อินทัช ประกาศผลประกอบการปี 62 กำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 11,775 ล้านบาท รวมจ่ายปันผล 2.65 บาทต่อหุ้น

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday February 12, 2020 09:47 —ThaiPR.net

อินทัช ประกาศผลประกอบการปี 62 กำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 11,775 ล้านบาท รวมจ่ายปันผล 2.65 บาทต่อหุ้น กรุงเทพฯ--12 ก.พ.--อินทัช โฮลดิ้งส์ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ อินทัช ประกาศผลประกอบการปี 2562 กำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 11,775 ล้านบาท พร้อมจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังหุ้นละ 1.30 บาท รวมจ่ายปันผลทั้งปี 2.65 บาทต่อหุ้น นายเอนก พนาอภิชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "จากผลการดำเนินงานในปี 2562 อินทัช สามารถทำกำไรสุทธิจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 11,775 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2561 ที่มีกำไรจากการดำเนินงานปกติ 11,769 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้ผลกำไรที่ดีขึ้นของเอไอเอส และรับรู้ผลขาดทุนจากไทยคม ทั้งนี้ อินทัชยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลส่วนใหญ่ที่บริษัทได้รับจากบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหลังหักค่าใช้จ่าย โดยกำหนดจ่ายปันผลครึ่งปีหลังหุ้นละ 1.30 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 23 เมษายน 2563 ทำให้ในปี 2562 บริษัทจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้นในอัตรา 2.65 บาทต่อหุ้น" เอไอเอส-ลูกค้าใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพิ่มขึ้น เอไอเอสมีผลกำไรสุทธิในปี 2562 ที่ไม่รวมผลกระทบของมาตรฐานบัญชีไทยฉบับที่ 15 อยู่ที่ 31,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการให้บริการหลักเพิ่มขึ้นร้อยะละ 5.3 เนื่องจากจำนวนลูกค้าที่ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบรายเดือนเพิ่มขึ้น 918,000 ราย ทำให้สิ้นปี 2562 เอไอเอสมีผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รวม 42 ล้านราย เติบโตร้อยละ 2.1 จากปีก่อน ในส่วนของธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง เอไอเอสมีลูกค้าไฟเบอร์ประมาณ 1 ล้านราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับรายได้อื่นๆ ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์แก่ลูกค้าองค์กร ในส่วนของต้นทุนและค่าใช้จ่ายยังเพิ่มขึ้นจากการขยายโครงข่าย 4G และอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ ค่าใช้จ่ายทางการตลาด รวมทั้งค่าใช้จ่ายพิเศษจากพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานฉบับใหม่จึงทำให้มีกำไรก่อนหักภาษีและค่าเสื่อม (EBITDA)ในปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 และอัตรา EBITDA margin อยู่ที่ร้อยละ 42.8 ไทยคม-มุ่งพัฒนาธุรกิจใหม่ด้านเทคโนโลยีอวกาศ ในปีที่ผ่านมา ไทยคมขาดทุนจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 432 ล้านบาท เป็นผลมาจากการลดลงของรายได้จากการให้บริการดาวเทียม เนื่องจากการลดลงของราคาขายต่อหน่วยจากการให้ส่วนลดลูกค้าไทยเพื่อต่อสัญญาระยะยาว ประกอบกับการลดการใช้งานดาวเทียมบรอดแบนด์จากลูกค้าต่างประเทศ จึงทำให้ ณ สิ้นปี 2562 อัตราการใช้งานดาวเทียมแบบทั่วไปลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 55 ส่วนดาวเทียมบรอดแบนด์ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 23 จากสภาวะการชะลอตัวของอุตสาหกรรมดาวเทียม การแข่งขันที่รุนแรง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ดังนั้น ไทยคม จึงให้ความสำคัญกับการพัฒนาธุรกิจใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายในการเป็นผู้ให้บริการด้านสมาร์ทโซลูชั่น และแพลตฟอร์มเทคโนโลยีจากอวกาศสู่ภาคพื้นดินชั้นนำแห่งเอเชีย เพื่อเสริมสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจในอนาคต ไฮ ช็อปปิ้ง – ยอดขายเติบโตต่อเนื่อง ไฮ ช็อปปิ้งมีรายได้รวมตลอดปี 2562 อยู่ที่ 937 ล้านบาท โดยมียอดขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 2.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากปีก่อน ทั้งนี้ เกิดจากการขยายฐานรายได้ผ่านหลายช่องทาง เช่น การทำธุรกิจร่วมกับผู้ประกอบการช่องดาวเทียม ช่องรายการโทรทัศน์ ช่องทางออนไลน์ และการนำเสนอสินค้าใหม่ๆ ให้แก่ลูกค้าโดยตรง อินเว้นท์ – แสวงหาการลงทุนที่ต่อยอดเทคโนโลยี 5G ในอนาคต ในปี 2562 อินเว้นท์ใช้เงินลงทุน 111 ล้านบาท ใน 3 บริษัท คือ บริษัท ด็อกเตอร์เอทูแซด จำกัด ผู้พัฒนาและออกแบบแพลตฟอร์ม เพื่อช่วยให้คนไข้เข้าถึงบริการทางการแพทย์กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้สะดวกและรวดเร็วขึ้น 24 ชั่วโมงบนระบบออนไลน์ บริษัท เพียร์ พาวเวอร์ จำกัด ผู้พัฒนานวัตกรรมทางการเงินและออกแบบแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อกับนักลงทุนโดยตรงเพื่อช่วยลดช่องว่างในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการธุรกิจ และบริษัท นินจา โลจิสติกส์ พีทีอี ลิมิเต็ด ผู้ให้บริการขนส่งพัสดุด่วนที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดความยุ่งยากในการส่งพัสดุ นอกจากนี้ ยังได้ขายหุ้นที่ลงทุนในบริษัท ดิจิโอ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ร้อยละ 30 ทำให้มูลค่าพอร์ตการลงทุนภายใต้โครงการ อินเว้นท์ เติบโตขึ้นเป็น 1,058 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 เพิ่มขึ้นจาก 791 ล้านบาท ในปี 2561 ทำให้ ณ สิ้นปี 2562 มีบริษัทที่อยู่ภายใต้โครงการอินเว้นท์รวมทั้งสิ้น 15 บริษัท ทั้งนี้ ในปี 2563 อินเว้นท์ยังคงนโยบายการลงทุนในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ เทคโนโลยี และธุรกิจดิจิทัลโดยเน้นการลงทุนไปยังบริษัทที่มีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อรองรับการใช้งานและต่อยอดเทคโนโลยี 5G ในอนาคต ภายใต้งบลงทุนที่ 200 ล้านบาทต่อปี อินทัช และบริษัทในเครือยังคงมุ่งเน้นการลงทุนที่สร้างโอกาสในการเติบโตใหม่ๆ ที่รองรับการเกิดขึ้นของเทคโนโลยี 5G และรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า และสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