมิวผู้ไม่เคยได้สัมผัสกับความรักมานานแสนนาน
“ความรักของมิวจะเป็นตัวแทนของคนที่ใช้ชิวิตไปวันๆ โดยไม่ได้ใส่ใจว่าความรักจะมาหาเราเมื่อไหร่ มีก็ได้ ไม่มีก็ไม่เป็นไร อยู่อย่างเหงาๆ ต่อไป แล้ววันๆ นึงก็มีคำถามว่า เอ๊ะ นี่เราจะอยู่ใช้ชีวิตอย่างงี้ไปตลอดชีวิตเลยเหรอ ช่วงที่มิวเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา ก็เป็นเวลาเดียวกับที่โปรดิวเซอร์ของค่ายเพลงเสนอให้มิวลองแต่งเพลงรักดู เค้าก็เลยต้องมานั่งคิดดูว่า ความรักมันเป็นยังไง ในเรื่องนี้เราจะเห็นตัวละครในเรื่องตามหาความรัก เผชิญหน้ากับความรักในรูปแบบต่างๆ ตรงนี้คนดูก็จะได้มุมมองอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง และความรัก”
วิชญ์วิสิฐ หิรัญวงศ์กุล หรือ พิช เกิดเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2532 รักเสียงเพลงและการร้องเพลงเป็นชีวิตจิตใจ เป็นนักร้องนำประจำวงดนตรีที่โรงเรียนมงฟอร์ตวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยหน้าตา บุคลิก และความสามารถที่ฉายแววเข้าตารุ่นพี่อย่างมะเดี่ยว ทำให้พิชได้ลองเข้ามาลองแคสบทของมิวในภาพยนตร์รักแห่งสยาม” ซึ่งถูกใจผู้กำกับจนถึงขั้นออกมาสารภาพว่าพิชเกิดมาเพื่อรับบทนี้จริงๆ
ผลงาน ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ “ข้าวเหนียวหมูปิ้ง”
อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์
โดนัท แฟนสาวของโต้งที่สวย เริด และเลือกได้ เป็นที่หมายปองของหนุ่มๆ จากหลายโรงเรียน แต่แล้วโดนัทก็เริ่มไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ของโต้งที่มีต่อเธอ เธอเริ่มสัมผัสได้ถึงความเฉยชาและไม่ใส่ใจของโต้งแต่ก็ยังไม่อาจหาเหตุผลให้กับตัวเองได้ หรือว่าความต้องการที่มากเกินไปของเธอกำลังจะกลายเป็นการเรียกร้องที่ไม่อาจได้ความรักกลับคืนมา
“โดนัทเป็นเหมือนตัวแทนของเด็กผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ต้องการความรัก ต้องการให้เอาใจใส่มากๆ อยากให้แฟนรักเรา ใส่ใจเรา แคร์เรา แต่เหมือนในเรื่องโต้งแฟนของโดนัทมันไม่ได้อย่างใจ ไม่ทำตามใจเรา มันก็เลยค่อนข้างมีปัญหากัน โดนัทก็แค่อยากได้คนที่รักจริงๆ เท่านั้นเอง ซึ่งในเรื่องนี้ก็จะมีความรักอีกหลายแบบที่เกี่ยวโยง ผูกพันกันต่อไปอีก เรื่องนี้เบสท์คิดว่าเป็นหนังที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน และก็เชื่อว่ารักแห่งสยามเป็นหนังรักแห่งปีนี้จริงๆ “
อธิชา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์ หรือ เบสท์ สาวสวยน่ารัก คุยเก่ง เกิดเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2531 เริ่มเข้าวงการจากการประกวดชนะตำแหน่ง "สาวผิวน้ำนม" ของ Babi mild ตั้งแต่อายุ 16 หลังจากนั้นเธอก็เริ่มมีงานถ่ายแบบในนิตยสารวัยรุ่น และถ่ายโฆษณา รวมถึงเป็นนางเอกมิวสิควิดีโออีกนับไม่ถ้วน
ผลงาน ชนะประกวดตำแหน่ง "สาวผิวน้ำนม" ของ Babi mild , ชนะประกวดตำแหน่ง "สาววีต้า" ของ Vita , นางเอก MV Karaoke series (แดน-บีม), “ขอเจ็บแทน” (Clash) ,“ใจไม่รักดี” (Freeplay), “ความดีที่ไม่อยากทำ” (ลาบานูน) , “กลัว” (โมโนโทน), นานแล้วนะ (Andy), ไม่มีวันอยู่แล้ว (โต๋ - ศักดิ์สิทธิ์), โฆษณา “Magic Talker’s”, “TT & T” , “M BIKE” ฯลฯ
กัญญา รัตนเพชร์
