KTAMเปิดขาย2กองทุนตราสารหนี้ ทั้งใน-ตปท.ชูผลตอบแทนกว่า3%ต่อปี

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday April 9, 2009 11:32 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--9 เม.ย.--ธนาคารกรุงไทย นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงนี้บริษัทอยู่ในระหว่างการเปิดจำหน่าย 2 กองทุนตราสารหนี้ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ กองทุนรวมกรุงไทยตราสารต่างประเทศ เอฟไอเอฟ 6 เดือน 1 (KTFF6M1) และ กองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 3 เดือน 1 (KTSIV3M1) โดยกองทุนKTFF6M1 มีอายุโครงการ 6 เดือน มูลค่า 5,000 ล้านบาท เปิดขายหน่วยลงทุน ในวันที่ 10-21 เมษายน 2552 เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้สถาบันการเงินภาครัฐต่างประเทศ โดยจะเน้นลงทุนใน Export —Import Bank of Korea , Korea Development Bank และ Industrial Bank of Korea โดยกองทุนจะได้รับอัตราผลตอบแทนประมาณการที่ 3 .00 - 3.30% ต่อปี ซึ่งนับว่าเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในประเทศที่ระดับความเสี่ยงใกล้เคียงกัน ทั้งนี้ เงินลงทุนในประเทศจะมีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยสถาบันการเงินทั้ง3 แห่ง จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ เป็นกลไกที่สำคัญของรัฐบาลเกาหลีใต้ในการดำเนินนโยบายต่างๆ ( Policy Bank ) โดยปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีใต้ถือหุ้นใน Export- Import Bank of Korea และ Korea Development Bank ทั้ง 100% และถือหุ้นใน Industrial Bank of Korea ประมาณ 67% นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดจำหน่ายกองทุน KTSIV3M1 รอบใหม่ ( Roll over) ในวันที่ 9-17 เมษายน 2552 อายุโครงการ 3 เดือน มูลค่า 5,000 ล้านบาท เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน และเงินฝากสถาบันการเงิน ซึ่งจะเน้นลงทุนใน พันธบัตรภาครัฐในประเทศ 15% เงินฝากธนาคารสินเอเชีย และธนาคารทิสโก้ สถาบันละ 20% หุ้นกู้ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด 20% ตั๋วแลกเงินของบมจ.บัตรกรุงไทย 25% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน ส่งผลให้กองทุนได้รับผลตอบแทน ประมาณการที่ 1.10% ต่อปี นายสมชัย กล่าวต่อไปว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สภาพคล่องในตลาดเงินระยะสั้นเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยเกิดจากการไหลกลับของเงินลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาซื้อกองทุนตลาดเงินระยะสั้น รวมถึงสภาพคล่องจากธนาคารพาณิชย์ที่มีปริมาณการขยายสินเชื่อลดลง ทำให้ความต้องการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐระยะสั้น มีมากกว่าปริมาณพันธบัตรที่ออกจำหน่าย ประกอบกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ซึ่งล่าสุดได้ปรับลดดอกเบี้ยจาก 1.50% เป็น 1.25% ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรระยะไม่เกิน 1 ปี ปรับลดลงอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศมีแนวโน้มปรับลดลง เนื่องจากสภาพคล่องในระบบการเงินโลกเพิ่มขึ้นมาก ประกอบกับความกังวลต่อความเสี่ยงด้านเครดิตลดลงอย่างรวดเร็ว และมีแนวโน้มที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศและต่างประเทศจะแคบลง ซึ่งจะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศเมื่อแปลงกลับเป็นสกุลเงินบาทปรับลดลง จึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในช่วงนี้ เพื่อล็อคผลตอบแทนไว้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