ผู้ดำเนินรายการ : เมื่อวานนี้คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้ประธานเป็นท่านประสงค์ สุ่นศิริ เห็นมีข่าวทำนองว่ามี ส.ส.บางส่วนก็มีข้อวิพากษ์วิจารณ์เยอะ ในบางส่วนก็กลัวว่าหน้าตารัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไร นายกฯ จะมาจากคนนอกไหม คุณอภิสิทธิ์ คิดอย่างไร
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าปัญหาข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเกี่ยวกับตัวบุคคลเป็นเรื่องคาดหมายได้ ข้อแรกทางคุณประสงค์เองเป็นอดีตนักการเมือง และมีบทบาทสนับสนุนในการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นแน่นอนที่สุดมีทั้งคนที่ชอบท่านและไม่ชอบท่าน อันนี้เป็นที่เข้าใจได้ ส่วนที่สองผมคิดว่ามันมีความขลุกขลักที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากเดิมทีมันมีการประชุมของ สสร.พูดถึงเรื่องของว่าประธานคณะกรรมการธิการควรจะเป็นสมาชิกหรือไม่ เพราะฉะนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงมติ มันก็ทำให้เกิดความหวาดระแวงขึ้นมา ว่าเป็นเพราะอะไร และเมื่อบุคคลที่เป็นกรรมาธิการที่ไม่ได้มาจากสภา คือมาจากสายของคมช. ก็ทำให้สียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา แต่ว่าสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือเรื่องทั้งหมดขณะนี้ที่ผ่านไป แล้วก็เป็นมติโดยการลงคะแนนของกรรมาธิการ
สิ่งที่ท่านประธานท่านใหม่จะต้องเร่งทำคือ 1.การสร้างความเป็นเอกภาพ ในคณะกรรมาธิการ ถ้าสภาพของการทำงานมีความหวาดระแวงและมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ซึ่งคงไม่เป็นผลดีเท่าไหร่และเรื่องคะแนนเสียงที่ออกมา ก่ำกึ่งมากๆ ผมเชื่อว่า ท่านประธานคงรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน ในการที่จะเดินหน้าทำงานต่อไป
ที่นี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวสาระ และผมคิดว่าเมื่อเกิดประเด็นต่างๆเหล่านี้ขึ้นมาและทุกคนก็จับตาอยู่แล้วในเรื่องของรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ต้องเร่งพิสูจน์ในเชิงสาระ และวิธีการทำงาน คือว่าในช่วงระยะเวลา ประมาณ 3-4 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นเป้าหมายว่าจะทำรัฐธรรมนูญให้เสร็จ แบบมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างไร ที่สามารถดำเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะว่าต้องการใช้เวลาให้น้อยด้วย และที่สำคัญคือการยืนยันหลักการ เบื้องตั้นในเรื่องประชาธิปไตย ถ้าสมมุติว่ามีมติ ตั้งแต่ต้นๆ ประเด็นที่คนกังวล กังขาสงสัยว่าจะเป็นการสืบทอดอำนาจ จะเป็นการทำให้การเมืองถอยหลัง ขจัดประเด็นพวกนี้ไปให้หมด ผมว่าจะทำให้บรรยายการดีขึ้นมาทันที แล้วก็จะทำให้การทำงานต่อไปง่ายเข้า เพราะว่าประเด็นต่างๆที่เป็นรายละเอียดก็ได้มาพูดกันด้วยเหตุและผล และจะได้ๆไม่มีปัญหาในเชิงการเมืองการวิพากษ์วิจารณ์ เพราะฉะนั้นรีบหาคำตอบในส่วนที่น่าจะเป็นที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องที่มานายกฯ วุฒิสภา ว่าจะเอาอย่างไร ผมคิดว่าทำตรงนี้ให้ชัดเจน ทุกอย่างก็จะง่าย
ผู้ดำเนินรายการ : คุณอภิสิทธิ์ เชื่อหรือไม่ว่ามีกระบวนการจ้องล้มรัฐธรรมนูญ กระบวนคลื่นใต้น้ำต่างๆ ตามที่มีการพูดไว้
