"บีซีพีจี" ขอเดินตามแผนพลังงานชาติสุดล้ำ มั่นใจประเทศไทยได้ประโยชน์เต็มๆ

ข่าวเศรษฐกิจ Friday September 17, 2021 16:38 —ThaiPR.net

บีซีพีจี บริษัทผลิตไฟฟ้าและผู้ให้บริการด้านระบบพลังงานอัจฉริยะครบวงจร ยืนยันความพร้อมในการสนับสนุนแผนพลังงานชาติ ที่ให้ความสำคัญกับการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน และการส่งเสริมการเป็นทั้งผู้ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้และเพื่อขายระหว่างกันของประชาชน (Prosumer) รวมถึงการมุ่งปลดล็อคกฎระเบียบการซื้อขายไฟฟ้าเพื่อรองรับเรื่องดังกล่าว ย้ำเป็นผลดีต่อประเทศโดยรวม

นายบัณฑิต สะเพียรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงพลังงานได้จัดทำแผนพลังงานชาติ มุ่งสู่เป้าหมาย ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ.2065-2070 โดยเฉพาะในด้านพลังงานไฟฟ้า ได้มีนโยบายเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดจากโรงไฟฟ้าใหม่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 การสนับสนุนการผลิตไฟฟ้าเอง (Prosumer) ให้มากขึ้น พร้อมมุ่งปลดล็อคกฎระเบียบการซื้อขายไฟฟ้าที่ผลิตเองใช้เอง รวมถึงการพัฒนาและยกระดับเทคโนโลยีระบบสายส่งไฟฟ้า นอกจากนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เริ่มดำเนินการร่างหลักเกณฑ์ การเปิดให้บุคคลที่สามสามารถใช้หรือเชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับนโยบายการส่งเสริมการแข่งขันในกิจการไฟฟ้า แผนพลังงานชาติดังกล่าว ถือเป็นการกำหนดทิศทางด้านพลังงานของประเทศไทยให้ขับเคลื่อนไปอย่างมีเป้าหมาย และเกิดการพัฒนาพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมอย่างยั่งยืน

บีซีพีจี ในฐานะบริษัทผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนชั้นนำในภูมิภาคเอเชียและผู้ให้บริการด้านระบบพลังงานอัจฉริยะครบวงจร ขอสนับสนุนแผนพลังงานชาติ ที่ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าใช้เองและเป็นผู้ขายไฟฟ้าขณะเดียวกันของภาคประชาชน (Prosumer) เนื่องจากเป็นนโยบายที่จะช่วยส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ครอบคลุมในวงกว้าง ทั้งยังก่อให้เกิดความมีประสิทธิภาพและเพิ่มเสถียรภาพให้กับระบบสายส่งจากการวางแผนจัดการที่ดี และเป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ซึ่งสามารถนำไปปฏิบัติได้ทันที

"บริษัทฯ มีความพร้อมในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับรองรับการเริ่มดำเนินการแลกเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าของ Prosumer ในรูปแบบ P2P ที่สามารถนำมาใช้ได้จริงในทางปฏิบัติสำหรับประเทศไทย อาทิโครงการ T77 ซึ่งได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2561 และ โครงการ CMU Smart City ที่คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ในปี 2564 รวมทั้งโครงการ Sun Share Smart Green Energy Community ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการขออนุญาต Sandbox

โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้เล็งเห็นแนวโน้มในการเติบโตของตลาดและการปรับบทบาทของผู้บริโภครายย่อย ประกอบกับสภาวะโลกที่กำลังเปลี่ยนโฉมสู่ยุคดิจิทัล จึงได้ให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการด้านพลังงานสะอาดเพื่อตอบสนองความต้องการการใช้พลังงานของผู้บริโภคและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการนำร่องที่เข้าร่วมทดสอบนวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนให้บริการด้านพลังงาน (ERC Sandbox) ของ กกพ. จำนวน 4 โครงการ ซึ่งทั้งหมดเป็นโครงการที่พร้อมพัฒนาต่อยอดสู่การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าของกลุ่ม Prosumer" นายบัณฑิตกล่าว

สำหรับโครงการ ERC Sandbox ที่บริษัทฯ ได้รับคัดเลือกจาก กกพ. ประกอบด้วย

  • โครงการบริหารจัดการพลังงาน Town 77 โดยบีซีพีจีและบริษัทในเครือ ได้ร่วมมือกับบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) พัฒนาพื้นที่ Town 77 บริเวณอ่อนนุช ให้เป็นต้นแบบในการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือแนวทางการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมการซื้อขายไฟฟ้าระหว่างกันแบบ Peer to Peer ด้วยเทคโนโลยีบล็อคเชน ของผู้ใช้ไฟฟ้าขนาดกลาง ถึงขนาดใหญ่ ภายในเขตนครหลวง
  • โครงการพัฒนาต้นแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) โดยบีซีพีจี และบริษัทในเครือ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเชียงใหม่และพันธมิตร ร่วมพัฒนามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้เป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ด้านพลังงานสะอาด (Smart Energy) ของประเทศ และต่อยอดสู่การพัฒนาเมืองอัจฉริยะหรือ Smart City ของจังหวัดเชียงใหม่ ที่เน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาและแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม
  • โครงการ Sun Share Smart Green Energy Community โดยบีซีพีจีได้ร่วมมือกับ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้า Smart Grid บนพื้นที่ครอบคลุมกว่า 200 ไร่ ที่มีการใช้งานพลังงานไฟฟ้าของภาคครัวเรือนและ Community Mall เพื่อให้เป็นต้นแบบชุมชนสีเขียวแห่งอนาคต (Smart Green Energy Community)
  • โครงการลมลิกอร์ โดยบริษัท ลมลิกอร์ จำกัด บริษัทผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ในเครือบีซีพีจี ได้ทำการศึกษาวิจัยร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อให้โครงการลมลิกอร์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าพยา อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นต้นแบบสำหรับการนำเทคโนโลยีการบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management System) ด้วยการนำระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage) มาใช้กับพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลม ช่วยลดปัญหาความผันผวนของพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากกังหันลม และนำพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตได้ มาใช้ในเวลาที่เหมาะสม เพื่อเป็นการรองรับธุรกิจนวัตกรรมด้านพลังงานทดแทนและการบริหารระบบโครงข่ายในอนาคต
  • "การพัฒนาทั้ง 4 โครงการ เป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐในการนำพลังงานทดแทนไปยังผู้บริโภคโดยตรง ช่วยเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคสามารถผลิตและบริหารจัดการไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้ด้วยตัวเอง ทำให้เกิดการใช้พลังงานสะอาด ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ ส่งผลต่อการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน และเป็นการต่อยอดการพัฒนาทรัพยากรบุคคลและเทคโนโลยีของไทยให้ทัดเทียมและแข่งขันได้ในระดับนานาชาติ" นายบัณฑิตกล่าวทิ้งท้าย


    เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