ชุดตรวจโรคฉี่หนู รู้ผลไว ลดเสี่ยงตาย

ข่าวทั่วไป Wednesday August 11, 2021 10:22 —ThaiPR.net

ชุดตรวจโรคฉี่หนู รู้ผลไว ลดเสี่ยงตาย

แพทยศาสตร์ จุฬาฯ เปิดตัวชุดแถบตรวจโรคฉี่หนูแบบรวดเร็ว ราคาประหยัด ใช้งานง่าย ลดปัญหาผลตรวจล่าช้า เสี่ยงพิการจากอวัยวะภายในล้มเหลวและอาจถึงแก่ชีวิต หวังกระจายสู่โรงพยาบาลชุมชนทั่วประเทศ

โรคฉี่หนู เป็นภัยที่มาพร้อมกับฤดูฝน อาการในระยะแรกไม่จำเพาะ อาจคล้ายคลึงกับโรคติดเชื้ออื่นๆ เช่น ไข้เลือดออก ไข้หวัดใหญ่ ทำให้ผู้ติดเชื้อพลาดโอกาสได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อีกทั้งการวินิจฉัยโรคโดยทั่วไปใช้เวลานานราว 1-2 สัปดาห์ หรือใช้เครื่องมือราคาแพง ทำให้ผู้ติดเชื้อโรคฉี่หนูไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมได้อย่างทันท่วงที อาจทำให้อาการรุนแรง เสี่ยงต่อภาวะอวัยวะภายในล้มเหลว และเสียชีวิตได้

คณะผู้วิจัยนำโดย รองศาสตราจารย์ ดร.พญ.กนิษฐา ภัทรกุล ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงได้พัฒนานวัตกรรมชุดแถบตรวจโรคแบบแลทเทอรรัลโฟลว์ (lateral flow strip test) สำหรับตรวจคัดกรองโรคฉี่หนู ให้ใช้ง่าย รู้ผลไว เพื่อช่วยผู้ป่วยให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องพ้นจากอันตรายถึงชีวิต

โรคฉี่หนู ภัยร้ายที่มาจากน้ำและสัตว์ใกล้ตัว

รองศาสตราจารย์ ดร.พญ.กนิษฐา ภัทรกุล ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า "โรคฉี่หนูถือเป็นภัยร้ายในฤดูฝน คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าโรคฉี่หนู หรือ เลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) มี 'หนู' เป็นพาหะเท่านั้นและพบได้เฉพาะในท้องนาหรือพื้นที่น้ำท่วม ที่จริง โรคนี้เป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ 'เลปโตสไปรา' (Leptospira) ที่มีขนาดเล็กมาก มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น อยู่ในไตของสัตว์รังโรคซึ่งมีหลากหลายชนิด เช่น หนู สุกร แพะ แกะ โค กระบือ สุนัข และแมว สัตว์เหล่านี้อาจแสดงหรือไม่แสดงอาการป่วย แต่ปล่อยเชื้อนี้ออกมาในปัสสาวะและเกิดการปนเปื้อนน้ำและดิน เชื้ออาจมีชีวิตนานนับเดือนในพื้นที่ชื้นแฉะหรือมีน้ำท่วมขัง เช่น แอ่งน้ำ ร่องน้ำ น้ำตก แม่น้ำ ลำคลอง"

รศ.ดร.กนิษฐา ให้คำแนะนำในการป้องกันการติดเชื้อว่าควรเริ่มที่การรักษาความสะอาดที่พักอาศัยอยู่เสมอและหลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าย่ำหรือแช่เท้าในบริเวณน้ำขัง เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียอาจไชเข้าสู่ร่างกายผ่านผิวหนังที่เปื่อยยุ่ยจากการแช่น้ำนานๆ รอยบาดแผล แม้แต่รอยถลอกบนผิว หากเลี่ยงไม่ได้หรือต้องทำงานในแหล่งน้ำขังก็ต้องสวมชุดปิดมิดชิดป้องกันบริเวณที่สัมผัส เช่น สวมรองเท้าหุ้มข้อ และถ้าจำเป็นต้องสัมผัสกับสัตว์ดังกล่าวก็ต้องใช้อุปกรณ์ป้องกัน เช่น ใส่ถุงมือ นอกจากนี้ เชื้อก่อโรคฉี่หนูยังมีโอกาสเข้าสู่ร่างกายคนผ่านเยื่อบุตาหรือปาก หากสัมผัสน้ำที่ปนเปื้อน เช่น การว่ายน้ำ หรือดื่มน้ำ จึงต้องระมัดระวังและให้ความสำคัญด้านสุขอนามัย