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครที่ไปคิดทำอย่างนั้นในขณะนี้ เหตุผลง่ายๆก็คือว่า ยังไม่ทรายเลยว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับที่กำลังจะร่างขึ้นมาน่าตา เป็นอย่างไร ทราบได้อย่างไรว่ารัฐธรรมนูญที่จะร่างขึ้นมา มันจะต้องล้ม ด้วยเหตุผลอะไร และอีกประการคือล้มไปแล้ว มันไม่ใช่ว่าจะไปล้มล้างอะไร ใคร ได้ล้มไปแล้วผลที่เกิดขึ้นก็คือว่า ยื่นอำนาจให้รัฐบาลและ คมช. เพราะตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ถ้าล้มรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างขึ้นมา ก็ให้อำนาจรัฐบาลและคมช.ไปหยิบขึ้นมาและแก้ไขตามใจชอบ ฟังดูแล้วก็ดูไม่สมเหตุสมผล แต่ว่ารัฐบาลและคมช.ผมว่าน่าจะรีบทำจุดยืนของตนเองให้แน่ชัด ว่ารัฐธรรมนูญในกรณีที่ไม่ผ่านประชามติ ที่จะหยิบขึ้นมาคือฉบับใหนปรับปรุงอย่างไร อันนี้เป็นเรียกร้องของผมมาตั้งแต่ต้น ว่าถ้าจะให้กระบวนการนี้ มันมีความหมายสำหรับประชาชน คือกระบวนการประชามติ เราเดินไปลงคะแนนว่ารับหรือไม่รับเราต้องรู้ด้วยว่าถ้าไม่รับแล้วจะได้อะไร ผมก็ได้เสนอในเชิงของจุดยืนทางการเมืองด้วยว่าถ้าคมช.และรัฐบาลยืนยันมาตั้งแต่ต้นเลย เช่น ประเด็นนายกฯมาจากการเลือกตั้ง คมช.และรัฐบาลยืนยันเลย จะได้ดูว่าสภาร่างจะกล้าที่ร่างให้เป็นประชาธิปไตยน้อยกว่า คมช. และรัฐบาลประกาศหรือไม่ ประชาชนก็จะได้รู้เลยว่า ถ้าอย่างน้อยสภาร่างอยากจะถอยหลัง ก็มีทางเลือกอยู่ว่าคมช. และรัฐบาล รับปากแล้วว่า ถ้าไม่ผ่าน ของคมช.และรัฐบาลที่จะเลือกไม่ถอยหลังผมมองไม่เห็นว่ามีข้อเสียอะไร ผมอยากให้เร่งให้มีการพิจารณา เร่งประกาศ เพื่อคลี่คลายบรรยากาศต่างๆ
ผู้ดำเนินรายการ : ตอนนี้เห็นมีการบอกว่ามีพิมพ์เขียวแล้ว เรื่องที่มานายกฯ เรื่อง ส.ส. จะเหลือ 300 ส.ว.จะมาจากการแต่งตั้ง ตรงนี้คุณอภิสิทธิ์ เป็นห่วงหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าไม่มีพิมพ์เขียว แต่ผมเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนและอาจจะมีการสอบถามของบุคคลจำนวนหนึ่ง ว่าคิดอย่างไร เพราะว่าผมอยู่ในวงการเมือง ก็ได้ยินมาเยอะ ว่ามีพิมพ์เขียวแล้ว แต่รู้สึกว่ามีหลายพิมพ์เขียวเหลือเกิน เช่นบอกไว้ว่าเขาจะเอาที่มีปาร์ตี้รีส เดี่ยวจะเลือกวุฒิ เพราะฉะนั้นผมยังไม่เชื่อว่ามันจะมีคำตอบแล้ว แต่ประเด็นมันอาจจะมีการพูดกันอย่างกว้างขวาง แต่สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือว่าโจทย์ อยากๆเช่นวุฒิสภา ก็น่าจะต้องเร่งหาหลักเกณฑ์ว่าจะพิจารณาอย่างไร เช่น ผมยกตัวอย่างว่าถ้าเห็นว่าจะต้องเลือกตั้งก็ดูซิว่าเลือกตั้งแล้วก็มีการถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นปัญหาจากตัวระบบเลือกตั้งกันหรือไม่ จะปรับปรุงกันได้ไหม แล้วก็ถ้ามองดูแล้วว่าการเลือกตั้งไม่สามารถที่จะได้คนที่เป็นกลางทางการเมือง ก็ไปแก้ที่อำนาจของวุฒิเสีย ว่าไม่ให้มายุ่งกับการมีส่วนได้เสียของฝ่ายการเมือง คือเราเสนอความคิดง่ายๆว่า ถ้าเป็นเรื่องวุฒิสภา แล้วเราเห็นว่าจุดอ่อนข้อหนึ่งที่ผานมาคือระบบเลือกตั้ง ก็อาจจะเปลี่ยนระบบเลือกตั้งได้ เช่นอย่างเขตเลือกตั้งจากจังหวัด อาจจะเป็นกลุ่มจังหวัด หรือว่าถ้ามองว่าอำนาจหน้าที่พอเลือกตั้งโดยตรงหนีไม่พ้นว่าจะไปเกี่ยวข้องกี่ยวพันอะไรกับนักการเมือง ก็ถอนอำนาจที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ ที่เกี่ยวกับการถอดถอน แต่ว่าอาจจะไปเพิ่มอำนาจเค้าว่า ทำแบบนี้ได้ไหม ว่าในประเทศเราที่ผ่านมา กฎหมายเป็นอะไรที่ได้มาจากสภาร่างเท่านั้น นั้นก็คือพรรคการเมืองกับครม.
