สู่วาระประชาชนภาค ๒ — “ประชาชนต้องมาก่อน”
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐
www.abhisit.org
เป็นเรื่องน่ายินดีที่หลายฝ่ายมีความมุ่งมั่น ในการฟื้นฟูประชาธิปไตยและเดินหน้าสู่การเลือกตั้งชัดเจนขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีที่พูดถึงการร่นการเลือกตั้งเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ที่กำลังตรวจสอบความพร้อมที่จะจัดการเลือกตั้ง
รวมทั้งบรรดากลุ่มการเมืองต่างๆที่กำลังเคลื่อนไหวเพื่อจัดตั้งพรรคการเมือง มีการเชิญชวนบุคลากรในวงการต่างๆเข้ามา
ผมและพรรคประชาธิปัตย์ต้องการเห็นทุกฝ่ายในสังคมใช้กระบวนการการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม และชอบธรรม สร้างทางเลือก และคลี่คลายปัญหาต่างๆของสังคม
ก่อนหน้านี้ ผมได้เคยพูดถึงโจทย์ที่เป็นปัญหาของบ้านเมืองไว้ ๗ ข้อ (ดูบทความใน www.abhisit.org เรื่อง พรรคประชาธิปัตย์กับอนาคตประเทศไทย โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๐) และได้จัดให้มีการสัมมนาโต๊ะกลมในทุกหัวข้อ (เหลือเรื่องธรรมาภิบาลที่จะจัดเป็นครั้งสุดท้ายในวันจันทร์ที่ ๒ กรกฎาคมนี้) ได้มีคณะทำงานสังเคราะห์ข้อมูลต่างๆซึ่งเริ่มต้นไปแล้ว และจะมีการนำเสนอที่ประชุมใหญ่ของพรรคในวันที่ ๒๐ — ๒๑ กรกฎาคมนี้
รวมไปถึงกิจกรรมในจังหวัดต่างๆทุกภาคอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางของสมัชชาประชาชนที่ผมเริ่มต้นไว้ เพื่อนำไปสู่การได้ “วาระประชาชน”
โดยหลักการสำคัญ คือ การยึดแนวทางตามคำขวัญ “ประชาชนต้องมาก่อน” ซึ่งเป็นแนวทางที่จะทำให้คำตอบในเชิงนโยบายของทุกเรื่องมีความชัดเจนในเรื่องผลประโยชน์ของประชาชน
อย่างเช่นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง “ปัญหาแฟลตดินแดง”
ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกว่าแฟลตจะต้องมีการรื้อ ซ่อม หรือ ทุบ
แต่อะไรที่จำเป็นต้องทำเพื่อความปลอดภัยก็ต้องทำ ไม่ควรให้ชีวิตของประชาชนผู้อยู่อาศัยตกอยู่ในความเสี่ยง
หากจะต้องมีการซ่อม หรือ ทุบ หรือ ปรับปรุง
รัฐก็ต้องมุ่งแก้ปัญหาของคน ไม่ใช่คิดแต่แก้ปัญหาตึก
ระหว่างการดำเนินการต้องจัดให้ชาวแฟลตมีที่อยู่ที่ใกล้เคียงจากเดิม เมื่อซ่อมเสร็จ สร้างเสร็จ ผู้อยู่เดิมต้องมีสิทธิกลับเข้าไปอยู่ก่อนในราคาที่เป็นธรรมซึ่งหมายถึง การประเมินความ สามารถในการจ่ายของเขาก่อน หากไม่พอที่จะครอบคลุมต้นทุนของการเคหะแห่งชาติ ก็ต้องคิดวิธีหาเงินมาเพิ่มซึ่งมีวิธีมากมาย เช่น ให้รัฐจัดงบประมาณอุดหนุน เพิ่มยูนิตใหม่ที่เก็บค่าเช่าแพงกว่าสำหรับคนที่จะเข้ามาอยู่ใหม่ ฯลฯ
โดยทั้งหมดนี้ ต้องเปิดโอกาสให้ชาวแฟลตมีส่วนร่วมคิด ร่วมวางแผนอย่างเต็มที่
นี่คือการแก้ปัญหาตามหลัก “ประชาชนต้องมาก่อน”
ไม่ใช่เอาต้นทุนของการเคหะแห่งชาติเป็นตัวตั้ง เพิ่มค่าเช่าหลายเท่าตัวแล้วนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรง
เรื่องนโยบายต่างๆที่จะเสนอในรูปของวาระประชาชนก็เช่นกัน
จะใช้ประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง
เช่น ในปัจจุบัน ประชาชนสะท้อนอย่างชัดเจนว่า กำลังมีความทุกข์ใจใน ๒ เรื่องหลัก คือ
เศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ความยากจน และ
ความไม่สงบในบ้านเมือง โดยเฉพาะ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
ผมจึงได้กำหนดหลักสำคัญของ “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” และ “ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้” ไว้ดังนี้
