“ซอฟต์แวร์ไทย” เร่งบุกยึดตลาดเอเชีย เตรียมเจรจา”ฟิลิปปินส์”หวังบี้ยักษ์ใหญ่

ข่าวทั่วไป Wednesday August 19, 2009 14:20 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--19 ส.ค.--กรมส่งเสริมการส่งออก กรมส่งเสริมการส่งออก (DEP) และ ซิป้า (SIPA) ในฐานะของภาครัฐ จับมือ ภาคเอกชนในนามของสมาคมส่งเสริมการส่งออกอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ หรือ TSEP เตรียมนำคณะผู้แทนการค้าในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์จากไทย พบปะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักธุรกิจฟิลิปปินส์ ในวันที่ 18 กันยายน 2552 นี้ หวังเป็นตัวเร่งการกระตุ้นให้ซอฟต์แวร์ไทยเป็นที่ยอมรับในเอเชียก่อนบุกตลาดโลก หลังประสบความสำเร็จมาแล้ว จากการเข้าไปเปิดตลาดในประเทศเวียดนาม และ ญี่ปุ่น ส่งให้เม็ดเงินไหลเข้าประเทศแล้วเกือบ 500 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปี ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา สำนักส่งเสริมธุรกิจบริการ กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ ประสบความสำเร็จในการจัดคณะผู้แทนการค้าในธุรกิจซอฟท์แวร์ เปิดตลาดในประเทศทางแถบเอเชีย โดยเริ่มต้นที่ประเทศเวียดนาม เพื่อร่วมในการวางเปิดตลาดซอฟต์แวร์ โดยการเปิดตลาดในครั้งแรกต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน มีมูลค่าการซื้อขายถึง 400 ล้านบาท และจนถึงขณะนี้ก็ยังมีการทำกิจกรรส่งเสริมการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจซอฟต์แวร์ของไทย สามารถดำเนินธุรกิจในต่างประเทศได้อย่างถาวร “จากการประสบความสำเร็จที่มีอย่างต่อเนื่องของการเปิดตลาดซอฟต์แวร์ที่เวียดนาม ทาง กรมส่งเสริมฯ ต้องการให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศให้มากขึ้น เพราะปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทำงานกันเป็นทีมเวิร์ค มีการประสานงาน ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลในเชิงลึก จนเชื่อว่าอุตสาหกรรมซอฟท์แวร์ไทยสามารถไปลงทุนทำธุรกิจในต่างประเทศได้แน่นอน” นายประมุข มนตริวัต ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมธุรกิจบริการ กรมส่งเสริมการส่งออก กล่าวถึงที่มาที่ไปของการบุกตลาดซอฟต์แวร์ในประเทศทางแถบเอเชียอย่างจริงจัง นอกจากนี้ จากข้อมูลที่มีอยู่ยังพบว่า ความต้องการในการบริโภคซอฟต์แวร์ทั่วโลกมีปริมาณเพิ่มสูงขึ้น ทำให้เป็นโอกาสที่ดีสำหรับประเทศไทย ที่จะทำการขยายตลาดอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทย ไปยังต่างประเทศ โดยทางกรมส่งเสริมการส่งออก จะช่วยด้านงบประมาณ และการหาตลาดแหล่งผู้ซื้อให้แก่ผู้ประกอบการไทยโดยส่งเสริมและพัฒนาให้ผู้ประกอบการไทยได้มีโอกาสใหม่ๆ ในการขายซอฟต์แวร์ นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมา กรมส่งเสริมการส่งออก ได้ให้การสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่ผู้ประกอบการ ตามยุทธศาสตร์และพันธกิจหลักที่วางไว้ก่อนหน้านี้ ด้วยการมองหาตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ ให้คำแนะนำตลอดจนการเป็นหน่วยงานที่เป็นหลักในการอำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ จนกระทั่งภาคเอกชนสามารถตั้งสำนักงานถาวรในเวียดนามได้แล้วในปัจจุบัน