รายงานผลการจัดอันดับเครดิต ของบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)

ข่าวทั่วไป Wednesday July 4, 2007 16:42 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--4 ก.ค.--ทริสเรทติ้ง
รายงานผลการจัดอันดับเครดิต ของบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
อันดับเครดิตองค์กร : BBB+
อันดับเครดิตตราสารหนี้ : หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2553-2555 BBB+
แนวโน้มอันดับเครดิต : Stable
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของบริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ตลอดจนตราสินค้าที่ได้รับการยอมรับในตลาดทาวน์เฮ้าส์ในเมือง และความสามารถในการแสวงหาที่ดินในทำเลที่ดีสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัย นอกจากนี้ อันดับเครดิตดังกล่าว ยังสะท้อนถึงวงจรธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัวและอุปสงค์ที่อยู่อาศัยที่ลดลงอันเป็นผลมาจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่แน่นอนและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง
บริษัทฯ ก่อตั้งในปี 2532 โดยนายอนุพงษ์ อัศวโภคิน และนายพิเชษฐ วิภวศุภกร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดยถือหุ้นรวมกัน 36% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายเฉลี่ยปีละ 5,000 ล้านบาท จำแนกเป็นทาวน์เฮ้าส์ 70%-80% คอนโดมิเนียม 11%-15% และบ้านเดี่ยว 5%-15% ความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท มาจากการเน้นพัฒนาที่อยู่อาศัยในเมืองและความสามารถในการแสวงหาที่ดินในทำเลที่ดี ราคาขายที่อยู่อาศัยเฉลี่ยต่อหน่วยในโครงการทั้งหมดของบริษัทซึ่งลดลงมาอยู่ที่ 3.9 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยน กลยุทธ์มาเน้นการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางมากขึ้น ณ เดือนพฤษภาคม 2550 บริษัทฯ มีโครงการที่กำลังเปิดขายรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ คิดเป็นมูลค่า 31,000 ล้านบาท โดยมูลค่าของทาวน์เฮ้าส์คิดเป็น 45% ของโครงการทั้งหมด ในขณะที่คอนโดมิเนียมและบ้านเดี่ยวมีมูลค่าคิดเป็น 35% และ 20% ตามลำดับ สืนเนื่องจากการที่บริษัทฯ หันมาเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมากขึ้น ทำให้คาดการณ์ว่าสัดส่วนรายได้ในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 40%-50% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 รายได้จากการขายของบริษัทลดลงตามภาวะตลาดที่ชะลอตัว แม้ว่ารายได้จากการขายที่อยู่อาศัยของบริษัทจะเติบโตจาก 5,258 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 6,344 ล้านบาทในปี 2549 แต่กลับลดลง 9% เป็น 1,415 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 จาก 1,546 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2549 อย่างไรก็ตาม บริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งทำให้บริษัทฯ มียอดขายรอการรับรู้รายได้เพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าจาก 1,693 ล้านบาทในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2549 เป็น 3,541 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 2550
สัดส่วนเงินกุ้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นในปี 2549 หลังจากที่เคยเพิ่มสูงสุดในปี 2548 โดยอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทลดลงจาก 57% ณ ปลายปี 2548 เป็น 43% ณ สิ้นไตรมาสแรกของปี 2550 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อมีการก่อสร้างคอนโดมิเนียมที่เพิ่งเปิดตัวไปไม่นานนี้พร้อมกันหลายโครงการ ในขณะที่การแข่งขันในตลาดพัฒนาที่อยู่อาศัยยังคงเป็นสิ่งกดดันต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัท โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 31% ในปี 2547 เป็น 17% ในช่วง 3 เดือนแรกของปี 2550 อันเป็นผลสืบเนื่องจากการมีคู่แข่งรายใหม่ที่เน้นพัฒนาทาวน์เฮ้าส์ในเมืองเพิ่มมากขึ้น และบริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้นจากโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลให้อุปสงค์ในตลาดที่อยู่อาศัยอ่อนตัวลง และแม้ว่าแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะค่อยๆ บรรเทาลง แต่ก็คาดว่าอุปสงค์ในที่อยู่อาศัย จะยังคงชะลอตัวต่อไปในช่วงปี 2550-2551
แนวโน้นอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทฯ จะสามารถบริหารการก่อสร้างและการโอนโครงการคอนโดมิเนียมได้ตามแผน อีกทั้งยังคาดว่าบริษัทฯ จะยังคงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวัง เพื่อบรรเทาความเสี่ยงทางธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นจากสัดส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่เพิ่มมากขึ้น

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