แต่ถ้าเรามองว่าวุฒิสภา มาจากการเลือกตั้งแบบไม่มีพรรคการเมือง ต้องยอมรับว่าอย่างน้อยที่สุดจะได้บุคคลที่มาจากองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ต้องเคลื่อนไหวทางการเมือง ผมยกตัวอย่างนะครับเพราะว่าเป็นการแสดงความคิดเห็น ชื่นชม อย่างครูหยุ่น ถ้าหากเราให้วุฒิสภาริเริ่มกฎหมายได้ เราก็อาจจะเห็นท่านอย่างนี้เสนอกฎหมายเกี่ยวกับเด็ก ซึ่งทางการเมืองอาจจะยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ แน่นอนที่สุดสภาร่างจะต้องมีเสียงชี้ขาดว่าเป็นผู้ที่แต่งตั้งรัฐบาลเข้าไป แต่ว่าอย่างน้อยการมีการกระตุ้นประเด็นเหล่านี้ ก็จะทำให้สังคมมีการตื่นตัวขึ้นว่าประเด็นของบ้านเมืองในเรื่องบางเรื่อง ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งสนใจศึกษามา เขาก็จะจุดประการและเป็นตัวกระตุ้น ตัวนี้ได้ นี่เป็นสาเหตุที่ผมบอกว่าเร่งหาคำตอบในเรื่องแบบนี้ซะ ไม่ได้อยาก สมมุติคงใช้เวลาไม่ถุง 2 สัปห์ดาได้
ผู้ดำเนินรายการ : คุณอภิสิทธิ์ ยังพึงพอใจอยากให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งอยู่
นายอภิสิทธิ์ : ผมเคยพูดไว้ว่ามันมี 2 ทางเลือกคือถ้าจะให้มีการเลือกตั้งอยู่ก็ปรับอำนาจหน้าที่ เพื่อแก้ปัญหาเดิม แต่ว่าถ้าอยากให้วุฒิสภาเป็นแบบเดิมในเชิงอำนาจหน้าที่ คืออยากให้เขามายุ่งกับองค์กรอิสระ ยังถอดถอนนักการเมืองได้ ผมคิดว่าคงไม่น่าจะเลือกตั้ง แต่เมื่อประชาชนเคยได้รับสิทธิ์ ในการเลือกตั้งมาแล้ว ก็จะพิจารณาไปในทางที่มีการเลือกตั้งก่อนนะครับ แล้วค่อยไปดูว่าเมื่อไม่ให้วุฒิสภาแต่งตั้งองค์กรอิสระ แล้วองค์กรอิสระจะมาได้อย่างไร ซึ่งความจริงก็เป็นเรื่องไม่อยาก เช่นเราดูศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนนี้เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ วิธีที่ท่านมาขณะนี้คือมาจากศาลฎีกา และศาลปกครอง ผมคิดว่าเหมาะสมดี โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับวุฒิสภา
หรือว่าในอดีตเราเคยมีกฏหมายเช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา สตง.ที่สาผู้แทนฯ กับวุฒิสภาคัดเลือกคนเข้ามา ก็ยังพอไปได้ ที่อยากหน่อยก็จะมีเรื่องกกต.และปปช. แต่ว่ากกต.แนวโน้ม ที่พูดกันมากก็คือว่าเราเริ่มจะให้การเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ให้ศาลเลือกตั้งด้วย มันก็ไม่คอขาดบาดตายเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนพอให้ใบเหลือง ใบแดงได้ พรรคการเมืองก็พยายามจะเข้าไปยุ่งกับกกต.
