ไทยยูเนี่ยน คว้าอันดับ 1 ผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมใน Food Industry อีกครั้ง ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday September 17, 2019 16:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ก.ย.--ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป - ไทยยูเนี่ยนประสบความสำเร็จได้คะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 ของอุตสาหกรรม สำหรับคะแนนความยั่งยืนทั้งหมด - DJSI ให้คะแนนไทยยูเนี่ยนลำดับคะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 ใน 9 หัวข้อ - ไทยยูเนี่ยน ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ติดดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หนึ่งในบริษัทอาหารทะเลชั้นนำของโลก คว้าอันดับ 1 ผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมของโลกใน Food Industry 2 ปีติดต่อกันในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ ปัจจุบันบริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน โดยมี SeaChange(R) หรือกลยุทธ์ความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยนเป็นตัวขับเคลื่อนความยั่งยืนของบริษัททั่วโลก ไทยยูเนี่ยนประสบความสำเร็จได้คะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 สำหรับคะแนนความยั่งยืนทั้งหมด และบริษัทฯ ยังได้รับคะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดในหัวข้อจรรยาบรรณธุรกิจและแนวปฏิบัติด้านแรงงาน สุขภาพและโภชนาการ ประเด็นที่มีนัยสำคัญ การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน การรายงานด้านสิ่งแวดล้อม การพัฒนาเทคโนโลยีด้านชีวภาพ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องในเรื่องน้ำ สิทธิมนุษยชน และการสร้างแรงจูงใจและรักษาพนักงานที่มีศักยภาพสูงสุดขององค์กร "เป็นเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างมากที่เราได้รับคัดเลือกติดดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์อีกครั้งในความพยายามการทำงานด้านความยั่งยืนทั่วโลกของเรา" นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กล่าว "ความยั่งยืนเป็นหัวใจหลักในธุรกิจของเราและเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจธุรกิจทั้งหมดของเรา" "เป็นช่วงเวลาที่น่าภาคภูมิใจมากสำหรับทุกคนในไทยยูเนี่ยน" ดร. แดเรี่ยน แมคเบน ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมกิจการองค์กรและความยั่งยืน ไทยยูเนี่ยน กล่าว "ทีมงานของเราทั่วโลกทำงานกันอย่างหนักทุกวันในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่เราจะทำให้อุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลกมีความยั่งยืนมากขึ้น ท้องทะเลของโลกมีความยั่งยืนมากขึ้น และธุรกิจของเรามีความยั่งยืนมากขึ้น" ในแต่ละปี มีบริษัทมากกว่า 3,000 แห่งได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประเมินด้านความยั่งยืนของธุรกิจ Corporate Sustainability Assessment (CSA) ของบริษัท RobecoSAM โดยบริษัทที่ได้รับเลือกเข้ามาอยู่ในดัชนี จะต้องผ่านการประเมินด้านต่างๆ ครอบคลุมเรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมในระยะยาว ทั้งในแง่ความยั่งยืนทั่วไปและแนวโน้มความยั่งยืนเฉพาะอุตสาหกรรม เมื่อช่วงต้นปี ไทยยูเนี่ยนได้เผยแพร่รายงานความยั่งยืนปี 2561 โดยมีรายละเอียดความคืบหน้าของการดำเนินงานเชิงบวกที่ทำในปีที่ผ่านมา และนำเสนอข้อมูลการดำเนินงานของบริษัท เทียบกับตัวชี้วัดหลักและเป้าหมายที่ตั้งไว้ในกลยุทธ์เพื่อความยั่งยืนของบริษัท หรือที่เรียกว่า SeaChange(R) ไทยยูเนี่ยนยังมีทำงานที่ริเริ่มในปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่องเพื่อส่งเสริมความพยายามด้านความยั่งยืนของเรา เช่น การทำงานร่วมกับ GGGI (Global Ghost Gear Initiative) เพื่อผลักดันปัญหาเรื่องการลดขยะพลาสติก และลดปัญหาการเพิ่มขึ้นของการทิ้งอุปกรณ์ประมง การสูญเสีย และการทิ้งอุปกรณ์ประมงลงทะเลทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการเผยแพร่รายงานความก้าวหน้าประจำปีพันธกิจการจัดการปลาทูน่าแบบยั่งยืนครั้งแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การจัดหาวัตถุปลาทูน่าทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตภัณฑ์แบรนด์ของบริษัทต้องมาจากแหล่งประมงที่ยั่งยืน