และผู้ประกอบการของเวียดนามก็ได้ให้ความเชื่อมั่นกับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ของไทย โดยจะเห็นได้จากยอดการขายที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี นายประมุข กล่าวต่อว่า จากข้อมูลและสิ่งที่ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 1 — 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มต้นจากที่ประเทศเวียดนามเป็นแห่งแรก ต่อเนื่องไปยังประเทศญี่ปุ่น เป็นประเทศที่สอง ทำให้เกิดความมั่นใจในศักยภาพของซอฟต์แวร์ไทย โดยในวันที่ 18 กันยายน 2552 นี้ ทางกรมส่งเสริมการส่งออก ก็จะเป็นแกนนำในการพาผู้ประกอบการซอฟต์แวร์จากประเทศไทย ไปทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดยังประเทศ ฟิลิปปินส์ ซึ่งนับเป็นประเทศที่สามแล้วที่เป็นการบุกตลาดในแถบเอเชียอย่างเป็นจริงเป็นจัง “ผู้ประกอบการเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่น้อยมาก เมื่อเทียบสิ่งที่จะได้กลับมา จึงอยากเชิญชวนผู้ประกอบการในธุรกิจซอฟต์แวร์ที่มีศักยภาพและความพร้อม ร่วมเดินทางไปกับเรา เพราะตลาดของฟิลิปปินส์ ยังเปิดกว้างให้ผู้ประกอบซอฟต์แวร์ของไทย เข้าไปทำธุรกิจได้อีก และเราเชื่อว่า ผู้ประกอบการของไทย สามารถแข่งขันได้ทัดเทียมกับผู้ประกอบการจากชาติยักษ์ใหญ่” ทางด้านอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย คือ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ SIPA ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กัน โดยนางสาวนิรชราภา ทองธรรมชาติ รองผู้อำนวยการการตลาดต่างประเทศ สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (SIPA) กล่าวถึงแนวทางในการส่งเสริมและสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทย ภายใต้กรอบการทำงาน 5 แนวทางหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย แนวทางแรก ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ไทยมีคุณภาพ ทั้งในด้านตัวผลิตภัณฑ์และการให้บริการ แนวทางที่สอง การส่งเสริมคุณภาพของกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ โดยวิธีการหนึ่งคือ การเป็นพันธมิตรกับบริษัทใหญ่ในต่างประเทศ เพื่อเป็นการถ่ายโอนองค์ความรู้มาให้กับผู้ประกอบการของไทย แนวทางที่สาม ด้านการตลาด แสวงหาตลาดใหม่ๆ ที่เป็นช่องทางการส่งออกซอฟต์แวร์ไทย แนวทางที่สี่ บุคลากรในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ตั้งแต่ระดับภาคการศึกษาไปจนถึงอุตสาหกรรม และ แนวทางที่ห้า คือ กระบวนการในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ “ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ประเทศไทย เน้นความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนผ่านทางสมาคมที่เกี่ยวข้องกับซิป้า โดยการคัดเลือกประเทศจะมองตามศักยภาพละความสนใจรวมทั้งความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ก่อนทำกิจกรรมการตลาดโดยเน้นการจับคู่ทางธุรกิจ หรือBusiness matching ขณะเดียวกัน จุดอ่อนของตลาดซอฟต์แวร์ในประเทศไทย คือ เป็นตลาดขนาดเล็ก ทำให้เกิดความลำบากเมื่อส่งไปขายบริษัทใหญ่ จึงเกิดการทำวิจัยตลาด ตั้งแต่ระดับเล็ก กลางและใหญ่ รวมถึงเน้นการให้บริการด้วย” ในปี 2550 ที่ผ่านมา