หญิง เด็กสาววัยใส จอมแบ๊ว เพื่อนบ้านของมิวที่แอบชอบมิวมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยกล้าบอก ได้แต่เพ้อฝันไปวันๆ และวิธีที่เดียวที่เธอคิดได้ก็คือ การเปิดตำราพิชิตใจชายเพื่อทำให้มิวหลงรัก และไม่ว่าคำตอบจะเป็นยังไง หญิงก็พร้อมที่จะก้าวเดินต่อไปด้วยใจที่มีหวัง
“หญิงก็เป็นตัวแทนความรักของผู้หญิงที่แอบรับผู้ชายคนๆ หนึ่ง ก็ได้แต่แอบมอง ไปยืนรอหน้าบ้าน ส่องหน้าต่างดูตลอดเวลา ทำอะไรตลกๆ เพี้ยนๆ ทำตามหนังสือ เช่น ในตำราเขาบอกให้ริดดอกกุหลาบ 99 ดอกเอาไปวางไว้หน้าบ้าน แล้วจะสมหวังในรัก ก็ทำตาม เอาเส้นผมมาใส่ไว้ในตุ๊กตาหมีทำเป็นตุ๊กตาวูดู แต่ก็น่ารักดีนะ เหมือนตัวตลกในเรื่องเหมือนกัน แต่สุดท้ายแล้วตัวละครตัวนี้ก็จะมีการเรียนรู้ เติบโตขึ้น ตาลก็คิดว่า ตัวละครหญิงก็ตอบโจทย์ได้ถูกต้องแล้ว ก็คือทำอะไรก็ได้เพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข”
กัญญา รัตนเพชร์ หรือ ตาล เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2532 เธอฉายแววความเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุประมาณ 13-14 เธอมีโอกาสได้แสดงภาพยนตร์เรื่องแรก “เอ๋อเหรอ” ผลงานกำกับของ พจน์ อานนท์ รวมถึงงานถ่ายโฆษณาและถ่ายแบบในนิตยสารวัยรุ่น ด้วยความสามารถทางการแสดงเธอจึงถูกเลือกให้เล่นภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง และล่าสุดกับบทหญิงในภาพยนตร์รักแห่งสยาม” ซึ่งเธอยอมรับว่าค่อนข้างหนักใจ เพราะมีซีนอารมณ์เยอะมากและเป็นครั้งแรกที่เธอจะต้องร้องไห้
ผลงาน ภาพยนตร์เรื่อง “เอ๋อเหรอ”, ”รับน้องสยองขวัญ”, “สวยลากไส้”
สินจัย เปล่งพานิช
สุนีย์ แม่ของโต้ง หญิงแกร่งผู้แบกรับครอบครัวอันเปราะบางจากการสูญเสียลูกสาวไป เธอพยายามเข้มแข็งและใช้ชีวิตเหมือนปกติที่สุดเพื่อให้ครอบครัวเดินต่อไป แต่ใครจะรู้ว่าลึกๆ ในใจนั้นมันได้ทิ้งบาดแผลที่เธอไม่อาจลืมได้ เหลือเพียงโต้งคนเดียวที่เป็นดังแก้วตาดวงใจ เธอจึงรักและค่อนข้างเคี่ยวเข็ญโต้งเป็นพิเศษ จนบางครั้งก็ลืมคิดถึงความรู้สึกของลูกชายผู้กำลังเติบโต
“ก็ค่อนข้างตื่นเต้นอยู่เหมือนกันสำหรับเรื่องนี้ เพราะว่าหยุดเล่นหนังมานานแล้ว พอได้อ่านบทเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ แล้วก็มะเดี่ยวเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ที่มีฝีมือ เขาทำหนังออกมาดีและน่าสนใจมาก ก็เลยอยากทำงานด้วย รู้สึกว่ามันน่าจะมีอะไรดีๆ ถ้าได้ทำงานร่วมกัน ก็ดีใจที่เขานึกถึงเรา เห็นบทหนักๆ แล้วก็นึกถึงนก สินจัย”
นก สินจัย เปล่งพานิช เกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2508 นักแสดงหญิงผู้อยู่ในวงการมากว่า 26 ปี เล่นหนังมาแล้วกว่า 30 เรื่อง และละครอีกนับไม่ถ้วน เริ่มเข้าวงการจากการเป็นนางแบบให้ห้างไทยไดมารุ จากนั้นก็ได้มีโอกาสเข้าสู่วงการภาพยนตร์ไทยจากเรื่อง “สายสวาทยังไม่สิ้น” (2525) ของหม่อมน้อย ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล หลังจากนั้นเธอก็กลายเป็นนางเอกของเมืองไทยตลอดกาล ไม่น่าเชื่อว่าธอห่างหายจากวงการหนังไทยแบบเต็มตัวมากว่า 18 ปี แต่กลับทุ่มเทบทแม่ให้กับเรื่อง “รักแห่งสยาม” เพราะถูกใจบทมากจนไม่อาจปฏิเสธได้
