กรุงไทยเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยปี 65 ฟื้นตัวขึ้น แนะเร่งใช้ "เมกะเทรนด์โลก" ปรับตัวสู่ "โมเดลเศรษฐกิจใหม่"ฟื้นธุรกิจเติบโตเข้มแข็งยั่งยืน ชูโรดแมพสมาคมธนาคารไทย ยกระดับประเทศพร้อมแข่งขันระดับโลก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday February 23, 2022 15:46 —ThaiPR.net

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย และ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย กล่าวในงานสัมมนา iBusiness Forum หัวข้อ "2022 Next economic chapter. New opportunities and challenges ก้าวต่อไปเศรษฐกิจไทย 2565 โอกาสและความท้าทายใหม่" ว่า ในปี 2565 เศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่เส้นทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้น หลังจากเผชิญกับสถานการณ์วิกฤติในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยที่ประชุมร่วมคณะกรรมการภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ครั้งล่าสุดได้คาดการณ์ว่าปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้มากขึ้นที่ 3.0-4.5% เทียบกับปี 2564 ที่ขยายตัว 0.5-1.5% แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีอัตราการฟื้นตัวไม่เท่ากันในแต่ละภาคส่วน และยังมีความเปราะบางสูง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว และกำลังซื้อของครัวเรือนที่ถูกกดดันจากภาระหนี้ที่สูงขึ้นรวดเร็วจากผลกระทบของโควิด-19

สำหรับแนวโน้มต่อจากนี้ ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคการเงิน ประเมินในทิศทางเดียวกันว่าต้องเร่งใช้โอกาสจากตัวขับเคลื่อนใหม่ๆ (New growth driver) และกระแสเมกะเทรนด์ของโลก เพื่อเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวอย่างเข้มแข็ง บนแนวคิดของการเติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่เข้าไปเปลี่ยนโฉมการดำเนินธุรกิจจะเป็นไปในวงกว้างและเข้มข้นขึ้น ซึ่งประเทศไทยมีความตื่นตัวและเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคการเงิน ในการปรับตัวสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ คือ Bio-Circular-Green Economy(BCG Economy) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงการให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างทั่วถึง ตามกรอบแนวคิด "สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล" (Environment Social and Governance - ESG) ซึ่งจะเป็นการดำเนินธุรกิจให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรมและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาวให้แก่ธุรกิจรายย่อย เพื่อให้ภาคธุรกิจขนาดเล็กมีโอกาสในการเติบโตได้อย่างมั่นคง

"เมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงนี้ จะเป็นตัวที่กำหนดทิศทางของทุกภาคส่วน รวมทั้งภาคการเงิน ในการปรับตัวสู่โมเดลเศรษฐกิจใหม่ของไทย โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิสรัปชัน ทำให้เกิดนวัตกรรมการเงินที่หลากหลายเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจและประชาชน ซึ่งสถาบันการเงินไทยมีความตื่นตัวในการนำเทคโนโลยีทางการเงินมาปรับปรุงวิธีการดำเนินงานและรูปแบบธุรกิจของตัวเอง เพื่อให้แข่งขันได้ในบริบทที่คนไทยเข้าสู่ยุคของดิจิทัลไฟแนนซ์อย่างเข้มข้น เห็นได้จากการทำธุรกรรมโอนเงินผ่านโมบายแบงกิ้งที่คาดว่าอาจมีปริมาณสูงถึงกว่า 15,000 ล้านธุรกรรมในปี 2564 เติบโตจากในปี 2560 ที่มีเพียง 1,300 ล้านธุรกรรม เช่นเดียวกับการทำธุรกรรมผ่านระบบพร้อมเพย์ที่อาจมีจำนวนสูงถึงกว่า 9,400 ล้านธุรกรรม เติบโตขึ้น 10 เท่าจากปี 2560"

ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์รองรับการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ภูมิทัศน์ภาคการเงินไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไป ธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารสมาชิก ได้ร่วมมือกันพัฒนาและขับเคลื่อนมาตรการหลายด้าน เพื่อเร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาอำนวยความสะดวกด้านธุรกรรมทางการเงินให้แก่ภาคธุรกิจและประชาชน ตั้งแต่ระดับนโยบาย จนถึงมาตรการในทางปฏิบัติ ซึ่งจะมุ่งเน้นส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่โลกการเงินใหม่อย่างยั่งยืน ทั้งภาคการเงินและภาคครัวเรือน รวมทั้งคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนานวัตกรรมและการบริหารจัดการความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพระบบเศรษฐกิจการเงิน ตลอดจนความเสมอภาคทั้งผู้ให้บริการรายเดิมและรายใหม่ เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและดิจิทัล เพื่อพัฒนาการให้บริการภายใต้บริบทการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

ในส่วนของสมาคมธนาคารไทยตระหนักถึงโจทย์ที่ท้าทาย จึงได้วางโรดแมพในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อมุ่งส่งเสริมการเติบโตอย่างยั่งยืน เพิ่มประสิทธิภาพและความเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน ตลอดจนยกระดับการแข่งขันของประเทศไทยในระดับภูมิภาคและระดับโลก ใน 4 Theme ได้แก่

1.การยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (Enabling Country Competitiveness) ซึ่งเทคโนโลยีถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะยกระดับขีดความสามารถการดำเนินธุรกิจให้กับภาคธุรกิจในระยะต่อไป สอดคล้องกับภูมิทัศน์ภาคการเงินไทยที่จะช่วยสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทยและสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ มุ่งมั่นผลักดันการวางกรอบแนวทางและสนับสนุนระบบ Open Banking ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ บนแนวคิดที่ลดความซ้ำซ้อนและเชื่อมโยงข้อมูลอย่างครบวงจร

2.การเป็นผู้นำการให้บริการทางการเงินในภูมิภาค (Regional Championing) สนับสนุนผู้ประกอบการและนักลงทุน เชื่อมโยงระบบโครงสร้างทางการเงินระหว่างกันในภูมิภาค เพื่อรองรับโอกาสใหม่ๆ ของภาคธุรกิจจากการขยายตลาดสู่ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งถือเป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

3.การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน (Sustainability) ผลักดันให้การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนคำนึงถึงหลักการ ESG โดยสมาคมธนาคารไทยจะมีส่วนผลักดันให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่ BCG Economy ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยในการพัฒนาและนำแนวปฏิบัติด้านการธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) ไปใช้ดำเนินธุรกิจ รวมถึงจัดทำ ESG Declaration อย่างชัดเจนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล นอกจากนี้สมาคมธนาคารไทยยังมุ่งมั่นที่จะร่วมกันแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยสร้างกลไกการเพิ่มวินัยทางการเงินและส่งเสริมการออมเงิน โดยเฉพาะการออมเผื่อเกษียณ เพื่อช่วยให้ภาคครัวเรือนหรือกลุ่มเปราะบางอยู่รอดและปรับตัวสู่โลกใหม่ ตลอดจนมุ่งลดความเหลื่อมล้ำ โดยส่งเสริมให้ประชาชนและภาคธุรกิจสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินได้มากขึ้น

4.การให้ความสำคัญด้านทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital) พัฒนา Pool of Talents ที่มีทักษะตอบโจทย์โลกอนาคต โดยสมาคมธนาคารไทยจะเดินหน้า Upskill & Reskill พนักงาน ซึ่งปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบมีอยู่กว่า 1.36 แสนราย ให้มี Digital Literacy มากขึ้น มุ่งยกระดับให้สมาคมธนาคารไทยมีบทบาทเป็นฮับระดับชาติในด้านองค์ความรู้และการวิจัยของอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อตอบโจทย์โลกการเงินที่เปลี่ยนไป สอดรับกับ Business model ของภาคธนาคารที่มุ่งสู่ Digital banking และเน้น Agility อย่างเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการฟื้นตัวจากวิกฤติโควิด-19 และบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โรดแมพและยุทธศาสตร์ทั้ง 4 Themes ของสมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานของภาคธุรกิจและยกระดับเศรษฐกิจไทย และจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมไทยไปด้วยกัน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