อาการป่วยและแนวทางการรักษาโรคฉี่หนู

อาการของผู้ติดเชื้อ ส่วนใหญ่จะเริ่มแสดงให้เห็นภายใน 1-2 สัปดาห์ หลังรับเชื้อ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้

- ระยะแรกหรือระยะเฉียบพลัน ในช่วงสัปดาห์แรกหลังรับเชื้อ เชื้ออยู่ในกระเสเลือด ผู้ป่วยมีอาการไม่จำเพาะ เช่น ไข้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ อาเจียน และมีผื่นขึ้น อาการป่วยระยะนี้รักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ

- ระยะที่สอง เชื้อแพร่กระจายไปตามอวัยวะต่างๆ ทำให้เกิดภาวะอักเสบของร่างกายได้หลายระบบ เช่น ไตอักเสบจนเกิดไตวายเฉียบพลัน ตับอักเสบ เกิดตัวเหลืองตาเหลือง ปอดอักเสบมีเลือดออกในปอด ไอเป็นเลือด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ตาอักเสบ ซึ่งอาจทำให้อวัยวะภายในล้มเหลวและทุพพลภาพ ซึ่งอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ การรักษาระยะนี้ หากมีอาการรุนแรงแพทย์จะใช้ยาปฏิชีวนะแบบฉีดทางหลอดเลือดดำควบคู่กับการรักษาตามอาการกรณีมีภาวะแทรกซ้อนในอวัยวะภายใน เช่น ล้างไตหากไตวาย ใช้เครื่องช่วยหายใจหากมีภาวะหายใจล้มเหลว กรณีมีอาการรุนแรงอาจเสียชีวิตได้สูงถึง 25-40%

การตรวจวินิจฉัยโรคฉี่หนู "ยิ่งเร็ว ยิ่งรอด"  

ปัจจุบันวิธีมาตรฐานในการวินิจฉัยโรคฉี่หนูต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในห้องปฏิบัติการอ้างอิงเท่านั้น โดยตรวจหาแอนติบอดีของเชื้อในเลือด ซึ่งแต่ละครั้งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงราว 1,200-1,500 บาทต่อตัวอย่าง และกว่าจะรู้ผลใช้เวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ นอกจากนี้ การตรวจแบบรวดเร็วอื่นๆ เช่น ชุดแถบตรวจที่มีจำหน่ายในปัจจุบันเป็นการตรวจหาแอนติบอดี แต่ในระยะแรกร่างกายยังไม่สร้างแอนติบอดี จึงมักให้ผลลบ การตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อก็ต้องอาศัยน้ำยาและเครื่องมือราคาแพง ดังนั้น ผู้ป่วยจึงอาจไม่ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง ทำให้เสียโอกาสในการรักษาตั้งแต่เริ่มแรก การรู้ว่าติดเชื้อตั้งแต่ระยะแรกจึงดีที่สุด

นวัตกรรมชุดแถบตรวจโรคฉี่หนู (lateral flow strip test for leptospirosis) เป็นการตรวจหาแอนติเจนของเชื้อเลปโตสไปราในเลือด จึงสามารถตรวจหาเชื้อได้ตั้งแต่ในระยะแรกของโรค ชุดแถบตรวจฯนี้ รศ.ดร.กนิษฐาได้ร่วมพัฒนากับคณะนักวิจัย ได้แก่ ผศ.ดร.นพ.อมรพันธุ์ เสรีมาศพันธุ์ ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ รวมทั้ง ศ.ดร.ธนาภัทร ปาลกะ ภาควิชาจุลชีววิทยา และ ผศ.ดร.โรจน์ฤทธิ์ โรจนธเนศ ภาควิชาเคมี จากคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และ ศ.ดร.พญ.ธารารัชต์ ธารากุล จากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