ผู้ดำเนินรายการ : เมื่อวานเห็นสัญญาณจากนายกฯ ที่พูดกับกกต.ว่ามีข้อเสนอแนะกับการเลือกตั้ง ส.ว ว่าควรจะมาจากการแต่งตั้ง มากกว่าการเลือกตั้ง เกรงว่าจะเกิดปัญหาสภาคู่แฝดเหมือนเดิม
นายอภิสิทธิ์ : นั่นเป็นเพราะเรายังพิจารณาบทบาทของวุฒิสภาในกรอบเดิม อย่างที่ผมพูดว่าถ้าเราพิจารณาในกรอเดิมเราก็ต้องมานั้งกังวล ว่าจะอิสระจากพรรคการเมือง พรรคการเมืองได้แค่ไหน แต่ว่าถ้าเราเปลี่ยนอำนาจเขาเสียแล้ว เขาไม่ได้มามีส่วนได้ส่วนเสีย กับเรื่องการถอกถอนคน การแต่งตั้งองค์กรอิสระ ซึ่งมีผลกับนักการเมือง ผมคิดว่าความกลัวในเรื่องการแต่งตั้งก็น่าจะลดลงไป
ผู้ดำเนินรายการ : เรื่องสัดส่วน ส.ส. และ ส.ว. ที่บอกว่าน่าจะปรับลด ส.ส. เหลือ 300จะได้แก้ปัญหาซื้อเสียงได้ ส.ว. น่าจะเหลือ 100 ก็ได้ จำนวนนี้มีปัญหอย่างไร หรือไม่
นายอภิสิทธิ์ : ผมยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเหตุผลที่ให้ว่าจำนวน ส.ส.สัมพันธ์กับเรื่องซื้อเสียงนั้น มันอย่างไร แต่ถ้าพูดถึงในหลักเศรษฐศาสตร์ ถ้าตำแหน่งเหลือน้อยคนน่าจะทุ่มทุนมากขึ้น แต่ว่าอย่างนี้ครับ ที่พูดเรื่องจำนวนน่าจะมีประเด็นอยู่ 2 ประเด็น ที่น่าคิด 1.คือในส่วนของ ส.ว. คิดว่าส.ว. ถ้าอย่างคิดถึงเขตที่ใหญ่ขึ้น บทบาทก็มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จต้องมีถึง 200 คน และวุฒิสภาเองก็ไม่ได้เป็นที่กำหนดเอาไว้ในลักษณะที่ต้องเข้าไปดูแลประชาชน เหมือนกับส.ส. 2.ส่วน ส.ส. จะลดจำนวนมันมีส่วนคือ1.มีจุดอ่อนของบัญชีรายชื่อ ซึ่งทำให้บางคนบอกว่าให้เลิกไปเลย งั้นถ้าเลิกไปเลยก็หายไปเลย 100 คน นี่ก็เป็นการลดในตัวถ้าคิดว่าบัญชีรายชื่อ ไม่น่าจะมีแล้ว ซึ่งอันนี้ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ข้อดีของบัญชีรายชื่อมี 2 อย่าง 1.ทำให้ลักษณะของการเลือกตั้งมีความแข่งขันในเชิงนโยบายระดับชาติมากขึ้น แต่ว่าถ้าไม่มีบัญชีรายชื่อการเลือกตั้งยังไปเกี่ยวข้องกับปัจจัยท้องถิ่นค่อนข้างมาก ในขณะที่ในทีมบัญชีรายชื่อต้องกำหนดแนวทางทิศทางระดับชาติ
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามีบัญชีรายชื่อแล้วมีคำตอบเดียว 2.เราก็มองว่ามีบุคคลากรบางส่วนที่มาทำประโยชน์ในทางการเมืองได้ แต่ว่าถ้ามีระบบเขตการเลือกตั้งยอมรับความเป็นจริงหลายคนคงไม่เข้ามา คือเข้ามาก็ไม่ผ่าน อันนี้ก็เป็นเหตุผล
ผมเองมองว่าข้อเสียของบัญชีรายชื่อที่ผ่านมา 1.ไปถูกตอกย้ำด้วยความผิดพลาด ในความคิดของผม ททีไปบอกว่าสงส.เขตไม่มีโอกาสเป็นรัฐมนตรี เลยเหมือนเป็นการแบ่งชั้น ส.ส.ขึ้นมา 2. พอพรรคการเมืองมีลักษณะใหญ่ขึ้นต้องยอมรับว่าบัญชีรายชื่อระดับต้นๆของพรรคมีโอกาสเข้าสภาแน่นอน จึงเป็นจุดที่มาตอกย้ำว่าคนที่เป็นบัญชีรายชื่อนั้นมีโอกาสเป็นรัฐมนตรี ก็เกิดให้มีการตั้งเป็นกลุ่มเป็นมุ้ง มีหัวหน้ามุ่ง มีนายทุนเข้ามานี้เป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะฉะนั้นก็ต้องไปดู
แต่สำหรับผมนะครับ ถ้าจะมีอย่างน้อยต้องเลิก คือไม่ให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อผูกขาดโอกาสในการเป็นรัฐมนตรี คือต้องเปิดโอกาสให้เท่าเทียมกัน
ผู้ดำเนินรายการ : หรือไม่ก็ยกเลิกที่ ปี 40 ไปกำหนดว่าถ้านายกฯ เป็นรัฐมนตรี แล้วพ้นจากการเป็น ส.ส.
