เรื่องย่อ THE WIND THAT SHAKES THE BARLEY 24 August 2006 @ Apex Theatre

ข่าวทั่วไป Wednesday August 9, 2006 14:19 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--เจ-บิ๊คส์ ฟิล์ม
THE WIND THAT SHAKES THE BARLEY
24 August 2006 @ Apex Theatre
Palme d'Or (2006) / (รางวัลต้นปาล์มทองคำ 2006)
รูปแบบ: 35 มม.
ความยาว: 127 นาที
ผู้กำกับ: Ken Loach
โปรดิวเซอร์: Rebecca O'Brien
ผู้อำนวยการสร้าง: Ulrich Felsberg, Andrew Lowe, Nigel Thomas
ตัดต่อ: Jonathan Morris
บทภาพยนตร์: Paul Laverty
ผู้กำกับภาพ: Barry Ackroyd
เสียง: Ray Beckett
ดนตรี: George Fenton
นักแสดงนำ: Cillian Murphy, Liam Cunningham, Padraic Delaney, Orla Fitzgerald, Damien Kearney, Myles Horgan
เรื่องย่อ
ไอร์แลนด์ปี 1920 คนงานจากท้องทุ่งและในภูมิภาครวมตัวกันเพื่อก่อตั้งกองกำลังอาสาสมัครเพื่อการเผชิญหน้าต่อสู้กับกองพล "Black and Tan" อันเหี้ยมโหดที่ถูกส่งมาจากอังกฤษเพื่อสกัดกั้นการยื่นคำร้องขอเป็นอิสรภาพของไอร์แลนด์ด้วยรู้สึกถึงภาระรับผิดชอบอันใหญ่หลวงและความรักที่มีต่อประเทศชาติ Damien จึงละทิ้งอาชีพหมอที่กำลังเจริญก้าวหน้าเข้าร่วมการต่อสู้เพื่ออิสรภาพอันสุดอันตรายและป่าเถื่อนร่วมกับน้องชาย Teddy เมื่อนักสู้เพื่ออิสรภาพสามารถต่อสู้ได้อย่างองอาญและมีชั้นเชิงทำให้กองกำลังจากอังกฤษเดินทางมาถึงจุดแตกหัก สุดท้ายทั้งสองฝ่ายจึงตกลงทำสนธิสัญญาเพื่อยุติการนองเลือด หากแต่ชัยชนะที่ได้มากลับก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น ครอบครัวเพื่อนพ้องที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมากลับหันมาเผชิญหน้ากันเองอย่างกับเป็นศัตรูคู่อาฆาต
รางวัลต้นปาล์มทองคำ: "The Wind That Shakes the Barley" โดย Ken Loach - 28/05/2006
Emmanuelle Bart มอบรางวัลต้นปาล์มทองคำให้แก่ Ken Loach ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง The Wind That Shakes the Barley
ในระหว่างการมอบรางวัล Ken Loach กล่าวเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า "มันวิเศษที่สุด ขอบคุณมาก ๆ ผมแทบจะลืมภาษาฝรั่งเศสไปเลยตอนนี้ เป็นเกียรติอย่างยิ่งสำหรับพวกเราที่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เพราะคานส์คือเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองของคนภาพยนตร์ที่งดงามที่สุดในโลก ที่นี่คือศูนย์กลางของโลกภาพยนตร์ คือหัวใจของโลกภาพยนตอย่างแท้จริง” แล้วก็กล่าวเป็นภาษาอังกฤษเพิ่มเติมว่า "เราหวังว่าภาพยนตร์ของเราจะเป็นก้าวเล็ก ๆ ในการนำเสนอความสัมพันธ์ซึ่งชาวอังกฤษมีให้กับชาวอาณานิคมของพวกเขาในอดีตที่ผ่านมา หากเรากล้าที่จะเล่าเรื่องราวความเป็นจริงในอดีต บางทีเราอาจจะกล้าที่จะบอกเล่าเรื่องราวในปัจจุบันด้วยก็เป็นได้” แล้วเขาก็กล่าวสรุปเป็นภาษาฝรั่งเศสอีกครั้ง "ขอขอบคุณคณะกรรมการ ขอบคุณเมืองคานส์ ขอบคุณไปยัง Thierry Fr้maux และ Gilles Jacob มันเป็นรางวัลที่วิเศษมาก ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคน เราทำภาพยนตร์เรื่องนี้มาด้วยกัน รางวัลนี้จึงไม่ใช่รางวัลสำหรับผมแต่เป็นของพวกเราทุก ๆ คน"