ผลงาน ภาพยนตร์ “สายสวาทยังไม่สิ้น” (2525), “ช่างมันฉันไม่แคร์” (2529), “สะแกกรัง” (2529) , “สะใภ้” (2529), “แสงสูรย์” (2529), “ฉันผู้ชายนะยะ” (2530), “ฉันรักผัวเขา” (2530), “ไฟซ่อนเชื้อ” (2530), “ครั้งเดียวก็เกินพอ” (2531), “ภุมรีสีทอง” (2531), “ รักด้วยชีวิต” (2531), “วิวาห์จำแลง” (2531), “รักข้างแรม” (2532) ฯลฯ
เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์
แตง พี่สาวของโต้ง ลูกสาวคนโตของครอบครัวกรและสุนีย์ แตงเป็นเด็กสดใสร่าเริง พอจบม.ปลายเธอได้ขอพ่อแม่ไปเที่ยวกับเพื่อนที่เชียงใหม่ และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเธอหายตัวไปขณะออกไปเดินป่า การจากไปของแตงในครั้งนั้นได้เปลี่ยนชะตากรรมของครอบครัวนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
จูน ผู้ดูแลวงดนตรีของมิวที่บังเอิญหน้าเหมือนกับแตงพี่สาวผู้จากไปของโต้งอย่างแยกไม่ออก จูนถูกจ้างให้ปลอมตัว แนะนำให้เข้ามาเป็นผู้ดูแลกรที่กำลังป่วยอยู่ การเข้ามาของจูนทำให้ครอบครัวของสุนีย์ดีขึ้น และหลายอย่างทำให้สุนีย์เริ่มคิดว่า จูนนั้นอาจจะเป็นแตงจริง ๆ ก็ได้
“พลอยหายหน้าหายตาจากวงการหนังมาพักนึงแล้ว กลับมาครั้งนี้ก็เป็นหนังแนวรัก เป็นความรักที่อบอุ่นของหลายชีวิต เรื่องนี้พลอยเล่นเป็น 2 บทบาท เป็นหนังที่ตัวพลอยเองชอบมากๆ ตั้งแต่อ่านบทแล้ว รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้จะให้อะไรกับเราหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเรื่องความรัก ที่ทำให้พลอยรู้ว่า โลกนี้ถ้ามันไม่มีความรักคนเราก็คงอยู่ไม่ได้ เพราะรักจริง ๆ เพราะรักอย่างเดียวที่ทำให้คนเราเป็นได้มากขนาดนี้”
พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2525 นักแสดง-นางแบบ แถวหน้าของเมืองไทย น้องสาวคนเดียวของนักแสดงสาว นุ่น-สินิทรา พลอยเริ่มเข้าวงการจากการถ่ายโฆษณานีเวียตอนอายุ 11 ขวบ จากนั้นก็ถ่ายมิวสิควิดีโอ ถ่ายโฆษณา เรื่อยมาจนเป็นนางเอก ด้วยความสามารถที่หลากหลาย เธอรับทั้งงานละคร ภาพยนตร์ ถ่ายแบบ พิธีกร รวมถึงนัดจัดรายการวิทยุอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอในวงการก็คือ “Goodbye Summer เอ้อเหอเทอมเดียว” ในปี 2539
ผลงาน ภาพยนตร์ “Goodbye Summer เอ้อเหอเทอมเดียว” (2539) “เรื่องรักน้อยนิดมหาศาล” (2546), “สตางค์” (2543) “บุปผาราตรี 1” (2546), “แมนเกินร้อย แอ้มเกินพิกัด” (2546), “The Park สวนสนุกผี” (2546), บุปผาราตรี 2 (2548)
ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี
กร พ่อของโต้งผู้พ่ายแพ้ต่ออดีตอันเจ็บปวดจนไม่อาจหาทางออกให้กับตัวเองได้ กรเคยเป็นพ่อที่ดีและรักลูกเมียมาก แต่การสูญเสียลูกสาวในครั้งนั้นทำให้เขาโทษตัวเองและจมทุกข์อยู่กับความผิดพลาดของตัวเอง กินแต่เหล้าจนกระทั่งรางกายทรุดโทรมลงไป ไม่นานเขาก็กลายเป็นคนติดเหล้าและความจำเลอะเลือน
“เรื่องนี้เป็นหนังไทยที่พูดถึงมุมมองเล็กๆ มุมหนึ่งในครอบครัวที่มันไม่เคยเห็นในหนังไทย ชอบตรงแนวความคิด ตั้งแต่เริ่มอ่านบทแล้ว อีกอย่างส่วนตัวเล่นเรื่องนี้ไม่เหมือนทุกเรื่อง คือหลายๆ เรื่องส่วนใหญ่จะรวย ดูดีมีชาติตระกูล แต่เรื่องนี้เป็นคนปกติธรรมดา ต้องเล่นเป็นคนติดเหล้าด้วย ซึ่งก็จะต้องปล่อยเนื้อปล่อยตัว ลดน้ำหนัก ไว้หนวด ซึ่งยังไม่เคยเล่นอะแบบนี้ และก็เป็นหนังเรื่องแรกที่ต้องร้องไห้เยอะที่สุดเลยด้วย”