ชุดแถบตรวจโรคฉี่หนู "ง่ายได้ผลเร็ว"

รูปลักษณ์ของชุดแถบตรวจโรคฉี่หนูเป็นแท่งคล้ายที่ตรวจครรภ์ มีจุดเด่นคือ ใช้งานง่าย ภายใน 15-20 นาทีก็รู้ผล ราคาชุดละไม่เกิน 200 บาท และอ่านผลตรวจได้ด้วยตาเปล่าซึ่งช่วยให้แพทย์วินิจฉัยตั้งแต่ระยะเฉียบพลันได้อย่างรวดเร็ว ชุดแถบตรวจฯ จะรายงานผลด้วยสีที่เป็นอนุภาคทองคำระดับนาโนเมตร หากติดเชื้อ แถบตรวจจะปรากฏสีม่วงหรือสีแดงสองเส้นบนเส้นทดสอบ (T) และเส้นควบคุม (C) หากไม่ติดเชื้อ แถบตรวจจะปรากฏเพียงเส้นเดียวบนเส้นควบคุม (C)" รศ.ดร.กนิษฐา กล่าว และย้ำว่าการใช้ชุดแถบตรวจโรคฉี่หนูต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยนำไปใช้วินิจฉัยร่วมกับประวัติการป่วย ผลการตรวจร่างกาย ผลตรวจห้องปฏิบัติการอื่นๆ และความเสี่ยง เช่น อาชีพ สภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย และประวัติการสัมผัสแหล่งน้ำขัง

ชุดแถบตรวจโรคฉี่หนู ความหวังของโรงพยาบาลชุมชน

นวัตกรรมชุดแถบตรวจฯ ได้รับทุนสนับสนุนจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ และส่วนหนึ่งจากทุนนักวิจัยแกนนำประจำปี 2556 จากสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เพื่อพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีระดับ 5 และได้ยื่นขออนุสิทธิบัตรแล้ว

ปัจจุบัน คณะผู้วิจัยและเครือข่ายอยู่ระหว่างการขอรับทุนสนับสนุนการกระจายชุดแถบตรวจฯ ไปใช้จริงตามโรงพยาบาลจังหวัดและโรงพยาบาลชุมชน ชุดแถบตรวจโรคนี้ได้ผ่านการทดสอบความแม่นยำในการคัดกรองโรคเบื้องต้นในระดับห้องปฏิบัติการแล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดสอบความไวและความจำเพาะในภาคสนาม โดยได้รับความร่วมมือจากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) โรงพยาบาลจังหวัด และโรงพยาบาลชุมชนในเครือข่าย

"ทีมผู้วิจัยหวังว่านวัตกรรมนี้จะช่วยยกระดับศักยภาพโรงพยาบาลในต่างจังหวัด โดยเฉพาะโรงพยาบาลชุมชนให้มีความพร้อมในการตรวจคัดกรองผู้ป่วยและรักษาได้เอง เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ทันท่วงที" รศ.ดร.กนิษฐา กล่าวทิ้งท้าย

freโรงพยาบาลชุมชนหรือผู้ประกอบการด้านอุปกรณ์การแพทย์ที่สนใจร่วมพัฒนาชุดแถบตรวจโรคฉี่หนู โปรดติดต่อสอบถามได้ทางอีเมล Kanitha.pa@chula.ac.th , Kpatarakul@gmail.com หรือที่ศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์ ชั้น 2 อาคารอานันทมหิดล คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ โทร. 0-2649-4000 ต่อ 3686 และ 08-0272-7745 อีเมล: cmic.chula@gmail.com หรือทาง LineID: cmicmdu เว็บไซต์ https://cmic.md.chula.ac.th


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