Ken ยังได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมในงานแถลงข่าวกับสื่อมวลชนซึ่งจัดขึ้นหลังจากการมอบรางวัลว่า “ผมรู้สึกตื้อไปหมด เราไม่ได้คาดหวังที่จะได้รับรางวัลนี้เลยจริง ๆ ผมรู้สึกดีใจมาก ๆ ในฐานะที่เป็นคนสร้างภาพยนตร์ที่เรื่องราวนี้จะถูกจดจำในวิธีที่เหนือกว่าธรรมดา”
"The Wind that Shakes the Barley" โดย Ken Loach - 18/05/2006
ชื่อนี้เป็นที่คุ้นเคยของ Croisette เป็นอย่างดีด้วยภาพยนตร์กว่าโหลที่เคยได้รับการเสนอชื่อให้รับรางวัล (Hidden Agenda, Raining Stones ซึ่งทั้งสองเรื่องได้รับรางวัล Jury Prize) ไม่ว่าจะในส่วนของ Un Certain Regard (The Gamekeeper) หรือส่วนอื่น (Kes, Black Jack) Ken Loach กลับมาอีกครั้งด้วยภาพยนตร์เรื่อง The Wind that Shakes the Barley ภาพยนตร์ดราม่านำแสดงโดยนักแสดงชาวไอริชซึ่งได้รับเสียงชื่นชมในระดับนานาชาติ Cillian Murphy ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอังกฤษหวนคืนสู่เรื่องราวประวัติศาสตร์อีกครั้ง (หลังจากเรื่อง Land and Freedom ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองของสเปน) โดยครั้งนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามเพื่ออิสรภาพของชาวไอริชซึ่งเขาได้เคยปลุกเร้าความน่าสะพรึงกลัวของการเมืองจาก Hidden Agenda มาแล้ว Ken Loach บันทึกเรื่องราวเหมือนอยู่ในสถานการณ์จริงและภาพยนตร์เรื่องนี้จะนำเราไปสู่ใจกลางของการปฏิวัติของชาวไอริชซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 1916 อันนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองเมื่อปี 1920 เพราะเป็นภาพยนตร์ว่าด้วยเรื่องราวของสงคราม การดำเนินเรื่องเน้นไปที่สองพี่น้อง Damian (รับบทโดย Cillian Murphy) ผู้ซึ่งละทิ้งอาชีพหมอด้วยความรักที่มีต่อประเทศชาติ และ Teddy (รับบทโดย Pแdraic Delaney) ผู้ซึ่งทุ่มเทหัวใจทั้งหมดให้กับการต่อสู้เพื่ออิสรภาพต่ออังกฤษซึ่งผู้ปกครอง การต่อสู้ของพวกเขาต้องแลกมาด้วยค่าของความสัมพันธ์ของพวกเขาเอง
"ผมจะไม่เรียกภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าเป็นภาพยนตร์ต่อต้านชาวอังกฤษ” Ken Loach กล่าว ผมเพียงแต่กระตุ้นผู้คนให้หันไปมองความยึดมั่นถือมั่นของพวกเขาในแนวระนาบข้ามผ่านขอบเขตของความเป็นชนชาติ ดังนั้นภาพยนตร์เรื่องนี้จึงไม่ใช่ภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องชาวอังกฤษทำร้ายชาวไอริช ผู้คนซึ่งอยู่ในฐานะเดียวกันในสังคมของแต่ละประเทศมีความเหมือนกันมากกว่าผู้คนระดับสูงในสังคมของพวกเขาเอง แน่นอนที่คุณสามารถกล่าวอ้างได้ว่าเราต้องมีความรับผิดชอบในการต่อสู้กับความผิดพลาดและความโหดร้ายของผู้นำของเราทั้งในอดีตและปัจจุบัน มันห่างไกลจากคำว่าไม่รักชาติ หากแต่เป็นหน้าที่ที่พวกเราไม่อาจเพิกเฉย"
เยี่ยมกองถ่าย 'The Wind That Shakes The Barley'
Dave Calhoun ตามไปพบกับ Ken Loach ในพื้นที่ที่ถ่ายทำในไอร์แลนด์
Dave Calhoun | 18 กรกฎาคม 2005
'ประจำที่ของตัวเองครับ พร้อมแล้วเริ่ม' Ken Loach กล่าวอย่างเรียบ ๆ กับสองนักแสดงของเขาในฉากที่กำลังถ่ายทำในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดเกี่ยวกับชาวไอริชของเขาเรื่อง 'The Wind That Shakes The Barley', โดยไม่ต้องตะโกน 'แอ็คชั่น!' อย่างประเพณีนิยมโดยวิธีเรียบง่ายและสุภาพมากกว่า
