MINT มีรายได้ 3,725 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 ในไตรมาส 2 ปี 2552

ข่าวทั่วไป Monday August 17, 2009 10:35 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--17 ส.ค.--ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ไตรมาส 2 ปี 2552 บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) มีรายได้ 3,725 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3 ขณะที่มีกำไรสุทธิ 230 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยที่ในไตรมาส 2 MINT มีรายได้จากการเข้าถือหุ้นในบริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (“MINOR”) และไทยเอ็กเพรส ซึ่งมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบจากรายได้ที่ลดลงของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยแม้ว่าธุรกิจอาหารจะยังคงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องของรายได้และกำไร แต่รายได้ธุรกิจโรงแรมของ MINT ลดลงจากผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจโลกและความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ ในไตรมาสนี้ กำไรสุทธิของ MINT ปรับตัวลดลงในอัตราร้อยละ 34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากกำไรที่ลดลงในธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ในไตรมาส 2 ปี 2552 ธุรกิจโรงแรมของ MINT ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการหดตัวลงของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวภายในประเทศอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำทั่วโลก กอปรกับความไม่มั่นคงทางการเมืองภายในประเทศ ดังจะเห็นได้จากอัตราการเข้าพักของโรงแรมในเครือลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 44 จากร้อยละ 64 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากธุรกิจโรงแรม จำนวน 844 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 26 ซึ่งอัตราการเข้าพักและรายได้จากธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เหตุการณ์ปิดสนามบินในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ต่อด้วยเหตุการณ์ไม่สงบจากกลุ่มผู้ประท้วงรัฐบาลในช่วงเดือนเมษายนปีนี้ ตลอดจนการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ H1N1 อย่างไรก็ดี โดยทั่วไปอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของทุกปีจะเป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว ซึ่งกำไรจากธุรกิจโรงแรมของบริษัทในช่วงนี้โดยทั่วไปมีสัดส่วนต่ำกว่าร้อยละ 35 ซึ่งถ้าสถานการณ์ทางการเมืองภายในประเทศกลับมามีเสถียรภาพในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าผลการดำเนินงานจะกลับมามีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะมีผลการดำเนินการที่ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ธุรกิจอาหารเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้และกำไรให้กับบริษัทในยามที่ธุรกิจโรงแรมชะลอตัวลง โดยไตรมาส 2 ปี 2552 MINT มีรายได้จากธุรกิจอาหาร 2,313 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากยอดขายรวมทุกสาขา (Total System Sale) มีการเติบโตร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในช่วงไตรมาส 2 มีจำนวนสาขาเปิดใหม่สุทธิทั้งในประเทศและต่างประเทศ จำนวน 20 สาขา และจากการประสบความสำเร็จในการลงทุนในไทยเอ็กซ์เพรส สัดส่วนร้อยละ 70 ในเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ในอนาคต MINT ยังคงแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในการลงทุนในแบรนด์ธุรกิจอาหารที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงและมีศักยภาพในการขยายธุรกิจออกไปในตลาดภูมิภาคเอเชียและตะวันออกกลาง ในไตรมาส 2 ปี 2552 MINT ประสบความสำเร็จในการดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจ ซึ่งทำให้ MINT เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน MINOR สัดส่วนร้อยละ 99.92 จากการเข้าถือหุ้นใน MINOR มีส่วนช่วยกระจายแหล่งที่มาของรายได้ที่หลากหลายมากขึ้น โดยครอบคลุมเพิ่มเติมไปยังธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นเครื่องสำอางแบรนด์ชั้นนำ และธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า อย่างไรก็ดี ในไตรมาส 2 ปี 2552 ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า มีรายได้ลดลงร้อยละ 15 และร้อยละ 7 ตามลำดับ และล่าสุดบริษัทย่อยได้ลงนามในสัญญาเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้กับบริษัท Gap Inc. เพื่อเปิดร้านเสื้อผ้า Gap ในประเทศไทย การนำแบรนด์ Gap เข้ามาเพิ่มเติมในในกลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่นที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบัน ได้แก่ เอสปรี บอสสินี่ ทิมเบอร์แลนด์ และชาร์ลสแอนด์คีธ ซึ่งช่วยเสริมศักยภาพในการเป็นผู้นำในจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศในประเทศไทย บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจโรงแรมซึ่งประกอบด้วย 27 โรงแรม ภายใต้เครื่องหมายการค้า อนันตรา แมริออทส์ โฟร์ซีซั่นส์ เอเลวาน่า และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลในประเทศไทย มัลดีฟส์ เวียดนาม แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอินโดนีเซีย อีกทั้งยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไมเนอร์ ฟูด กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้นำในธุรกิจอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย ประกอบไปด้วยร้านอาหารกว่า 1,000 สาขา ภายใต้เครื่องหมายการค้า เดอะ พิซซ่า คอมปะนี สเวนเซ่นส์ ซิซซ์เลอร์ แดรี่ควีน เบอร์เกอร์คิง ไทยเอ็กซ์เพรส และเดอะ คอฟฟี่ คลับ นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นจากต่างประเทศในประเทศไทย ทั้งเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องสำอาง และธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้าโดยมีโรงงานเป็นของตัวเอง โดยเครื่องหมายการค้าที่บริษัทเป็นผู้จัดจำหน่ายในปัจจุบันได้แก่ เอสปรี เรดเอิร์ธ บอสสินี่ ทิมเบอร์แลนด์ ชาร์ลสแอนด์คีธ บลูม ลาเนจ สแมชบ็อกซ์ ทูมี่ เฮงเคล ไทม์ไลฟ์ และเวิลด์บุ๊ค นอกจากนี้ ในเดือนมกราคม ปี 2552 MINT ได้รับการยอมรับจากนิตยสารเอเชียมันนี่ว่าเป็นบริษัทที่มีการจัดการดีเยี่ยมในกลุ่มบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดขนาดกลางของประเทศไทย (Best Managed Medium Cap Company) สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minorinternational.com Note: Financial format maintained with total revenues including share of profit which reported under other income Press Contacts: Pratana Mongkolkul / Prapharat Tangkawattana at Tel: (662) 381-5151

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