นายอภิสิทธิ์ : อันนั้นผมคิดว่ายังไงก็คงต้องยกเลิก ส่วน ส.ส.เขต เขตเลือกตั้งผมเห็นด้วยว่าจะต้องมีการเปลี่ยน เขตเลือกตั้งเขตละคน เป็นปัญหาเรื่องการแข่งขันที่รุนแรงมาก และทำให้ลักษณะการแข่งขันย้อนกลับไปเป็นท้องถิ่นในตัวด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเรากลับไปในระบบที่เป็นเขต 2-3 คนอย่างที่มีมาในอดีต น่าจะดีกว่า อย่างที่มีปะสบการณทางการเมือง ตรงนี้ก็น่าจะเป็นจุดที่จะแก้ปัญหาหลายปัญหาได้ ส่วนจำนวนผมก็ไม่ติดใจ ไม่ควรเพิ่มละ แต่จะมากน้อยเท่าไหร่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การทุ่มทนแข่งถ้าในเขตใหญ่จะไม่มีปัญหาอะไร เพราะเขต2-3 คนการแข่งขันจะไม่รุนแรง คือโดยธรรมชาติการแข่งขันหลายคน ต่างก็ลุ้นเข้าที่3 แต่ถ้าแข่งเขตละคน มันได้ที่ 2 มันไม่มีประโยชน์ ต้องได้ที่ 1 อย่างเดียว
ผู้ดำเนินรายการ : ที่คุณอภิสิทธิ์บอกว่าปาร์ตี้รีส ไม่ควรมาเป็นฝ่ายบริหาร ซึ่งก็มี สสร.ก็มีแนวคิดว่า ตำแหน่งนายกฯต้องมาจากสงส.เขตเท่านั้นห้ามมาจากปาร์ตี้รีส
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องเจาะจง ถ้าจะทำก็ทำไปทั้ง ครม.เลย เพราะที่จริงๆปัญหาที่เราพูดถึงว่ามีหัวหน้ามุ่งไปอยู่ในปาร์ตี้รีสเขาก้ไม่ได้เป็นนายกฯกันนะครับ แต่อาจจะไปอยู่กระทรวงใหญ่ๆ แต่อย่าลืมว่าทั้งหมดไม่ควรทำให้เกิดความรู้สึกรังเกียจ หรือกีดกันคนที่มาเป็น ส.ส. เพราะคนที่เป็น ส.ส. ที่จะมาลงบัญชีรายชื่อ พูดตามตรงคนที่มาลง ส.ส. จะเป็นบัญชีรายชื่ออย่างน้อยเราก็ยังเปิดตัว เรายังอนุญาตให้เอาคนนอกเข้ามาเป็นโดยมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยต้องบอกประชาชนก็ได้ บัญชีรายชื่ออาจจะบอกว่าไม่ได้ลงไปเดินหาเสียง แต่ชื่อปรากฎในบัญชีรายชื่อสื่อมวลชนก็ตรวจสอบแล้ว แต่คนนอกมาจากไหนไม่ทราบอันนี้น่าคิดเหมือนกันนะครับ
ผู้ดำเนินรายการ : เอาละครับ/ค่ะ วันนี้ขอขอบคุณมาก
นายอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ม.ค. 2550--จบ--
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าปัญหาข้อวิพากษ์วิจารณ์เรื่องเกี่ยวกับตัวบุคคลเป็นเรื่องคาดหมายได้ ข้อแรกทางคุณประสงค์เองเป็นอดีตนักการเมือง และมีบทบาทสนับสนุนในการเคลื่อนไหวทางการเมืองมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นแน่นอนที่สุดมีทั้งคนที่ชอบท่านและไม่ชอบท่าน อันนี้เป็นที่เข้าใจได้ ส่วนที่สองผมคิดว่ามันมีความขลุกขลักที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากเดิมทีมันมีการประชุมของ สสร.พูดถึงเรื่องของว่าประธานคณะกรรมการธิการควรจะเป็นสมาชิกหรือไม่ เพราะฉะนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงมติ มันก็ทำให้เกิดความหวาดระแวงขึ้นมา ว่าเป็นเพราะอะไร และเมื่อบุคคลที่เป็นกรรมาธิการที่ไม่ได้มาจากสภา คือมาจากสายของคมช. ก็ทำให้สียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา แต่ว่าสิ่งที่ผมคิดว่าสำคัญคือเรื่องทั้งหมดขณะนี้ที่ผ่านไป แล้วก็เป็นมติโดยการลงคะแนนของกรรมาธิการ