ภาพยนตร์เรื่องนี้คือภาพยนตร์ย้อนยุคเรื่องแรกของ Loach ตั้งแต่เรื่อง 'Land and Freedom' เมื่อปี 1995 อันเป็นเรื่องราวของความพยายามภายในของกลุ่มนักสู้เพื่ออิสรภาพในระหว่างสงครามกลางเมืองของสเปน
ครั้งนี้ Loach เน้นไปที่เรื่องราวซึ่งนำไปสู่สงครามกลางเมืองของไอร์แลนด์เมื่อปี 1922 และความซับซ้อนของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพในระดับรากหญ้า อีกครั้งที่ผู้กำกับแสดงให้เห็นความกังวลของผู้คนธรรมดาซึ่งนำพาตัวเองเข้าสู่การต่อสู้กับต่างชาติหรือผู้นำผู้กดขี่ ภาพยนตร์แสดงถึงความร่วมสมัยด้วยเช่นกัน ในขณะที่ 'Land and Freedom' สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของการย้อนกลับมาของฟาสซิสม์ในยุโรปช่วงกลางของทศวรรษ 1990 ดังนั้นการเข้าครอบครองอิรักจึงไม่ใช่เรื่องไม่สัมพันธ์กับโปรเจคใหม่นี้ พวกเราอยู่ใน Bandon เมืองเล็ก ๆ ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงจากเมือง Cork Loach และสองนักแสดงนำ Cillian Murphy ('28 Days Later', 'Batman Begins') และ Liam Cunningham ถูกบีบให้อยู่ในห้องไม่มีหน้าต่างทึมทึบในชั้นใต้ดินของอดีตศาลาว่าการของเมือง วันนี้พื้นที่คับแคบและหม่นหมองนี้ถูกใช้เป็นห้องขังใน County Cork ในปี 1919 Murphy และ Cunningham ซึ่งอยู่ในชุดย้อนยุคกำลังเล่นเป็นสมาชิกของกลุ่มติดอาวุธต่อต้านอังกฤษของไอร์แลนด์ซึ่งถูกจับอยู่ พวกเขาคือสมาชิกของหนึ่งในกองทัพรีพับลิกันของไอร์แลนด์'flyingcolumns' ไม่มีตัวละครที่เป็นนักการเมืองที่มีชื่อหรือเป็นผู้นำทางทหารในตำนาน เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ใช่มหากาพย์ทางประวัติศาสตร์อันอลังการซึ่งขับเคลื่อนโดยบุคคลหรือเหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักอย่างดี Loach ใช้ช่วงเวลาที่ครึกโครมในประวัติศาสตร์ของชาวไอริชนี้แทน ผ่านทางตัวละครสองพี่น้อง Damien (Murphy) และ Teddy (Padraig Delaney) และเพื่อนของพวกเขา Dan (Cunningham) ทั้งสามละทิ้งชีวิตความเป็นอยู่เพื่อเข้าร่วมปฎิบัติการใต้ดินเพื่อต่อต้านผู้ปกครองชาวอังกฤษ
’มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามกลางเมืองในโลกใบเล็ก’ Rebecca O'Brien โปรดิวเซอร์ผู้เชี่ยวชาญของ Loach ซึ่งสร้างภาพยนตร์ให้Loachมาแล้ว9เรื่องอธิบายให้ฟัง สมาชิกทีมผู้สร้างอื่น ๆ อาทิ Barry Ackroyd ช่างภาพและ Ray Beckett เสียง ต่างก็ทำงานกับ Loach มานานหลายปี 'มันไม่ใช่เรื่องอย่าง 'Michael Collins' O'Brien กล่าวต่อ 'มันไม่ใช่เรื่องราวตามความถูกต้องตามอัตชีวประวัติแบบนั้น แต่เป็นการแสดงออกถึงใจความหลักของช่วงเวลานั้นมากกว่า ซึ่งนี่คือแก่นของสงครามที่ตามมา คือเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์ที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้'จนถึงตอนนี้ Loach และลูกทีมของเขาอยู่ในสถานที่ถ่ายทำในเมือง Cork เป็นเวลาห้าสัปดาห์แล้ว นักแสดงเกือบทั้งหมดเป็นคนท้องถิ่น แม้แต่ Cillian Murphy นักแสดงนำซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียงเองก็เป็นคนท้องถิ่นเช่นเดียวกัน
ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดค้างอยู่ในหัวของ Loach มาเป็นเวลานานตั้งแต่ตอนที่เขาสร้างภาพยนตร์ชุดทางทีวีเกี่ยวกับสงครามในช่วงกลางทศวรรษ 1970 เรื่อง 'Days of Hope' O'Brien อธิบาย ความคิดแรกของเขาคือการเล่าเรื่องเกี่ยวกับชาวไอริช Jim Allen ซึ่งเป็นคนเขียนบทให้กับเขามาเป็นเวลานานได้เริ่มเขียนบทเรื่องนี้ให้กับเขา (โดยให้ชื่อเรื่องว่า 'The Stolen Republic') แต่เขาเสียชีวิตลงเมื่อปี 1999 สองปีผ่านไป คนเขียนบทคนล่าสุดของ Loach คือ Paul Laverty ('Carla's Song', 'Ae Fond Kiss') จึงรับไม้ต่อโดยเขียนบทขึ้นมาใหม่จากการค้นคว้าอย่างละเอียดเกี่ยวกับช่วงเวลาสงครามในไอร์แลนด์
วันเดียวกันนั้นเอง Loach ก็ทำให้ห้องโถงของอดีตศาลาว่าการท้องถิ่นเต็มไปด้วยนักแสดงสมทบกว่า 70 คนซึ่งมีทั้งผู้สูงวัยและอ่อนเยาว์ ทั้งหมดต่างแต่งกายเพื่อเข้าฉากงานเลี้ยงตามแบบฉบับชาวไอริช อันเป็นสันติสุขและความรื่นเริงที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ในการทำสนธิสัญญาระหว่างอังกฤษกับไอร์แลนด์ในปี 1921 ซึ่งหลังจากนั้นหนึ่งปีสงครามกลางเมืองก็ปะทุขึ้นมา วงดนตรีที่มีนักร้องที่มีเคราสีขาวเหมือนรังนกเล่นเพลงที่ใช้ในงานรื่นเริงประจำท้องถิ่นของไอริชและผู้คนก็เริ่มเต้นรำกันอย่างสนุกสนาน ภาพของวีรบุรุษของ Easter Rising เมื่อปี 1916 อย่าง James Connolly Joseph Plunkett Padraig Pearse เรียงรายเป็นแถวบนกำแพง และธงชาติสามสีของไอร์แลนด์แขวนอยู่ด้านหลังของเวที Loach กล่าวสรุปสั้น ๆ กับกลุ่มคนก่อนถ่ายทำว่า 'มันเป็นฤดูร้อนของปี 1921 พวกคุณต่างก็เป็นสมาชิกของ flying column หรืออย่างน้อยก็เป็นรีพับลิกัน และต่างมีความกระตือรือร้นกับวัฒนธรรมของไอริช มีเครื่องดื่มจริง ๆ อยู่แต่อย่าดื่มมากจนเสียงาน เพราะนี่เป็นโปรเจคยักษ์ใหญ่ เราจึงมีเครื่องดื่มพร้อมสำหรับทุกคน' O'Brien ผู้เป็นโปรดิวเซอร์กลอกตาด้วยอาการผวากึ่งขบขันด้วยคำพูดของ Loach ที่ว่า เป็น ‘โปรเจคยักษ์ใหญ่’ 'มันมีมูลค่าสี่เท่าครึ่งของแบ็ทโมบายส์ เธอกล่าวติดตลก แล้วเธอก็อธิบายให้ฟังถึงตัวเลขที่แท้จริงของรายละเอียดการทำภาพยนตร์ย้อนยุค โดยชี้ไปที่ตู้โทรศัพท์ซึ่งทีมงานปิดปังเอาไว้ด้วยรถเทียมม้าแทนการจ่ายเงินถึง 400ปอนด์ในการเคลื่อนย้ายออกไปชั่วคราวในฉากก่อนหน้านี้ ก่อนที่ฉากงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น Loach แวะเข้ามาคุยด้วยสั้น ๆ ว่า 'เป็นเรื่องธรรมดา คุณมาที่นี่ตอนเช้าจึงได้เห็นฉากซึ่งคำว่าสังคมนิยมถูกใช้ เขายิ้ม อ้างถึงฉากก่อนหน้านี้ในห้องขังซึ่งเป็นบทสนทนาระหว่าง Damien กับ Dan ซึ่งพวกเขาอ้างถึงคำกล่าวของ James Connolly หนึ่งในผู้เสียสละแห่ง Easter Rising
Loach นั้นตระหนักถึงผู้ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์เขาว่า ต้องการจุดประเด็นทางการเมืองด้วยเช่นกัน 'แต่ทำไมเราจึงจะต้องอับอายกับเรื่องเหล่านี้ด้วย?' O'Brien ตั้งคำถาม 'ผู้คนนั้นหวาดกลัวการเมืองแต่ที่นี่เราไม่ได้พยายามที่จะเมินหน้าหนี ความเป็นจริงที่ทอดอยู่บนหนทางที่พวกเราจะเติบโต เราไม่ต้องการที่จะชักนำไปหนทางอันเลวร้ายลง หากแต่ต้องการให้เกิดการอภิปราย'
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
Prasert Songsiriworakul (Meng)
Pulbilc Relations Department
J-BICS FILMS CO.,LTD
Tel (+66) 2-640-5522
Fax (+66) 2-641-6161,(+66) 2-641-6688
Mobile (+66) 9-129-0569
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