ตลาดซอฟต์แวร์ภายในประเทศมีมูลค่าประมาณ 67,000 กว่าล้านบาท คิดเป็นตลาดซอฟต์แวร์ที่ส่งออกประมาณ 4,200 ล้านบาท ขณะที่ ปี 2551 ใช้งบประมาณในการลงทุนกว่า 16 ล้านบาท และนำเงินเข้าประเทศกว่า 2,200 ล้านบาท นอกจากนี้ เป้าหมายหลักในการบุกตลาดโลกแถบเอเชีย คือ ประเทศใหญ่ๆ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และประเทศแถบทวีปยุโรป เช่น เยอรมันนี ฝรั่งเศส เป็นต้น นางสาวนิรชราภา กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม จากการสร้างเครือข่ายพันธมิตร ส่งผลให้มีการเติบโตของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องในระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปี 2549-2551 โดยเฉพาะในปี 2551 มีมูลค่าการเจรจาธุรกิจกว่า 2,293, 780,000 บาท สำหรับการออกไปเปิดตลาดในช่วง 1 — 2 ปีที่ผ่านมา ได้พบข้อมูลหลายประการที่มีความสำคัญมาก เพราะช่วยให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ในฐานะของผู้ประกอบการ ร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของไทย รวมไปถึงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์ให้สามารถแข่งขันกับนานาชาติได้ ปัจจุบัน สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ หรือ SIPA มีภารกิจหลักในการให้การส่งเสริมและสนับสนุนอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ของประเทศไทย โดยมียุทธศาสตร์หลักในการผลักดันซอฟต์แวร์ของไทย อาทิ Enterprise Software, Animation and Multimedia, Game and Mobile Applications และ Embedded Software ทั้งตลาดภายในประเทศและต่างประเทศ และการผลิตบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรม ทางด้าน นายเฉลิมพล ปุณโณทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอมพิวเตอร์ เทเลโฟนี เอเชีย จำกัด ในฐานะนายกสมาคมส่งเสริมการส่งออกอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทย (Thai Software Export Promotion Association - TSEP) กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้สมาคมฯ ได้ร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ เตรียมแผนขยายตลาดส่งออกซอฟท์แวร์ไทยไปตลาดโลก เพราะเชื่อว่ามีโอกาสในการทำตลาดสูง โดยประเทศเป้าหมาย คือ ฟิลิปปินส์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มบุกตลาดวันที่ 18 กันยายน 2552 นี้ ในรูปของการทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาด (Road show) กับผู้ประกอบการในภาคต่างๆ “หลังประสบความสำเร็จจากการทดลองทำตลาดในประเทศเวียตนาม โดยมียอดขายถึง 400 ล้านบาท และญี่ปุ่น มียอดขายถึง 20 ล้านบาท ทำให้เราเดินหน้าต่อไปที่ฟิลิปปินส์” ทั้งนี้ คาดว่าการทำตลาดในประเทศฟิลิปินส์ จะประสบความสำเร็จไม่แพ้เวียตนาม เพราะพื้นฐานของประเทศที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา และมีการลงทุนในแต่ละภาคอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะมีโอกาสสูง ส่วนประเทศต่อไปที่จะไปทำตลาด คือ อินโดนีเซีย เพราะคู่แข่งที่เป็นกลุ่มท้องถิ่นยังไม่แข็งแกร่งพอ อีกทั้งกลุ่มผู้ประกอบการของฟิลิปปินส์ ยังมีงบประมาณค่อนข้างจำกัด หากต้องการซื้อซอฟต์แวร์แพงๆ จากทางฝั่งตะวันตก ทำให้ซอฟต์แวร์ของไทยยังมีโอกาสเข้าไปเจาะตลาดได้ง่าย