กรุงเทพฯ--18 ธ.ค.--
วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่กำลังคุกคามทั่วโลกในขณะนี้กำลังส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยเพราะทำให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญชะลอตัว และคำสั่งซื้อสินค้าต่างๆ ได้หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันปัญหาความขัดแย้งทางการทางการเมืองที่นำไปสู่การปิดสนามบินหลักของประเทศ คือสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองยาวนานนับสัปดาห์ก็ได้สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อเศรษฐกิจของประเทศ และส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการส่งออก โดยพบว่าในช่วงระยะเวลากว่า 1 สัปดาห์ของการปิดสนามบินทำให้เกิดความเสียหายต่อการส่งออกสินค้าโดยเฉพาะในย่านการค้าสำคัญๆ เป็นมูลค่า เฉลี่ยวันละ 1,400 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท และยังส่งผลให้ต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจและลังเลที่จะสั่งซื้อสินค้าจากไทยโดยเฉพาะในช่วงก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ซึ่งจะเป็นช่วงที่มีคำสั่งซื้อเข้ามาในประเทศมากที่สุด ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากทั้งในและต่างประเทศได้ทำให้กระทรวงพาณิชย์ได้ปรับประมาณการการขยายตัวของการส่งออกในปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ 5
ทั้งปัจจัยจากต่างประเทศและสถานการณ์ปัญหาการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้นทำให้ผุ้สำนักให้คำปรึกษาทางธุรกิจระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออกต้องใช้ความพยายามและปรับกลยุทธ์การส่งออกในปี 2552 อย่างเต็มที่ เพื่อรักษาระดับการขยายตัวของการส่งออกไว้ให้ได้มากที่สุด โดยมีแนวทางหลักคือการเรียกความเชื่อมั่นของผู้นำเข้าในต่างประเทศให้เห็นว่าการค้า ,การส่งออกของไทยยังเป็นไปตามปกติและไม่เกิดผลกระทบขึ้นจากสถานการณ์ทางการเมือง ขณะเดียวกันก็จะรุกตลาดต่างประเทศให้มากขึ้นเพื่อหาช่องทางการส่งออกสินค้าจากย่านการค้าต่างๆ ไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มผุ้ซื้อขนาดกลางและเล็ก ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนใจทำการค้ากับผู้ค้าในย่านการค้าต่างๆ ของไทยเป็นหลัก
ทั้งนี้ สำนักให้คำปรึกษาธุรกิจระหว่างประเทศได้จัดทำแผนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและกรุงเทพมหานครในการประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ซื้อในต่างชาติได้มั่นใจว่าการส่งออกสินค้าจากย่านการค้าต่างๆ จะเป็นไปตามปกติไม่มีปัญหาที่จะกระทบต่อผู้ซื้อโดยเฉพาะในกลุ่มย่อย ที่เข้ามาเลือกซื้อสินค้าในย่านการค้าและนำออกไปเองหรือที่เรียกว่า “cash &carry” ที่เป็นกลุ่มผู้ซื้อหลักในย่านการค้าต่างๆ พร้อมนำตัวแทนผู้ค้าในย่านการค้าออกไปพบกับผู้ซื้อในต่างประเทศ เพื่อแสดงศักยภาพของตัวสินค้าและหาช่องทางการตกลงซื้อขายสินค้ากับผู้ซื้อในต่างประเทศ โดยเน้นกลุ่มประเทศที่ไทยมีการทำข้อตกลงจัดตั้งเขตการค้าเสรีหรือ FTA (Free Trade Agreement) เป็นหลัก เพื่อจะได้สามารถใช้ประโยชน์จากข้อตกลงดังกล่าวในช่วงเกิดวิกฤตทั้งในและต่างประเทศขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักที่จะนำผู้ค้าร่วมเดินทางพร้อมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยไปพบกับผู้ซื้อในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจระหว่าง 2 ประเทศที่เรียกว่าข้อตกลง JTEPA ในช่วงต้นปี ขณะเดียวกันทางสำนักให้คำปรึกษาธุรกิจระหว่างประเทศก็มีแผนจะนำผู้ค้าไปพบกับผู้ซื้อใน เวียดนาม, จีน , สหรัฐอาหรับเอมิเรต, อินเดียและบังกลาเทศในปี 2552 ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้ค้าในย่านการค้าต่างๆ ได้มีโอกาสร่วมออกบูธในงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศให้มากขึ้น และจัดกิจกรรมกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายสินค้าในย่านการค้าสำคัญ ๆ เช่นโครงการถนนคนเดิน เส้นทางสายไม้ ย่านการค้าบางโพ และถนนคนเดินย่านการค้าวรจักรเป็นต้น
สถานการณ์ในปี 2552 ที่จะสร้างผลกระทบในวงกว้างต่อภาคการส่งออกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจทำให้ผู้ค้าในย่านการค้าต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต้องปรับตัวและเตรียมการรับมือหนัก แนวทางการรับมือที่สำนักให้คำปรึกษาธุรกิจระหว่างประเทศได้เตรียมไว้ น่าจะเป็นทางออกที่ช่วยลดผลกระทบลงได้พร้อมๆ กับช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับผู้ค้าในย่านการค้าต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ กรมส่งเสริมการส่งออก สำนักให้คำปรึกษาธุรกิจระหว่างประเทศ กลุ่มงานส่งเสริม Trade Mart หมายเลขโทรศัพท์ 02-511-5020-30 ต่อ 722,708 e-mail : [email protected] หรือสายด่วน DEP call 1169
www.depthai.go.th / www.thaitrade.com
(มาทินี เผ่าจำรูญ เรียบเรียง)
ผู้ส่ง : คุณวิริยะดา วิจิตรเชื้อ
เบอร์โทรศัพท์ : 02 9114530 ต่อ 106