“ทียูเอฟ” เดินหน้าทำกำไรอย่างต่อเนื่อง ประเดิมไตรมาสแรกพุ่ง 27%

ข่าวทั่วไป Thursday April 29, 2010 15:01 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--29 เม.ย.--ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ ทียูเอฟ แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2553 สามารถเดินหน้าทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โชว์ผลงานไตรมาสแรกสูงถึง 27% รักษาความสามารถในการทำมาร์จิ้นได้อย่างดีเยี่ยม ผลจากกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มุ่งสู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม โดยเน้นการทำกำไรที่มากขึ้น มั่นใจในแนวทางการบริหารจัดการที่ดำเนินการ จะสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้อย่างยั่งยืน นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือทียูเอฟ ผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลแช่แข็งและบรรจุกระป๋องรายใหญ่ของไทย เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1 ประจำปี 2553 ว่า บริษัทสามารถสร้างการเติบโตของกำไรได้อีกครั้งในไตรมาสนี้ โดยทำกำไรสุทธิได้เท่ากับ 831 ล้านบาท สูงถึง 27% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2552 ที่มีกำไรสุทธิเท่ากับ 653 ล้านบาท โดยมีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.94 บาท เพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว สำหรับรายได้จากการขายในไตรมาสแรกนี้ บริษัทมีรายได้จากการขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐเท่ากับ 498 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใกล้เคียงกับรายได้ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้เท่ากับ 499 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนรายได้จากการขายในรูปเงินบาท สำหรับไตรมาสแรกนี้ลดลง 8% จาก 17,666 ล้านบาทในปี 2552 มาอยู่ที่ 16,329 ล้านบาทในปี 2553 ขณะที่มีรายได้รวมในไตรมาสแรกปีนี้เท่ากับ 16,740 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2552 ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 17,889 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรก นายธีรพงศ์อธิบายว่า “กำไรสุทธิที่เพิ่มสูงถึง 27% นี้ เป็นผลมาจากความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นได้ดีขึ้นและมากขึ้น ซึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางการดำเนินงานของบริษัทที่มีแนวทางการปฏิบัติงานอย่างรัดกุมและมีศักยภาพ และส่วนหนึ่งก็เกิดจากบริษัทย่อยในต่างประเทศมีผลการดำเนินงานที่ดี สามารถทำกำไรได้ดีขึ้น อาทิเช่น บริษัทไทร-ยูเนี่ยน ซีฟู้ดส์ และบริษัท เอ็มเพรส เป็นต้น และกลยุทธ์การปรับโครงสร้างโรงงานที่อเมริกันซามัว โดยย้ายไปยังจอร์เจียแทน ขณะนี้ก็เริ่มเห็นผลแล้ว แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์ที่เราดำเนินอยู่นี้ก่อให้เกิดความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่วนยอดขายในรูปเงินเหรียญสหรัฐนั้น แม้ว่าจะไม่ได้เติบโตมากนัก แต่ก็ใกล้เคียงกับปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบปลาที่มีราคาลดลงถึง 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้ราคาขายปรับลดลง แต่อย่างไรก็ดี เมื่อ พิจารณายอดขายก่อนหักการขายให้กับบริษัทในเครือแล้วพบว่า ยอดขายในรูปเงินเหรียญโตขึ้น 9% และยอดขายในรูปเงินบาทก็โตขึ้น 1% ดังนั้นแม้ว่าจะมีการหักรายได้ก่อนขายแต่ก็ยังมีการเติบโต ซึ่งถ้าพิจารณาในเชิงกลยุทธ์ จะพบว่า การขายในกลุ่มมีการเติบโตขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่าเป็นการเชื่อมโยงโครงสร้างการทำงานร่วมกัน โดยใช้ประโยชน์ทางด้านช่องทางการขายซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์ร่วมกันอย่างเต็มที่ ส่วนยอดขายในรูปของเงินบาทที่ลดลงนั้นก็มีปัจจัยมาจากค่าเงินบาทที่ใช้สำหรับบันทึกรายได้จากการขายในไตรมาสนี้แข็งค่าขึ้นถึง 