กบ ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2510 เริ่มเข้าวงการด้วยการถ่ายแบบ จากนั้นก็เข้าสู่อาชีพนักแสดงด้วยการชักชวนของ มล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาได้แสดงละครเรื่องแรกชื่อ "เดอะ ผับ" ตั้งแต่อายุ 21 หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสเล่นละครเวที และแสดงภาพยนตร์เรื่องแรก “เผื่อใจไว้ให้กันสักหน่อย” (2532) เป็นเวลาเดียวกับที่ทำอัลบั้มชุดแรก “เผื่อใจไว้” จากนั้นภาพของนักร้องเสียงนุ่มคนนี้ก็เป็นที่รู้จักในวงการเพลง และเขาก็ได้สร้างผลงานเพลงที่ประทับใจและน่าจดจำอีกมากมาย เช่น เพลงปาฏิหาริย์, ขีดเส้นใต้, รักของเราไม่เก่าเลย ฯลฯ
ผลงาน ภาพยนตร์ “เผื่อใจไว้ให้กันสักหน่อย” (2532), ขังแปด (2545), มหัศจรรย์พันธุ์รัก (2547)
ประวัติผู้กำกับ : มะเดี่ยว ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล
1981 เกิดวันที่ 15 มีนาคม 1981 ปัจจุบันอายุ 26 ปี
1999 เอ็นติดคณะนิเทศ จุฬา เลือกเรียนภาคฟิล์ม (ภาพยนตร์และภาพนิ่ง) เพราะคิดว่าเหมาะกับตัวเองมากที่สุด
2000 หนังสั้นเรื่อง “บ้านเก่า”
2001 หนังสั้นเรื่อง “ดงรกฟ้า”, “วิมานนี้สีชมพู ”
2002 หนังสั้นเรื่อง “มอเตอร์ไซค์ฮ่าง”, “ลมเยาวราช”
2003 หนังสั้นเรื่อง “2003”, “สารคดีว่าด้วยอนาคตของชาติ” และ “ลี้” -หนังที่มีความยาวเหมือนหนังใหญ่ และแอบฉายตามโรงไปแล้วหลายรอบ
2004 ภาพยนตร์เรื่อง “คน ผี ปีศาจ”
2006 ภาพยนตร์สั้นเรื่อง “12” (12 Begins) และ ภาพยนตร์เรื่อง “13 เกมสยอง”
(13 Beloved)
2007 ภาพยนตร์เรื่อง “รักแห่งสยาม
รางวัล
หนังสั้น “สารคดีว่าด้วยอนาคตของชาติ”
- รองชนะเลิศรางวัลช้างเผือกประจำปี 2003
ภาพยนตร์ “13 เกมสยอง”
- Best of Puchon: Puchon International Film Festival (PiFan) ครั้งที่ 11 ประเทศเกาหลี
- Best Asian Film award: European Fantastic Film Festival Federation Asian Award หรือ EFFFF
- Best Asian Film: The Golden Prize จาก The Fantasia International Film Festival ครั้งที่ 9 ประเทศแคนาดา
- เข้าร่วมใน 4 เทศกาลภาพยนตร์ระดับโลก อาทิ Hannya Film Festival 2007 (สเปน) Udine Far East Film Festival (อิตาลี), Neuchatel International Fantastic Film Festival (สวิสเซอร์เลนด์), Fantasia International Film Festival (แคนาดา), Puchon International Fantastic Film Festival (เกาหลี)
- รางวัลสุพรรณหงส์ทองคำ-รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายชายยอดเยี่ยม, รางวัลการสร้างภาพพิเศษ
- รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง-รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายชายยอดเยี่ยม,รางวัลลำดับภาพยอดเยี่ยม
- รางวัลสตาร์เอนเตอร์เทนเมนท์อวอร์ด-รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายชายยอดเยี่ยม,รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยม
- รางวัลสตาร์พิคส์อวอร์ด-รางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมฝ่ายชายยอดเยี่ยม
- รางวัลพระสุรัสวดี(รางวัลตุ๊กตาทอง)-รางวัลถ่ายภาพยอดเยี่ยม

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