สิ่งที่ท่านประธานท่านใหม่จะต้องเร่งทำคือ 1.การสร้างความเป็นเอกภาพ ในคณะกรรมาธิการ ถ้าสภาพของการทำงานมีความหวาดระแวงและมีการวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย ซึ่งคงไม่เป็นผลดีเท่าไหร่และเรื่องคะแนนเสียงที่ออกมา ก่ำกึ่งมากๆ ผมเชื่อว่า ท่านประธานคงรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน ในการที่จะเดินหน้าทำงานต่อไป
ที่นี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตัวสาระ และผมคิดว่าเมื่อเกิดประเด็นต่างๆเหล่านี้ขึ้นมาและทุกคนก็จับตาอยู่แล้วในเรื่องของรัฐธรรมนูญ สิ่งที่ต้องเร่งพิสูจน์ในเชิงสาระ และวิธีการทำงาน คือว่าในช่วงระยะเวลา ประมาณ 3-4 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นเป้าหมายว่าจะทำรัฐธรรมนูญให้เสร็จ แบบมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างไร ที่สามารถดำเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะว่าต้องการใช้เวลาให้น้อยด้วย และที่สำคัญคือการยืนยันหลักการ เบื้องตั้นในเรื่องประชาธิปไตย ถ้าสมมุติว่ามีมติ ตั้งแต่ต้นๆ ประเด็นที่คนกังวล กังขาสงสัยว่าจะเป็นการสืบทอดอำนาจ จะเป็นการทำให้การเมืองถอยหลัง ขจัดประเด็นพวกนี้ไปให้หมด ผมว่าจะทำให้บรรยายการดีขึ้นมาทันที แล้วก็จะทำให้การทำงานต่อไปง่ายเข้า เพราะว่าประเด็นต่างๆที่เป็นรายละเอียดก็ได้มาพูดกันด้วยเหตุและผล และจะได้ๆไม่มีปัญหาในเชิงการเมืองการวิพากษ์วิจารณ์ เพราะฉะนั้นรีบหาคำตอบในส่วนที่น่าจะเป็นที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องที่มานายกฯ วุฒิสภา ว่าจะเอาอย่างไร ผมคิดว่าทำตรงนี้ให้ชัดเจน ทุกอย่างก็จะง่าย
ผู้ดำเนินรายการ : คุณอภิสิทธิ์ เชื่อหรือไม่ว่ามีกระบวนการจ้องล้มรัฐธรรมนูญ กระบวนคลื่นใต้น้ำต่างๆ ตามที่มีการพูดไว้
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าไม่น่าจะมีใครที่ไปคิดทำอย่างนั้นในขณะนี้ เหตุผลง่ายๆก็คือว่า ยังไม่ทรายเลยว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับที่กำลังจะร่างขึ้นมาน่าตา เป็นอย่างไร ทราบได้อย่างไรว่ารัฐธรรมนูญที่จะร่างขึ้นมา มันจะต้องล้ม ด้วยเหตุผลอะไร และอีกประการคือล้มไปแล้ว มันไม่ใช่ว่าจะไปล้มล้างอะไร ใคร ได้ล้มไปแล้วผลที่เกิดขึ้นก็คือว่า ยื่นอำนาจให้รัฐบาลและ คมช. เพราะตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ถ้าล้มรัฐธรรมนูญฉบับที่ร่างขึ้นมา ก็ให้อำนาจรัฐบาลและคมช.ไปหยิบขึ้นมาและแก้ไขตามใจชอบ ฟังดูแล้วก็ดูไม่สมเหตุสมผล แต่ว่ารัฐบาลและคมช.