7.6% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสแรกของปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็นเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ยอดขายในรูปเงินบาทของไตรมาสนี้ลดลง 8% และแม้ว่าจะต้องเผชิญปัจจัยต่างๆ แต่บริษัทก็สามารถทำ Gross Margin, Operating Margin และ Net Margin ออกมาได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่แล้ว” “สำหรับไตรมาสแรกนี้ ยอดขายอาจไม่โตมากนัก แต่ปริมาณการขายรวมโตขึ้นถึง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว อาทิเช่น ผลิตภัณฑ์กุ้งแช่แข็งที่เพิ่มขึ้น 20% และปลาหมึก/แซลมอนแช่แข็งที่เพิ่มขึ้น 15% อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความพึงพอใจกับผลการดำเนินงานที่ออกมานี้ เพราะทำได้ดีมากกว่าที่คาดหมายไว้ และเชื่อว่าทั้งปีจะเป็นไปตามเป้าที่คาดการณ์ไว้” นายธีรพงศ์กล่าวเพิ่มเติม สำหรับสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ในไตรมาสแรกนี้ ผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ามีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของบริษัทคือ 42% รองลงมาได้แก่ กุ้งแช่แข็ง 21% ตามด้วยอาหารแมวบรรจุกระป๋อง 9% อาหารทะเลบรรจุกระป๋อง 8% ขายในประเทศ 7% อาหารกุ้ง 6% ปลาซาร์ดีนและแมคเคอเรลบรรจุกระป๋อง 4% และปลาหมึก/ปลาแซลมอนแช่แข็ง 3% โดยมีตลาดส่งออกหลักอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา 49% รองลงมาคือ สหภาพยุโรป 11% ญี่ปุ่น 11% อัฟริกา 6% ออสเตรเลีย 3% เอเชีย 3% ตะวันออกกลาง 2% อเมริกาใต้ 2% แคนาดา 1% และขายในประเทศ 12% “ที่ผ่านมา บริษัทยังคงมีการติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ อย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก หรือแม้แต่เรื่องของค่าเงินบาทที่ยังคงเป็นประเด็นที่ต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เนื่องจากตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังรวมไปถึงสถานการณ์ภายในประเทศ แต่ด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานที่เน้นเรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย โดยมุ่งไปยังผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มและมีการพัฒนาให้ตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น รวมถึงการเน้นเรื่องคุณภาพของสินค้า และเน้นเรื่องการบริการ จึงทำให้ ไตรมาสแรกของปี 2553 นี้ สามารถทำกำไรขั้นต้นได้มากขึ้น และมีกำไรสุทธิที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และ จากกลยุทธ์ดังกล่าวที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ก็ส่งผลสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานในแต่ละไตรมาสที่ผ่านๆ มาว่า มีอัตราการเติบโตเช่นเดียวกัน ส่วนประเด็นเรื่องค่าเงินบาทนั้น บริษัทมีนโยบายที่ชัดเจนและรัดกุมในการควบคุมและบริหารจัดการความเสี่ยง โดยการทำ Hedging ที่เหมาะสมและไม่มีการเก็งกำไรจากวิธีการดังกล่าว ซึ่งบริษัทยังมั่นใจว่า จะสามารถทำผลงานได้ดีกว่านี้อย่างแน่นอน ถ้าค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากกว่านี้ และไม่แข็งค่าเร็วเกินไป ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดภายในปี 2553 นี้ จะยังคงเน้นพัฒนาสินค้าให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น โดยจะให้ความสำคัญกับสินค้ามูลค่าเพิ่มมากขึ้น ส่วนช่องทางการตลาดนั้นจะยังคงเน้นทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่ สำหรับตลาดเก่าบริษัทจะเน้นสินค้าประเภทสินค้ามูลค่าเพิ่มมากขึ้น ส่วนตลาดใหม่อย่างรัสเซียจะเน้นสินค้าประเภทแช่แข็งมากขึ้น รวมถึงการขยายตลาดไปยังตลาดตะวันออกกลาง และอัฟริกาให้มากขึ้น อย่างไรก็ดี บริษัทยังมั่นใจว่า ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมานั้น จะเป็นแรงขับเคลื่อนให้บริษัทสามารถสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนตลอดไป”นายธีรพงศ์กล่าว แผนกสื่อสารองค์กร บมจ. ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ โทร. 0-2980-0024 ต่อ 675-678 โทรสาร 0-2980-0024 ต่อ 679

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