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
องค์ประกอบที่สำคัญคือ ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ คุณภาพ เป็นธรรม โดยมีแนวทางดังนี้
๑. เรียกความเชื่อมั่นกลับมา โดยกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจให้ชัด นั่นคือ การยอมรับความจริงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก เราจะใช้ระบบเศรษฐกิจที่เปิด มีการแข่งขัน แต่เราจะเปิดเศรษฐกิจของเราตามปรัชญาของความพอเพียง คือการหลีกเลี่ยงความสุดโต่ง ใช้สติปัญญา เหตุและผล และไม่ทำให้เกิดความเสี่ยง การเปิดเสรีที่จะเกิดขึ้น ต้องมีการวางรากฐาน เตรียมความพร้อม เชื่อมโยงกลับมาสร้างประโยชน์ให้ประชาชนของเราอย่างชัดเจน มีกลไก กำกับ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน การเชื่อมโยงกับภายนอกจะไม่อยู่ในรูปของการแข่งขันเท่านั้น แต่เสริมสร้างความร่วมมือด้วย เช่น ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ความร่วมมือในอาเซียน และความร่วมมืออื่นๆ
๒. ทำพื้นฐานของเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างโอกาสให้ประชาชน โดยเร่งลงทุนในเรื่องการศึกษาและการพัฒนาคน ทำให้คนของเรามีความพร้อมทั้งในเรื่องภาษาและเทคโนโลยี การลงทุนทางกายภาพเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง หรือโลจิสติกส์ ทำโครงการขนาดใหญ่โดยยึดประโยชน์ในการสร้างโอกาสให้คนในทุกพื้นที่ เช่น ปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่ที่ยังไม่มีการชลประทาน การเปิดพื้นที่ภาคต่างๆสู่เมืองท่า ฯลฯ เชื่อมโยงเศรษฐกิจชาวบ้านเข้ากับเศรษฐกิจประเทศ เช่น การส่งเสริมการปลูกมันเพื่อผลิตเอทานอล เป็นต้น เราไม่ควรคิดในกรอบเศรษฐกิจคู่ขนาน ที่ทำให้รวยกระจุก จนกระจาย แต่ต้องทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอิงกับพื้นฐานของเรา ทำให้เศรษฐกิจที่ขยายตัว ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทุกคน
เฉพาะในส่วนของเศรษฐกิจชุมชน จะต้องมีแหล่งเงินทุนในชุมชนต่อไป โดยสะสางปัญหาหนี้ของกองทุนหมู่บ้าน และปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้กู้ รวมทั้งมีเงินให้เปล่าเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวทางนี้ จะหมายถึงการปรับเปลี่ยนการทำงานของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อเอื้ออำนวยให้ธุรกิจของเอกชนและประชาชน มีความสะดวกในการทำงาน ไม่มีภาระซับซ้อน ไม่ต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรจะมีในทุกรูปแบบ
๓. ลดภาระประชาชน สร้างหลักประกันให้ทุกคน เพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่าตัวเองมี
ที่ยืน มีหลังพิงในทุกสถานการณ์ สิ่งที่มีอยู่ที่เป็นหลักประกันต้องมีต่อไป เช่น การรักษาฟรี บางสิ่งต้องมีการขยาย เช่น การเรียนฟรีต้องฟรีจริงจนจบมัธยม ประกันสังคม เบี้ยยังชีพคนชรา บางเรื่องควรเริ่มต้นได้ เช่น การประกันภัยพืชผล
ผมมั่นใจว่า การยึดประโยชน์ของประชาชนตามแนวทางนี้ จะไม่สร้างปัญหาในอนาคต แต่เป็นการทำให้เศรษฐกิจ เดินไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทุกคน
สำหรับปัญหาภาคใต้
เรามีความพร้อมที่จะผลักดันการแก้ไขปัญหา อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีแนวทางหลักๆดังนี้
