KKP มุ่งต่อยอด 3 แกนหลักธุรกิจ ธนาคาร-เวลธ์-วาณิชธนกิจ รองรับพัฒนาการตลาดการเงินยุคใหม่ พร้อมคุมคุณภาพสินเชื่อรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพ

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday January 31, 2024 16:34 —ThaiPR.net

KKP มุ่งต่อยอด 3 แกนหลักธุรกิจ ธนาคาร-เวลธ์-วาณิชธนกิจ รองรับพัฒนาการตลาดการเงินยุคใหม่ พร้อมคุมคุณภาพสินเชื่อรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพ

กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เผยแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2567 มุ่งสามแกนหลัก ได้แก่ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ รักษาการเติบโตสินเชื่ออย่างมีคุณภาพ และสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินงาน เพื่อสนับสนุนการประหยัดจากขนาด (Economies of Scale) ธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล เดินหน้ายกระดับการให้บริการทัดเทียมสากล ธุรกิจวาณิชธนกิจ ใช้ความชำนาญในอุตสาหกรรมสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม สนับสนุนความสมดุลของแหล่งรายได้ของกลุ่มธุรกิจฯ

สำหรับผลประกอบการสำหรับปี 2566 กำไรของกลุ่มธุรกิจฯ ปรับลดลงจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ลูกค้าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และสภาวะตลาดทุนที่ซบเซา อย่างไรก็ตาม ช่องทางการให้บริการดิจิทัลของกลุ่มธุรกิจ เช่น Dime และ Digital Edge มีการขยายฐานลูกค้ารวมกว่า 700,000 ดาวน์โหลด ด้านธุรกิจจัดการกองทุนรวม มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการปรับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40 สำหรับปี 2567 ตั้งเป้าอัตราการเติบโตสินเชื่อรวมไว้ที่ร้อยละ 3

นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (Mr. Aphinant Klewpatinond, Chief Executive Officer, Kiatnakin Phatra Financial Group) กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจสำหรับปี 2567 ว่า "แนวโน้มทิศทางพัฒนาการตลาดเงินและตลาดทุนของโลกชี้ให้เห็นว่าธุรกิจในปัจจุบันได้ใช้ช่องทางที่หลากหลายในการระดมทรัพยากรมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ ไม่จำกัดอยู่แต่เพียงสินเชื่อของธนาคาร ดังนั้น กลุ่มธุรกิจฯ จึงมุ่งพัฒนาต่อยอดธุรกิจบนสามแกนหลัก คือธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล และธุรกิจวาณิชธนกิจ เพื่อสร้างการเติบโตที่เข้มแข็งจากหลายช่องทาง และมีความยืดหยุ่นรองรับพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเข้าถึงข้อมูล เทคโนโลยี และกฎระเบียบ ทั้งนี้ ธุรกิจธนาคารพาณิชย์จะเป็นฐานของรายได้ที่เติบโตตามขนาดของ Balance Sheet ดังนั้น จึงต้องมุ่งระดมเงินฝากเพื่อตอบสนองต่อความต้องการขยายสินเชื่อที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ธุรกิจการบริหารความมั่งคั่งและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล และธุรกิจวาณิชธนกิจ จะมุ่งยกระดับการให้บริการให้ทัดเทียมสากล เพื่อสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม ที่เป็นการใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพและมีความเสี่ยงด้านเครดิตต่ำ"

นายฟิลิป เชียง ชอง แทน กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (Mr.Philip Chen Chong Tan, President, Kiatnakin Phatra Bank Public Company Limited) กล่าวว่า"สำหรับผลประกอบการของธนาคารในปี 2566 กำไรปรับลดลงจากธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ที่ลูกค้าได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและภาวะดอกเบี้ย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของราคารถยนต์ ดังนั้น การดำเนินการของธนาคารจึงมุ่งเน้นการจัดการและบริหารคุณภาพสินทรัพย์ ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณการปรับตัวดีขึ้น พร้อมกับขยายสัดส่วนตลาดที่เครดิตมีคุณภาพดีผ่านสินเชื่อรถแลกเงิน ทั้งนี้ สำหรับปี 2567 ธนาคารตั้งเป้าขยายการเติบโตสินเชื่อรวมที่อัตราร้อยละ 3 ภายใต้การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนขยายผลจากแพลตฟอร์มบริการดิจิทัลของกลุ่มธุรกิจฯ อย่าง Digital Edge และ Dime เพื่อการเข้าถึงและส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า"

นายปรีชา เตชรุ่งชัยกุล ประธานสายการเงินและงบประมาณ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (Mr. Preecha Techarungchaikul, Head of Finance and Budgeting, Kiatnakin Phatra Bank Public Company Limited) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวข้อมูลทางการเงินของผลการดำเนินงานปี 2566 ว่า "กลุ่มธุรกิจฯ มีกำไรสุทธิเท่ากับ 5,443 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 28.4 และมีกำไรเบ็ดเสร็จ 5,452 ล้านบาท โดยเป็นกำไรสุทธิของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 1,078 ล้านบาทและเป็นกำไรเบ็ดเสร็จของธุรกิจตลาดทุน จำนวน 1,119 ล้านบาท ในส่วนของการตั้งสำรองสำหรับปี 2566 ได้มีการพิจารณาตั้งสำรองส่วนเพิ่มเป็นจำนวนประมาณ 600 ล้านบาท ตามหลักความระมัดระวังสำหรับสินเชื่อขนาดใหญ่รายหนึ่ง ส่งผลให้อัตราส่วนสำรองต่อสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต ณ สิ้นปี 2566 อยู่ในระดับสูงที่ร้อยละ 164.6 นอกจากนี้ ธนาคารมีรายได้เพิ่มขึ้นในส่วนของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิมีจำนวน 22,294 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยมีจำนวน 6,469 ล้านบาท ปรับลดลงร้อยละ 23.5 จากปี 2565 และธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio)คำนวณตามเกณฑ์ Basel III ซึ่งรวมกำไรถึงสิ้นปี 2566 อยู่ที่ร้อยละ 16.2 และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 จะเท่ากับร้อยละ 12.8"


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