“ PPPM ” รุกหนักธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ-สัตว์เลี้ยง เกรดพรีเมี่ยม เจาะตลาดเวียดนาม-มาเลเซีย-อินเดีย-จีน มั่นใจรายได้ปีนี้ทะลุ 2,000 ลบ.

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 15, 2018 11:21 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์ บมจ.พีพี ไพร์ม หรือ PPPM ลุยปรับกลยุทธ์ส่งเสริมการขายสินค้าอาหารสัตว์น้ำ-สัตว์เลี้ยง เกรดพรีเมี่ยม หวังกระตุ้นยอดขายเพิ่ม พร้อมเดินหน้าเจาะตลาดเวียดนาม - มาเลเซีย -อินเดีย - จีน ขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เข้าพอร์ต ด้าน CEO " ณสุ จันทร์สม " มั่นใจรายได้ปีนี้ ส่อแววทะลุ 2,000 ล้านบาท เหตุรายได้อาหารสัตว์น้ำกุ้ง-ปลา และสัตว์เลี้ยง หนุนยอดขายโตตามเป้า โชว์ศักยภาพสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ลุยขยายการลงทุน ในอนาคตได้ต่อ นายณสุ จันทร์สม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีพี ไพร์ม จำกัด (มหาชน) หรือ PPPM ผู้ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้อง กับความยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมี 3 ธุรกิจในเครือ อาทิ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ/สัตว์เลี้ยง, ธุรกิจพลังงานสะอาด ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า Geothermal และพลังงานลม (Wind Energy) ในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจช่วงที่เหลือในไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักแก่บริษัทฯ โดยเฉพาะอาหารกุ้ง ในไตรมาส 3/2561 ที่ผ่านมาเติบโตขึ้นมากถึง 46% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี2560 เป็นผลจากกลยุทธ์การทำตลาดอาหารกุ้งเกรดพรีเมี่ยม ที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีแผนเจาะตลาดกลุ่มใหม่ๆ ทั้งภายในและต่างประเทศ อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อินเดีย และจีน โดยมุ่งเน้นไปที่อาหารกุ้งกุลาดำ และกุ้งก้ามกราม เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น และสร้างพันธมิตรเครือข่ายสายพันธุ์กุ้งที่มีความแข็งแกร่ง และเป็นสายพันธุ์ที่เป็นผู้นำตลาด ตลอดจนสร้างพันธมิตรเครือข่ายการรับซื้อกุ้งกุลาดำ และกุ้งก้ามกราม เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการ ทำรายได้ให้แก่บริษัทฯ โดยคาดการณ์ในปี 2561 นี้ จะสามารถทำยอดขายอาหารกุ้ง ได้ตามเป้าที่วางไว้ 100% หรือประมาณ 25,000ตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 18,000 ตัน หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 39% ขณะที่รายได้จากอาหารปลายังคงทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2560 โดยยังคงเน้นรักษาฐานลูกค้าเดิม และมีแผนขยายไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น เมียนมาร์ จีน เวียดนาม และอินเดีย ซึ่งบริษัทฯ มีตัวแทนจำหน่ายรายใหญ่ใน สปป.ลาว ที่เป็น คู่ค้าอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทฯ ยังคงทำการตลาดภายในประเทศเป็นหลัก นอกจากนี้ยังมีแผนเจาะตลาดรับซื้อปลาสด และหาพันธมิตรเครือข่ายพันธุ์ปลา รวมทั้งเตรียมผลักดันสินค้าอาหารปลาเกรดพรีเมี่ยม เพื่อเพิ่ม Market Share ให้มากขึ้น โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายอาหารปลาในปีนี้ไว้ที่ระดับ 40,000 ตัน ในส่วนของอาหารสัตว์เลี้ยง (OEM) ในช่วงที่ผ่านมา ถือว่ามีออร์เดอร์จ้างผลิตเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้รวม ของธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ และอาหารสัตว์เลี้ยง ในไตรมาส 3/2561 เพิ่มขึ้น 5.42% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2560 ซึ่งคาดว่าจะได้ตามเป้าที่วางไว้ จากการดำเนินงานตามแผนกลยุทธ์ด้านการตลาดเชิงรุกของธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ และสัตว์เลี้ยง ทำให้บริษัทฯ เดินหน้าตอกย้ำอัตราการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไว้ที่ระดับ 2,000 ล้านบาท ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีพี ไพร์ม ( PPPM ) กล่าวเพิ่มอีกว่า สำหรับการลงทุนในธุรกิจพลังงานสะอาด ได้แก่ โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนGeothermal ในประเทศญี่ปุ่นนั้น ขณะนี้ยังคงดำเนินการต่อเนื่องตามแผนการลงทุนเดิม ที่วางไว้ ซึ่งได้เปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว จำนวน 15 โครงการ และอยู่ระหว่างดำเนินการเปิดเพิ่ม โดยคำนึงถึงสถานการณ์ทางการเงินของบริษัทฯ เป็นสำคัญ ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม (Wind Energy) ขนาดเล็ก 20 กิโลวัตต์ ในHokkaido และ Aomori ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันได้มีการดำเนินการติดตั้งแล้วเสร็จ 7 โครงการ ส่วนที่เหลืออีก 20 โครงการ อยู่ระหว่างทยอยดำเนินการติดตั้ง สำหรับการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาคารที่พักอาศัยประเภทห้องชุดคอนโดมิเนียม ภายใต้ชื่อโครงการ "Nagomi Waterfront Tower" ที่ตั้งอยู่บนทำเลทองริมแม่น้ำ ใจกลางเมืองดานัง ประเทศเวียดนามนั้น คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2562 นอกจากนี้นายณสุ กล่าวอีกว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถชำระหนี้หุ้นกู้สถาบันการเงินได้ตามระยะเวลาที่กำหนดมาโดยตลอด ส่งผลให้มีหุ้นกู้คงเหลือ จำนวน 904.19 ล้านบาท จากยอดหุ้นกู้ทั้งหมด 1,242.81 ล้านบาท ส่วนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ลดลงเหลือ จำนวน 607.83 ล้านบาท จากยอดเงินกู้เดิม จำนวน 646.68 ล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่า ลดลงเหลือ จำนวน 4.51 ล้านบาท จากเดิม 4.92 ล้านบาท ดังนั้นทำให้ยอดเงินกู้ยืมระยะยาวทั้งหมด ลดลงเหลือ จำนวน 1,516.53 ล้านบาท จากเดิมที่มีเงินกู้ระยะยาว จำนวน 1,894.41 ล้านบาท ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงความแข็งแกร่ง ด้านสถานะทางการเงินของบริษัทฯ ที่มีสภาพคล่อง และมีศักยภาพในการขยายการลงทุนต่อไปในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง" นายณสุ กล่าว อย่างไรก็ตามสำหรับผลดำเนินงานประจำงวดไตรมาส 3/2561 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2561 บริษัทฯ มีรายได้รวม 544.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.03 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.04 % และมี EBITDA หรือกำไรก่อนหักภาษี และดอกเบี้ยอยู่ที่ 16.99 ล้านบาท กำไรขั้นต้นลดลง 3% ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน (ม.ค.- ก.ย.) มีรายได้รวม 1,520.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123.54 ล้านบาท หรือคิดเป็น 8.84% จากการรับรู้รายได้ธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ กุ้ง/ปลา และอาหารสัตว์เลี้ยง ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรับรู้รายได้จากการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานความร้อน Geothermal ที่ดำเนินการจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ไปแล้ว 15 โครงการ

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