๑. หยุดยั้งวงจรของความรุนแรง เราจะปล่อยให้ความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่าไม่ได้ เพราะนอกจากชีวิตคนจะประเมินค่าไม่ได้แล้ว ความโกรธแค้น เกลียดชังที่มักจะตามมา จะสร้างปัญหาต่อไป การทำงานต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีประสิทธิภาพ ต้องมีฝ่ายนโยบายในคณะรัฐมนตรีหนึ่งคน ที่สามารถบังคับบัญชาทุกหน่วยงานผ่านองค์กรประสานที่ต่อยอดมาจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)โดยจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ไม่มีความสับสน ซ้ำซ้อนในเครื่องมือ (ปัจจุบันมีทั้งกฎอัยการศึก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ และกำลังจะมีพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือกฎหมายกอ.รมน.) มีการนำเทคโนโลยี มาใช้สอดส่อง ดูแล คุ้มครองประชาชน
๒. สร้างบรรยากาศของความปรองดอง ด้วยการให้เกียรติทุกคน ยอมรับความหลากหลายในพื้นที่ ให้ผู้คนทุกเชื้อชาติ ศาสนา ใช้ชีวิตตามวิถีชีวิตและความเชื่อของตน แต่อยู่ร่วมกันอย่างพี่น้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเหมือนในหลายช่วงที่ผ่านมา ทุกฝ่าย รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ อยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาค ความอยุติธรรมทั้งหลายต้องได้รับการแก้ไข เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ต้องคลี่คลายอย่างตรงไปตรงมา อาศัยเทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิด และนิติวิทยาศาสตร์เข้าช่วย จัดให้มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนเพื่อนำไปสู่ความสงบ
๓. พัฒนาเศรษฐกิจชาวบ้าน โดยการสร้างโอกาส สร้างรายได้ โดยอยู่บนพื้นฐานของ
ความพอเพียงซึ่งเป็นวิถีของพี่น้องในพื้นที่อยู่แล้ว ส่งเสริมการทำธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักศาสนา โดยอาศัยโอกาสที่พื้นที่มีทั้งในเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การค้าชายแดน การประมง ความสามารถในการเป็นศูนย์กลางการส่งออกไปตะวันออกกลาง
เป็นต้น
๔. ทุ่มเทพัฒนาระบบการศึกษา ทั้งโรงเรียนรัฐ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ให้ผู้ที่จบการศึกษาไม่ว่าจากที่ใด มีความรู้ ทักษะ ที่จะมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงาน และมีความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนทางศาสนาอย่างแท้จริง
๕. ระดมการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
ผู้นำชุมชน ผู้นำทางศาสนา สถานศึกษา และเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ตามแนวทางของพรรคที่สนับสนุนการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมมาโดยตลอด
๖. ใช้การทูตอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้มิตรประเทศเข้าใจปัญหาภายในของเราและร่วมมือในการแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งในมิติของ เศรษฐกิจ การศึกษา และการเมือง
ปณิธานของเรา คือ ทำให้พี่น้องที่นี่ทุกคน มีชีวิตที่สงบสุข มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความหวัง
และมีความภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินเดียวกัน ใต้ร่มบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ประเด็นเหล่านี้ คือ สิ่งที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์ จะให้ความสำคัญสูงสุดในขณะนี้ และอยากเชิญประชาชนทุกคนมามีส่วนร่วมเพื่อทำให้ “วาระประชาชน” ที่ “ประชาชนต้องมาก่อน” เป็นจริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ก.ค. 2550--จบ--
