มุมมอง “Hedge Fund” ก้าวต่อไปของ TFEX...ต้องเติบโตยั่งยืน

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday May 7, 2018 15:34 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--7 พ.ค.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือ TFEX มีอายุ 12 ปีเต็ม แม้จะเทียบได้กับเด็กน้อยในวัยระดับมัธยมต้น แต่ที่ผ่านมาก็ได้เห็นพัฒนาการและการเติบโตที่มีคุณภาพ สะท้อนได้จากปริมาณธุรกรรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากหลักร้อยสัญญาต่อวัน มาจนถึงปี 2561 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยสูงถึง 468,000 สัญญาต่อวัน ขณะเดียวกันปริมาณผู้ให้บริการหรือโบรกเกอร์ จาก 20 ราย ขยับขึ้นมาเป็น 40 ราย ส่วนจำนวนผู้ลงทุนเพิ่มขึ้นมากกว่าแสนราย รวมถึงจำนวนผลิตภัณฑ์มีให้ผู้ลงทุนเลือกลงทุนได้หลากหลายมากขึ้น ครอบคลุมทั้งอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับตราสารทุน ตราสารหนี้ อัตราแลกเปลี่ยน และสินค้าโภคภัณฑ์ สอดคล้องกับมุมมองของ Chief Executive Officer, Mudley Group และ Chief Investment Officer, Riccio Investment "ปณต จิตต์การุณ" หรือคุณต้าน ในฐานะ Hedge Fund ที่มีมุมมองต่อตลาด TFEX ในขวบปีที่ 12 นอกจากได้เห็นพัฒนาการและการเติบโตแล้ว ยังเชื่อว่า TFEX มาถึงจุดที่เรียกว่า "รอยต่อสำคัญ" เนื่องจากผู้ลงทุนเอง เริ่มมีความคุ้นเคยกับเครื่องมือในตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามากขึ้น ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ก้าวต่อไปของ TFEX จะต้องมีความยั่งยืน หรือมีความสมบูรณ์ ซึ่งความยั่งยืนของ TFEX จะต้องประกอบด้วย นักเก็งกำไร โดยปัจจุบันมีนักเก็งกำไรเข้ามาซื้อขายแล้ว เนื่องจาก "อนุพันธ์" เป็นตราสารที่สามารถใช้เพื่อเก็งกำไรส่วนต่างของราคาได้ และตราสารอนุพันธ์ ยังเป็นตัวช่วยหรือทางเลือก ที่ทำให้นักเก็งกำไรได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า จึงทำให้ตลาดอนุพันธ์เป็นแหล่งที่นักเก็งกำไรชื่นชอบ และหากนักเก็งกำไรเข้ามามากพอก็จะส่งผลดีต่อสภาพคล่องในการซื้อขาย TFEX จะมีความยั่งยืนและสมบูรณ์ได้ องค์ประกอบถัดมาคือ เราจะต้องพัฒนาระดับของนักเก็งกำไรให้เป็น Hedger หรือ นักเก็งกำไรที่สามารถป้องกันความเสี่ยงให้กับตัวเองได้ โดยมีความเข้าใจและความพอใจกับผลตอบแทนที่ตัวเองกำหนดไว้ สำหรับวิธีการสร้าง Hedger นั่นก็คือ การให้ความรู้และพัฒนาคนกลุ่มนี้เข้าสู่ตลาด TFEX มากขึ้น ทั้งนี้ ธรรมชาติของนักเก็งกำไร มักจะให้ความสำคัญกับผลตอบแทนเป็นหลักโดยไม่คิดว่าควรพอใจกับผลตอบแทนในระดับไหน ตัวอย่างการ Hedging เช่น จังหวะนั้นมองว่าราคาข้าวมีโอกาสปรับตัวลดลง เราเลยทำสัญญาขายข้าวเอาไว้ล่วงหน้า สมมติเซ็นสัญญาล็อคราคาซื้อขายกันในอีก 3 เดือนข้างหน้าที่ราคา 8,000 บาท ซึ่งหากราคาดิ่งลงมา 6,000 บาท จะทำให้เขาเสียหายไม่มาก แต่ต่อมาหากราคาข้าวขึ้นไปที่ระดับ 10,000 บาท Hedger จะรู้สึกเฉยๆ เพราะเขามีความรู้มีความเข้าใจสถานการณ์ เช่น รู้ราคาตลาด รู้ทิศทางหรือแนวโน้มตลาด เป็นต้น แต่นักเก็งกำไรจะความรู้สึกเสียดายทันที เพราะมองแค่ผลตอบแทน แต่ไม่ได้มองว่า ถ้าราคาลดลงเหลือ 6,000 บาท เขาจะเกิดความเสียหายมากแค่ไหน สะท้อนให้เห็นว่า Hedger ยังสามารถล็อคการขาดทุนได้ และไม่ขาดทุนจากการลงทุนแน่นอน "ในมุมมองของผม ความรู้เป็นสิ่งสำคัญ อย่าเพิ่งมองเรื่องผลตอบแทน เพราะถ้าเรามีความรู้แล้วผลตอบแทนจะมาง่ายกว่า ยอมลงทุนกับความรู้ก่อนคุ้มกว่า อย่าเสี่ยงเสียไปกับเงินที่เราเก็บมาด้วยความเหนื่อย" นอกจากนี้ ก็ต้องมีนักลงทุนสถาบัน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรู้อยู่แล้ว เขาจะใช้ประโยชน์จากตลาด TFEX ในการทำ Arbitrage หรือกลยุทธ์ในการทำกำไรจากผลต่างของราคาใน 2 ตลาด หรือระหว่างตลาดหุ้นกับตลาด TFEX และหัวใจสำคัญที่จะทำให้ TFEX มีความยั่งยืนและสมบูรณ์ได้ นั่นก็คือ ระบบชำระราคาและส่งมอบสินค้าอ้างอิง (Clearing) ถ้างานส่วนนี้มีการส่งมอบกันได้ตรงตามกำหนด ไม่มีการผิดนัด จะสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้เกิดความมั่นใจ โดยจุดนี้จะสามารถดึงดูดนักลงทุนหลากหลายกลุ่มให้เข้ามาซื้อขายได้มากขึ้น ทั้งนี้ สำหรับนักเก็งกำไร และ Hedger หากเน้นการลงทุนโดยใช้เงินมาร์จิ้นเป็นหลัก อาจจะกลายเป็นดาบสองคมเพราะหากขาดทุนมากๆ จะต้องถูกบังคับขาย ดังนั้น เราควรพอเพียงกับการกำหนดวงเงินในการลงทุนมีเท่าไหร่ลงทุนเท่านั้น เช่น ตั้งเป้าจะลงทุน 1 ล้านบาท เราควรแบ่งเงินออกเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งลงทุนใน Money Market และอีกครึ่งหนึ่ง ซื้อขาย SET50 Index Futures ใน TFEX เพราะหากการซื้อขายใน SET50 Index Futures มีปัญหา เรายังสามารถดึงเงินจาก Money Market เข้ามาลดความเสี่ยงได้ กระแสการเทรดอนุพันธ์ หากสามารถสร้างนักลงทุนที่เป็น Hedger ได้มากขึ้น ประกอบกับมีระบบ Clearing ที่น่าเชื่อถือ นักเทรดอนุพันธ์ก็จะเข้ามาซื้อขายใน TFEX มากขึ้น และอันดับการซื้อขายของ TFEX ในเวทีโลกจากปี 2560 ซึ่งอยู่อันดับที่ 26 ก็เชื่อว่าจะเติบโตต่อเนื่องอย่างแน่นอน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