ผมว่าน่าจะรีบทำจุดยืนของตนเองให้แน่ชัด ว่ารัฐธรรมนูญในกรณีที่ไม่ผ่านประชามติ ที่จะหยิบขึ้นมาคือฉบับใหนปรับปรุงอย่างไร อันนี้เป็นเรียกร้องของผมมาตั้งแต่ต้น ว่าถ้าจะให้กระบวนการนี้ มันมีความหมายสำหรับประชาชน คือกระบวนการประชามติ เราเดินไปลงคะแนนว่ารับหรือไม่รับเราต้องรู้ด้วยว่าถ้าไม่รับแล้วจะได้อะไร ผมก็ได้เสนอในเชิงของจุดยืนทางการเมืองด้วยว่าถ้าคมช.และรัฐบาลยืนยันมาตั้งแต่ต้นเลย เช่น ประเด็นนายกฯมาจากการเลือกตั้ง คมช.และรัฐบาลยืนยันเลย จะได้ดูว่าสภาร่างจะกล้าที่ร่างให้เป็นประชาธิปไตยน้อยกว่า คมช. และรัฐบาลประกาศหรือไม่ ประชาชนก็จะได้รู้เลยว่า ถ้าอย่างน้อยสภาร่างอยากจะถอยหลัง ก็มีทางเลือกอยู่ว่าคมช. และรัฐบาล รับปากแล้วว่า ถ้าไม่ผ่าน ของคมช.และรัฐบาลที่จะเลือกไม่ถอยหลังผมมองไม่เห็นว่ามีข้อเสียอะไร ผมอยากให้เร่งให้มีการพิจารณา เร่งประกาศ เพื่อคลี่คลายบรรยากาศต่างๆ
ผู้ดำเนินรายการ : ตอนนี้เห็นมีการบอกว่ามีพิมพ์เขียวแล้ว เรื่องที่มานายกฯ เรื่อง ส.ส. จะเหลือ 300 ส.ว.จะมาจากการแต่งตั้ง ตรงนี้คุณอภิสิทธิ์ เป็นห่วงหรือไม่
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าไม่มีพิมพ์เขียว แต่ผมเชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนและอาจจะมีการสอบถามของบุคคลจำนวนหนึ่ง ว่าคิดอย่างไร เพราะว่าผมอยู่ในวงการเมือง ก็ได้ยินมาเยอะ ว่ามีพิมพ์เขียวแล้ว แต่รู้สึกว่ามีหลายพิมพ์เขียวเหลือเกิน เช่นบอกไว้ว่าเขาจะเอาที่มีปาร์ตี้รีส เดี่ยวจะเลือกวุฒิ เพราะฉะนั้นผมยังไม่เชื่อว่ามันจะมีคำตอบแล้ว แต่ประเด็นมันอาจจะมีการพูดกันอย่างกว้างขวาง แต่สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือว่าโจทย์ อยากๆเช่นวุฒิสภา ก็น่าจะต้องเร่งหาหลักเกณฑ์ว่าจะพิจารณาอย่างไร เช่น ผมยกตัวอย่างว่าถ้าเห็นว่าจะต้องเลือกตั้งก็ดูซิว่าเลือกตั้งแล้วก็มีการถูกวิพากษ์วิจารณ์ เป็นปัญหาจากตัวระบบเลือกตั้งกันหรือไม่ จะปรับปรุงกันได้ไหม แล้วก็ถ้ามองดูแล้วว่าการเลือกตั้งไม่สามารถที่จะได้คนที่เป็นกลางทางการเมือง ก็ไปแก้ที่อำนาจของวุฒิเสีย ว่าไม่ให้มายุ่งกับการมีส่วนได้เสียของฝ่ายการเมือง คือเราเสนอความคิดง่ายๆว่า ถ้าเป็นเรื่องวุฒิสภา แล้วเราเห็นว่าจุดอ่อนข้อหนึ่งที่ผานมาคือระบบเลือกตั้ง ก็อาจจะเปลี่ยนระบบเลือกตั้งได้ เช่นอย่างเขตเลือกตั้งจากจังหวัด อาจจะเป็นกลุ่มจังหวัด หรือว่าถ้ามองว่าอำนาจหน้าที่พอเลือกตั้งโดยตรงหนีไม่พ้นว่าจะไปเกี่ยวข้องกี่ยวพันอะไรกับนักการเมือง ก็ถอนอำนาจที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอิสระ ที่เกี่ยวกับการถอดถอน แต่ว่าอาจจะไปเพิ่มอำนาจเค้าว่า ทำแบบนี้ได้ไหม ว่าในประเทศเราที่ผ่านมา กฎหมายเป็นอะไรที่ได้มาจากสภาร่างเท่านั้น นั้นก็คือพรรคการเมืองกับครม.