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐
www.abhisit.org
เป็นเรื่องน่ายินดีที่หลายฝ่ายมีความมุ่งมั่น ในการฟื้นฟูประชาธิปไตยและเดินหน้าสู่การเลือกตั้งชัดเจนขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีที่พูดถึงการร่นการเลือกตั้งเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ที่กำลังตรวจสอบความพร้อมที่จะจัดการเลือกตั้ง
รวมทั้งบรรดากลุ่มการเมืองต่างๆที่กำลังเคลื่อนไหวเพื่อจัดตั้งพรรคการเมือง มีการเชิญชวนบุคลากรในวงการต่างๆเข้ามา
ผมและพรรคประชาธิปัตย์ต้องการเห็นทุกฝ่ายในสังคมใช้กระบวนการการเลือกตั้งที่สุจริต เที่ยงธรรม และชอบธรรม สร้างทางเลือก และคลี่คลายปัญหาต่างๆของสังคม
ก่อนหน้านี้ ผมได้เคยพูดถึงโจทย์ที่เป็นปัญหาของบ้านเมืองไว้ ๗ ข้อ (ดูบทความใน www.abhisit.org เรื่อง พรรคประชาธิปัตย์กับอนาคตประเทศไทย โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๐) และได้จัดให้มีการสัมมนาโต๊ะกลมในทุกหัวข้อ (เหลือเรื่องธรรมาภิบาลที่จะจัดเป็นครั้งสุดท้ายในวันจันทร์ที่ ๒ กรกฎาคมนี้) ได้มีคณะทำงานสังเคราะห์ข้อมูลต่างๆซึ่งเริ่มต้นไปแล้ว และจะมีการนำเสนอที่ประชุมใหญ่ของพรรคในวันที่ ๒๐ — ๒๑ กรกฎาคมนี้
รวมไปถึงกิจกรรมในจังหวัดต่างๆทุกภาคอย่างต่อเนื่อง ตามแนวทางของสมัชชาประชาชนที่ผมเริ่มต้นไว้ เพื่อนำไปสู่การได้ “วาระประชาชน”
โดยหลักการสำคัญ คือ การยึดแนวทางตามคำขวัญ “ประชาชนต้องมาก่อน” ซึ่งเป็นแนวทางที่จะทำให้คำตอบในเชิงนโยบายของทุกเรื่องมีความชัดเจนในเรื่องผลประโยชน์ของประชาชน
อย่างเช่นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมก็ได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เรื่อง “ปัญหาแฟลตดินแดง”
ผมไม่อยู่ในฐานะที่จะบอกว่าแฟลตจะต้องมีการรื้อ ซ่อม หรือ ทุบ
แต่อะไรที่จำเป็นต้องทำเพื่อความปลอดภัยก็ต้องทำ ไม่ควรให้ชีวิตของประชาชนผู้อยู่อาศัยตกอยู่ในความเสี่ยง
หากจะต้องมีการซ่อม หรือ ทุบ หรือ ปรับปรุง
รัฐก็ต้องมุ่งแก้ปัญหาของคน ไม่ใช่คิดแต่แก้ปัญหาตึก
ระหว่างการดำเนินการต้องจัดให้ชาวแฟลตมีที่อยู่ที่ใกล้เคียงจากเดิม เมื่อซ่อมเสร็จ สร้างเสร็จ ผู้อยู่เดิมต้องมีสิทธิกลับเข้าไปอยู่ก่อนในราคาที่เป็นธรรมซึ่งหมายถึง การประเมินความ สามารถในการจ่ายของเขาก่อน หากไม่พอที่จะครอบคลุมต้นทุนของการเคหะแห่งชาติ ก็ต้องคิดวิธีหาเงินมาเพิ่มซึ่งมีวิธีมากมาย เช่น ให้รัฐจัดงบประมาณอุดหนุน เพิ่มยูนิตใหม่ที่เก็บค่าเช่าแพงกว่าสำหรับคนที่จะเข้ามาอยู่ใหม่ ฯลฯ
โดยทั้งหมดนี้ ต้องเปิดโอกาสให้ชาวแฟลตมีส่วนร่วมคิด ร่วมวางแผนอย่างเต็มที่
นี่คือการแก้ปัญหาตามหลัก “ประชาชนต้องมาก่อน”
ไม่ใช่เอาต้นทุนของการเคหะแห่งชาติเป็นตัวตั้ง เพิ่มค่าเช่าหลายเท่าตัวแล้วนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรง
เรื่องนโยบายต่างๆที่จะเสนอในรูปของวาระประชาชนก็เช่นกัน
จะใช้ประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้ง
เช่น ในปัจจุบัน ประชาชนสะท้อนอย่างชัดเจนว่า กำลังมีความทุกข์ใจใน ๒ เรื่องหลัก คือ
เศรษฐกิจที่ฝืดเคือง ความยากจน และ
ความไม่สงบในบ้านเมือง โดยเฉพาะ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้
ผมจึงได้กำหนดหลักสำคัญของ “การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ” และ “ปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้” ไว้ดังนี้
