บล.ทิสโก้คาด Q4 เงิน LTF-RMF จ่อไหลเข้า 5 หมื่นล้านบ. ชี้หุ้นไทยปรับฐานน้อยกว่าประเทศอื่น เหตุพื้นฐานแข็งแกร่ง

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 10, 2018 11:11 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--10 ต.ค.--ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป กูรูทิสโก้ชี้ ไตรมาส 4/2561 เงิน LTF-RMF จ่อไหลเข้าหุ้นไทย 5 หมื่นล้านบาท ประกอบกับเศรษฐกิจไทยโตแกร่งหนุนดัชนีไม่หลุด 1,670 จุด หลังหุ้นทั่วโลกปรับฐานรับ Bond Yield เด้ง คาดดัชนีสิ้นปีแตะ 1,810 จุด นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้ (Mr.Viwat Techapoonphol, Deputy Managing Director, Head of Technical Analysis, TISCO Securities Co., Ltd) กล่าวถึงภาพรวมตลาดหุ้นไทยว่า ในช่วงนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงเกือบทุกตลาด สาเหตุหลักมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.23% ถือเป็นระดับที่สูงสุดในรอบ 7 ปี เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ออกมาดีต่อเนื่อง จึงทำให้นักลงทุนบางรายต้องทยอยขายหุ้นออกมาเพื่อกลบการขาดทุนจากราคาตราสารหนี้ที่ปรับลดลง (Bond Yield เพิ่มขึ้น ราคาตราสารหนี้ปรับลดลง) โดยประเทศที่ดัชนีปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัดคือ ตลาดหุ้นกลุ่มละตินอเมริกา ยุโรป และเอเชียในบางประเทศที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ค่าเงิน รวมไปถึงปัญหาการเมือง ขณะที่ตลาดหุ้นไทยปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น เพราะปัจจัยพื้นฐานด้านเศรษฐกิจของไทยแข็งแกร่ง นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสนับสนุนจากภาครัฐที่เร่งลงทุนโครงการต่างๆ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง รวมไปถึงความชัดเจนของการเลือกตั้งซึ่งคาดว่าจะสามารถกำหนดวันอย่างเป็นทางการได้ในช่วงเดือน ธ.ค. 2561 จึงคาดว่าปัจจัยบวกเหล่านี้ทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่ปัจจุบันมีสัดส่วนการถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 จะหันกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยอีกครั้ง "จากการประเมิน บล.ทิสโก้คาดว่า SET จะปรับฐานน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น โดยคาดว่าการปรับฐานในรอบนี้ดัชนีหุ้นไทยจะไม่หลุด 1,670 จุด เพราะยังมีแรงหนุนจาก LTF และ RMF ที่คาดว่าจะไหลเข้าประมาณ 5 หมื่นล้านบาทในช่วงไตรมาสที่ 4/ 2561 นี้ โดยแบ่งเป็น LTF ประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท และ RMF ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท อีกทั้ง ปัจจุบันนักลงทุนต่างชาติก็ถือครองหุ้นไทยต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2550 โดยในช่วง 5 ปี 9 เดือน (ถึงเดือนส.ค. 2561) นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปถึง 5.5 แสนล้านบาทแล้ว"นายวิวัฒน์กล่าว และจากข้อมูลสถิติย้อนหลัง 10 ปี พบว่า ดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปีในช่วงไตรมาสที่ 4 และพบอีกว่ามีโอกาสมากถึง 63% ที่นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณ 2.2% หากซื้อหุ้นตั้งแต่ต้นไตรมาสที่ 4 และขายหุ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 4 ของปีเดียวกัน โดยสรุปแล้วคาดว่าเดือน ต.ค.นี้ ดัชนีหุ้นไทยจะปรับลงไม่หลุด 1,670 จุด ก่อนทรงตัวและค่อยๆ ปรับขึ้นไปแตะเป้าหมายปลายปี 2561 ที่ 1,770 - 1,810 จุด ขณะที่เป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในช่วงก่อนการเลือกตั้งซึ่งคาดว่าจะขึ้นแตะ 1,850 จุด โดยมีหุ้นเด่นประจำเดือน ต.ค. 2561 คือ BBL, KKP , PLANB, WHA , ROJNA, และ STEC ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหุ้นที่คาดว่าผลประกอบการไตรมาส 3 จะออกมาดี และเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากธีมการเลือกตั้ง "หากมองการลงทุนในระยะที่ยาวขึ้น บล.ทิสโก้คาดว่าในปี 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายประมาณ 2 ครั้ง ซึ่งในช่วงก่อนการประกาศขึ้นดอกเบี้ยจะได้เห็นราคาหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าว ส่วนราคาทองคำในปี 2562 คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นหรือปรับตัวลงรุนแรงนัก โดยมีกรอบอยู่ที่ 1,120-1,260 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ โดยมีปัจจัยบวกจากตลาดหุ้นในปีหน้าที่จะผันผวนและลงทุนยากไม่ต่างจากปี 2561 และมีปัจจัยลบคืออัตราดอกเบี้ยนโยบายเกือบทุกประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันในช่วง 4 เดือนหลังจากนี้ บล.ทิสโก้มองว่าจะอยู่ในกรอบ 70-77 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล" นายวิวัฒน์กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