เนื่องจากซอฟต์แวร์จากไทย มีจุดแข็ง คือ เป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ จึงถือเป็นข้อได้เปรียบ เมื่อเปรียบเทียบกับซอฟต์แวร์จากประเทศอื่นๆ “คู่แข่งซอฟท์แวร์ไทย คือ บริษัทซอฟต์แวร์จากทางตะวันตก เพราะมีการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ค่อนข้างเหนือชั้นกว่า แต่ก็มีราคาสูงกว่าด้วยเช่นกัน ดังนั้น จึงทำให้ซอฟท์แวร์ไทยได้เปรียบในจุดนี้ อย่างไรก็ตามจุดสำคัญในอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ คือ คน ค่าจ้างแรงงานของตะวันตกสูง ทำให้ได้เปรียบในการขายแบบ economy of scale ได้มากกว่า ซึ่งถือได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบของซอฟต์แวร์จากเมืองไทย” อย่างไรก็ตาม การบุกตลาดต่างประเทศครั้งนี้ ทางสมาคมฯ ยังจะคงใช้กลยุทธ์ Global Niche Cluster คือ ไปแบบรวมเป็นกลุ่ม เช่น บริษัทใดเชี่ยวชาญซอฟต์แวร์ประเภทใดประเภทหนึ่ง ก็จะไปจับมือหรือรวมตัวกันกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญอีกประเภทหนึ่ง เพื่อรวมกันปิดจุดอ่อนของการขายซอฟต์แวร์ทั้งระบบ นายเฉลิมพล กล่าวว่า ในประเทศเวียตนาม กลุ่มเป้าหมายของภาคธุรกิจที่เข้าไปเปิดตลาดแล้วประสบความสำเร็จคือ กลุ่มการเงิน โดยเฉพาะภาคตลาดทุน โรงแรม และภาครัฐ เพราะรัฐบาลเวียตนามให้ความสนใจและพัฒนาในกลุ่มเหล่านี้ค่อนข้างมาก ทำให้เป็นโอกาสของซอฟต์แวร์ไทย ขณะที่ประเทศญี่ปุ่น ซอฟต์แวร์จากไทยยังไม่สามารถเจาะตลาดเข้าไปได้มากนัก เนื่องจากมาตราฐานของซอฟต์แวร์มีสูง จึงทำให้ต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างชื่อ แต่ก็มีแนวโน้มที่ดี เนื่องจากซอฟต์แวร์ที่ทำตลาดอยู่จากทางฝั่งตะวันตก มีราคาค่อนข้างแพง เพราะมีต้นทุนจากการคิดของ "คน" ที่สูง โดยสูงกว่า 10 เท่า ทำให้ต้องขายซอฟต์แวร์แพงขึ้นตามไปด้วย “เราต้องยอมรับว่าเงื่อนไขหลักของอุตสาหกรรมนี้ คือ คน ที่เป็นผู้เขียนโปรแกรม โดยภาคที่สามารถเข้าไปทำตลาด คือ ภาคธุรกิจขนาดย่อม (SME) - ธุรกิจประเภทจับคู่ และธุรกิจประเภท Food Delivery ส่วนฟิลิปปินส์ ยังถือว่ามีความใหม่ของตลาดอยู่ เนื่องจากตลาดฟิลิปปินส์ เลียนแบบการเติบโตแบบบังกะลอ ของอินเดีย ทำให้มีผู้ขายซอฟต์แวร์ค่อนข้างมาก แต่ก็ยังมีตลาดให้เจาะ คือ กลุ่ม Call Center / กลุ่มที่ต้องการ Business Process / กลุ่ม Outsourcing และกลุ่ม Business Hotel” อย่างไรก็ตาม บทเรียนและประสบการณ์ในการเปิดตลาดในต่างประเทศ ทำให้รู้ว่าไทยสามารถยกระดับมาตราฐานในการทำธุรกิจการขายซอฟต์แวร์ให้เป็นผู้เล่นในระดับนานาชาติได้ไม่ยาก ซึ่งหากภาครัฐฯ ช่วยสนับสนุน ทั้งในแง่ของการเป็นผู้บุกเบิกเปิดตลาด และการอำนวยความสะดวกในการเข้าไปสร้างตราสินค้า (Branding) ของซอฟต์แวร์ของไทย รวมถึงงบประมาณอย่างจริงจัง ก็เชื่อว่าจะทำให้ซอฟต์แวร์ของไทย มีโอกาสมากขึ้น นายเฉลิมพล กล่าวปิดท้ายว่า เป้าหมายจากนี้อีก 5 ปี สมาคมฯ จะส่งเสริมและผลักดันให้มีบริษัทที่เป็นผู้เล่นในระดับเอเชีย ไม่ต่ำกว่า 5 บริษัท จากประเทศไทยในตลาดโลก ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ น.ต.หญิง จุฑารัตน์ นาคธน ร.น. กรมส่งเสริมการส่งออก 02-512-0093 ต่อ 312 สุภาทิพย์ นิยมจ้อย แคทรียา ทาแก้ว นที เหลืองศุภชัยกุล

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