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
องค์ประกอบที่สำคัญคือ ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ คุณภาพ เป็นธรรม โดยมีแนวทางดังนี้
๑. เรียกความเชื่อมั่นกลับมา โดยกำหนดทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจให้ชัด นั่นคือ การยอมรับความจริงว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลก เราจะใช้ระบบเศรษฐกิจที่เปิด มีการแข่งขัน แต่เราจะเปิดเศรษฐกิจของเราตามปรัชญาของความพอเพียง คือการหลีกเลี่ยงความสุดโต่ง ใช้สติปัญญา เหตุและผล และไม่ทำให้เกิดความเสี่ยง การเปิดเสรีที่จะเกิดขึ้น ต้องมีการวางรากฐาน เตรียมความพร้อม เชื่อมโยงกลับมาสร้างประโยชน์ให้ประชาชนของเราอย่างชัดเจน มีกลไก กำกับ ปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน การเชื่อมโยงกับภายนอกจะไม่อยู่ในรูปของการแข่งขันเท่านั้น แต่เสริมสร้างความร่วมมือด้วย เช่น ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ความร่วมมือในอาเซียน และความร่วมมืออื่นๆ
๒. ทำพื้นฐานของเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง สร้างงาน สร้างรายได้ สร้างโอกาสให้ประชาชน โดยเร่งลงทุนในเรื่องการศึกษาและการพัฒนาคน ทำให้คนของเรามีความพร้อมทั้งในเรื่องภาษาและเทคโนโลยี การลงทุนทางกายภาพเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง หรือโลจิสติกส์ ทำโครงการขนาดใหญ่โดยยึดประโยชน์ในการสร้างโอกาสให้คนในทุกพื้นที่ เช่น ปัญหาเรื่องน้ำในพื้นที่ที่ยังไม่มีการชลประทาน การเปิดพื้นที่ภาคต่างๆสู่เมืองท่า ฯลฯ เชื่อมโยงเศรษฐกิจชาวบ้านเข้ากับเศรษฐกิจประเทศ เช่น การส่งเสริมการปลูกมันเพื่อผลิตเอทานอล เป็นต้น เราไม่ควรคิดในกรอบเศรษฐกิจคู่ขนาน ที่ทำให้รวยกระจุก จนกระจาย แต่ต้องทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจอิงกับพื้นฐานของเรา ทำให้เศรษฐกิจที่ขยายตัว ยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทุกคน
เฉพาะในส่วนของเศรษฐกิจชุมชน จะต้องมีแหล่งเงินทุนในชุมชนต่อไป โดยสะสางปัญหาหนี้ของกองทุนหมู่บ้าน และปรับปรุงหลักเกณฑ์การให้กู้ รวมทั้งมีเงินให้เปล่าเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวทางนี้ จะหมายถึงการปรับเปลี่ยนการทำงานของหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เพื่อเอื้ออำนวยให้ธุรกิจของเอกชนและประชาชน มีความสะดวกในการทำงาน ไม่มีภาระซับซ้อน ไม่ต้องมีต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ไม่ควรจะมีในทุกรูปแบบ
๓. ลดภาระประชาชน สร้างหลักประกันให้ทุกคน เพื่อให้ทุกคนมั่นใจว่าตัวเองมี
ที่ยืน มีหลังพิงในทุกสถานการณ์ สิ่งที่มีอยู่ที่เป็นหลักประกันต้องมีต่อไป เช่น การรักษาฟรี บางสิ่งต้องมีการขยาย เช่น การเรียนฟรีต้องฟรีจริงจนจบมัธยม ประกันสังคม เบี้ยยังชีพคนชรา บางเรื่องควรเริ่มต้นได้ เช่น การประกันภัยพืชผล
ผมมั่นใจว่า การยึดประโยชน์ของประชาชนตามแนวทางนี้ จะไม่สร้างปัญหาในอนาคต แต่เป็นการทำให้เศรษฐกิจ เดินไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนทุกคน
สำหรับปัญหาภาคใต้
เรามีความพร้อมที่จะผลักดันการแก้ไขปัญหา อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีแนวทางหลักๆดังนี้
๑. หยุดยั้งวงจรของความรุนแรง เราจะปล่อยให้ความสูญเสียของผู้บริสุทธิ์เกิดขึ้นวันแล้ววันเล่าไม่ได้ เพราะนอกจากชีวิตคนจะประเมินค่าไม่ได้แล้ว ความโกรธแค้น เกลียดชังที่มักจะตามมา จะสร้างปัญหาต่อไป การทำงานต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีประสิทธิภาพ ต้องมีฝ่ายนโยบายในคณะรัฐมนตรีหนึ่งคน ที่สามารถบังคับบัญชาทุกหน่วยงานผ่านองค์กรประสานที่ต่อยอดมาจากศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.)โดยจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ไม่มีความสับสน ซ้ำซ้อนในเครื่องมือ (ปัจจุบันมีทั้งกฎอัยการศึก พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ และกำลังจะมีพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือกฎหมายกอ.รมน.) มีการนำเทคโนโลยี มาใช้สอดส่อง ดูแล คุ้มครองประชาชน
๒. สร้างบรรยากาศของความปรองดอง ด้วยการให้เกียรติทุกคน ยอมรับความหลากหลายในพื้นที่ ให้ผู้คนทุกเชื้อชาติ ศาสนา ใช้ชีวิตตามวิถีชีวิตและความเชื่อของตน แต่อยู่ร่วมกันอย่างพี่น้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเหมือนในหลายช่วงที่ผ่านมา ทุกฝ่าย รวมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ อยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเสมอภาค ความอยุติธรรมทั้งหลายต้องได้รับการแก้ไข เหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ต้องคลี่คลายอย่างตรงไปตรงมา อาศัยเทคโนโลยี เช่น กล้องวงจรปิด และนิติวิทยาศาสตร์เข้าช่วย จัดให้มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนเพื่อนำไปสู่ความสงบ
๓. พัฒนาเศรษฐกิจชาวบ้าน โดยการสร้างโอกาส สร้างรายได้ โดยอยู่บนพื้นฐานของ
ความพอเพียงซึ่งเป็นวิถีของพี่น้องในพื้นที่อยู่แล้ว ส่งเสริมการทำธุรกิจที่สอดคล้องกับหลักศาสนา โดยอาศัยโอกาสที่พื้นที่มีทั้งในเรื่องความหลากหลายทางวัฒนธรรม ความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การค้าชายแดน การประมง ความสามารถในการเป็นศูนย์กลางการส่งออกไปตะวันออกกลาง
เป็นต้น
๔. ทุ่มเทพัฒนาระบบการศึกษา ทั้งโรงเรียนรัฐ และโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ให้ผู้ที่จบการศึกษาไม่ว่าจากที่ใด มีความรู้ ทักษะ ที่จะมีโอกาสก้าวหน้าในอาชีพการงาน และมีความเข้าใจในหลักธรรมคำสอนทางศาสนาอย่างแท้จริง
๕. ระดมการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย ทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
ผู้นำชุมชน ผู้นำทางศาสนา สถานศึกษา และเจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ตามแนวทางของพรรคที่สนับสนุนการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมมาโดยตลอด
๖. ใช้การทูตอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้มิตรประเทศเข้าใจปัญหาภายในของเราและร่วมมือในการแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งในมิติของ เศรษฐกิจ การศึกษา และการเมือง
ปณิธานของเรา คือ ทำให้พี่น้องที่นี่ทุกคน มีชีวิตที่สงบสุข มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีความหวัง
และมีความภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินเดียวกัน ใต้ร่มบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ประเด็นเหล่านี้ คือ สิ่งที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์ จะให้ความสำคัญสูงสุดในขณะนี้ และอยากเชิญประชาชนทุกคนมามีส่วนร่วมเพื่อทำให้ “วาระประชาชน” ที่ “ประชาชนต้องมาก่อน” เป็นจริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 1 ก.ค. 2550--จบ--