พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดรายการที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ ๕๗๔)

ข่าวทั่วไป Monday December 23, 2013 16:36 —ข้อบังคับและประกาศภาษีสรรพากร

พระราชกฤษฎีกา

ออกตามความในประมวลรัษฎากร

ว่าด้วยการกำหนดรายการที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ ๕๗๔)

พ.ศ. ๒๕๕๖

ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.

ให้ไว้ ณ วันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๖

เป็นปีที่ ๖๘ ในรัชกาลปัจจุบัน

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า

โดยที่เป็นการสมควรกำหนดรายการที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลี

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และมาตรา ๖๕ ตรี (๒๐) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร(ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ. ๒๔๙๖ อันเป็นกฎหมายที่มีบทบัญญัติบางประการเกี่ยวกับการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล ซึ่งมาตรา ๒๙ ประกอบกับมาตรา ๓๓ และมาตรา ๔๑ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติให้กระทำได้โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตราพระราชกฤษฎีกาขึ้นไว้ ดังต่อไปนี้

มาตรา ๑ พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการกำหนดรายการที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ (ฉบับที่ ๕๗๔) พ.ศ. ๒๕๕๖”

มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตรา ๓ รายการต่อไปนี้ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล

(๑) เงินสำรองตามมาตรา ๖๕ ตรี (๑) (ก) หรือ (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งบริษัทใหม่ อันได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้รับโอนกิจการทั้งหมดได้กันไว้ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต หรือกฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย เป็นจำนวนเท่ากับเงินสำรองซึ่งบริษัทเดิมที่ได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้โอนกิจการทั้งหมดและจดทะเบียนเลิกได้กันไว้ ทั้งนี้ สำหรับบริษัทใหม่ที่ประกอบธุรกิจประกันวินาศภัยไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเฉพาะเงินสำรองที่เกิดขึ้นในรอบระยะเวลาบัญชีถัดจากรอบระยะเวลาบัญชีแรกที่ควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน

(๒) เงินสำรองซึ่งได้กันไว้เป็นค่าเผื่อหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญตามมาตรา ๖๕ ตรี (๑) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งบริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้รับโอนกิจการทั้งหมดได้กันไว้ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน เป็นจำนวนเท่ากับเงินสำรองซึ่งบริษัทเดิมที่ได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้โอนกิจการทั้งหมดและจดทะเบียนเลิกได้กันไว้

(๓) รายจ่ายที่เกิดจากการจำหน่ายหนี้สูญสำหรับหนี้จากการให้สินเชื่อในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน เป็นจำนวนไม่เกินเงินสำรองซึ่งบริษัทเดิมที่ได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้โอนกิจการทั้งหมดและจดทะเบียนเลิกได้กันไว้ตามมาตรา ๖๕ ตรี (๑) (ค) แห่งประมวลรัษฎากร

มาตรา ๔ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

นายกรัฐมนตรี

หมายเหตุ :- แหตุผลในการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ คือ โดยที่ได้มีการกำหนดให้มีการยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บริษัทเดิมอันได้ควบเข้ากันกับบริษัทอื่น หรือเป็นผู้โอนกิจการและจดทะเบียนเลิก ในกรณีที่มีการควบเข้ากันหรือการโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน ระหว่างบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจประกันชีวิต ธุรกิจประกันวินาศภัยธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจเงินทุน หรือธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ สำหรับเงินสำรองตามมาตรา ๖๕ (๑) (ก) (ข) หรือ (ค) ตามประมวลรัษฎากร แล้วแต่กรณี สมควรกำหนดให้เงินสำรองดังกล่าวเป็นรายการที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของบริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือเป็นผู้รับโอนกิจการ เนื่องจากการที่บริษัทใหม่ดังกล่าวจะนำเงินสำรองที่มีลักษณะอย่างเดียวกันที่ได้กันไว้ มาลงรายการเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของบริษัทในการเสียภาษีเงินได้อีกครั้ง ย่อมถือได้ว่าเป็นการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีซ้ำซ้อน ในเงินจำนวนเดียวกัน และโดยที่มาตรา ๖๕ ตรี (๒๐) แห่งประมวลรัษฎากร บัญญัติให้การกำหนดรายการ ที่ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในการเสียภาษีต้องเป็นรายจ่ายที่มีลักษณะทำนองเดียวกับที่ระบุไว้ในประมวลรัษฎากรและเป็นไปตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา จึงจำเป็นต้องตราพระราชกฤษฎีกานี้

(ร.จ. ฉบับกฤษฎีกา เล่ม ๑๓๐ ตอนที่ ๑๒๓ ก วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๖)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