SeaChange(R) เป็นแผนบูรณาการริเริ่ม ซึ่งประกอบด้วย 4 โครงการหลักคือ แรงงานปลอดภัยและแรงงานที่ถูกกฎหมาย การจัดหาวัตถุดิบด้วยความรับผิดชอบ การดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบ และผู้คนและชุมชน SeaChange(R) มีเป้าหมายที่จะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้นกับทั้งอุตสาหกรรรมอาหารทะเลของโลก รวมถึงเพื่อช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายการขจัดความหิวโหย การจ้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการใช้ประโยชน์จากมหาสมุทรและทรัพยากรทางทะเล นอกจากการติดดัชนี DJSI แล้ว เมื่อปีที่แล้วไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับในดัชนี FTSE4Good ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ติดต่อกัน 3 ปี ซึ่งเป็นการจัดอันดับโดยฟุตซี รัสเซล โดยดัชนีดังกล่าวเปิดตัวในปี 2544 เพื่อช่วยนักลงทุนตระหนักถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมภิบาล (ESG) ในการตัดสินลงทุน และเป็นกรอบการดำเนินงานเพื่อการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบต่อสังคมของบริษัท ความพยายามด้านความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน ทำให้บริษัทฯ ได้รับรางวัลจำนวนมากในปีนี้ เช่น การได้รับรางวัลผู้นำด้านห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืนกับ WWF-UK ในงานประกาศรางวัลผู้นำด้านความยั่งยืน จาก edie ดร.แดเรี่ยน แมคเบนได้รับรางวัล Asia's Top Sustainability Superwomen จาก CSRWorks ขณะเดียวกันแบรนด์ John West ซึ่งเป็นแบรนด์ของไทยยูเนี่ยน ได้รับรางวัลชนะเลิศแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารกระป๋องประจำปี 2562 ของประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นปีที่สามติดต่อกัน จากสำนักงานคณะกรรมการรับรองมาตรฐานการประมง (MSC) เกี่ยวกับ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำธุรกิจอาหารทะเลของโลก ซึ่ง ส่งมอบผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรม รสชาติดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคทั่วโลกมาเป็นเวลาเกือบ 40 ปี วันนี้ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าบรรจุภาชนะชนิดต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมียอดขายต่อปีมากกว่า 133.3 แสนล้านบาท (4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ) และมีพนักงานทั่วโลกรวมกันมากกว่า 47,000 คน ซึ่งล้วนทุ่มเทเพื่อผลิตภัณฑ์อาหารทะเลที่มีนวัตกรรมและมีความยั่งยืน ไทยยูเนี่ยนเป็นเจ้าของแบรนด์ทั่วโลก ประกอบด้วย แบรนด์ที่เป็นผู้นำตลาดโลกอย่าง Chicken of the Sea, John West, Petit Navire, Parmentier, Mareblu, King Oscar และ Ruegen Fisch รวมทั้งแบรนด์ชั้นนำในประเทศไทย ได้แก่ ซีเล็ค ฟิชโช คิวเฟรช โมโนริ เบลลอตต้า และมาร์โว่ จากพันธกิจในการเป็นบริษัทแห่งนวัตกรรมและดำเนินงานด้วยความรับผิดชอบทั่วโลก ไทยยูเนี่ยนภูมิใจที่ได้เป็นหนึ่งในภาคีข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact) และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิเพื่อความยั่งยืนของอาหารทะเลสากล (International Seafood Sustainability Foundation: ISSF) ในปี 2558 ไทยยูเนี่ยนเปิดตัวกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน SeaChange(R) และดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาโดยตลอด ทำให้ในปี 2562ไทยยูเนี่ยนได้เป็นผู้นำอันดับ 1 กลุ่มอุตสาหกรรมของโลกใน Food Industry ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ และประสบความสำเร็จในการได้รับคะแนนเปอร์เซ็นไทล์สูงสุดที่ 100 ในคะแนนด้านความยั่งยืนทั้งหมด ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน นอกจากนี้ไทยยูเนี่ยนยังได้รับการคัดเลือกให้ติดอันดับดัชนี FTSE4Good Emerging Index ในปี 2561 อีกด้วย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