แต่ถ้าเรามองว่าวุฒิสภา มาจากการเลือกตั้งแบบไม่มีพรรคการเมือง ต้องยอมรับว่าอย่างน้อยที่สุดจะได้บุคคลที่มาจากองค์กรพัฒนาเอกชน ที่ต้องเคลื่อนไหวทางการเมือง ผมยกตัวอย่างนะครับเพราะว่าเป็นการแสดงความคิดเห็น ชื่นชม อย่างครูหยุ่น ถ้าหากเราให้วุฒิสภาริเริ่มกฎหมายได้ เราก็อาจจะเห็นท่านอย่างนี้เสนอกฎหมายเกี่ยวกับเด็ก ซึ่งทางการเมืองอาจจะยังไม่ได้คิดเรื่องนี้ แน่นอนที่สุดสภาร่างจะต้องมีเสียงชี้ขาดว่าเป็นผู้ที่แต่งตั้งรัฐบาลเข้าไป แต่ว่าอย่างน้อยการมีการกระตุ้นประเด็นเหล่านี้ ก็จะทำให้สังคมมีการตื่นตัวขึ้นว่าประเด็นของบ้านเมืองในเรื่องบางเรื่อง ซึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งสนใจศึกษามา เขาก็จะจุดประการและเป็นตัวกระตุ้น ตัวนี้ได้ นี่เป็นสาเหตุที่ผมบอกว่าเร่งหาคำตอบในเรื่องแบบนี้ซะ ไม่ได้อยาก สมมุติคงใช้เวลาไม่ถุง 2 สัปห์ดาได้
ผู้ดำเนินรายการ : คุณอภิสิทธิ์ ยังพึงพอใจอยากให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งอยู่
นายอภิสิทธิ์ : ผมเคยพูดไว้ว่ามันมี 2 ทางเลือกคือถ้าจะให้มีการเลือกตั้งอยู่ก็ปรับอำนาจหน้าที่ เพื่อแก้ปัญหาเดิม แต่ว่าถ้าอยากให้วุฒิสภาเป็นแบบเดิมในเชิงอำนาจหน้าที่ คืออยากให้เขามายุ่งกับองค์กรอิสระ ยังถอดถอนนักการเมืองได้ ผมคิดว่าคงไม่น่าจะเลือกตั้ง แต่เมื่อประชาชนเคยได้รับสิทธิ์ ในการเลือกตั้งมาแล้ว ก็จะพิจารณาไปในทางที่มีการเลือกตั้งก่อนนะครับ แล้วค่อยไปดูว่าเมื่อไม่ให้วุฒิสภาแต่งตั้งองค์กรอิสระ แล้วองค์กรอิสระจะมาได้อย่างไร ซึ่งความจริงก็เป็นเรื่องไม่อยาก เช่นเราดูศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนนี้เป็นตุลาการรัฐธรรมนูญ วิธีที่ท่านมาขณะนี้คือมาจากศาลฎีกา และศาลปกครอง ผมคิดว่าเหมาะสมดี โดยไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับวุฒิสภา
หรือว่าในอดีตเราเคยมีกฏหมายเช่น ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา สตง.ที่สาผู้แทนฯ กับวุฒิสภาคัดเลือกคนเข้ามา ก็ยังพอไปได้ ที่อยากหน่อยก็จะมีเรื่องกกต.และปปช. แต่ว่ากกต.แนวโน้ม ที่พูดกันมากก็คือว่าเราเริ่มจะให้การเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ให้ศาลเลือกตั้งด้วย มันก็ไม่คอขาดบาดตายเหมือนเมื่อก่อน เมื่อก่อนพอให้ใบเหลือง ใบแดงได้ พรรคการเมืองก็พยายามจะเข้าไปยุ่งกับกกต.
ผู้ดำเนินรายการ : เมื่อวานเห็นสัญญาณจากนายกฯ ที่พูดกับกกต.ว่ามีข้อเสนอแนะกับการเลือกตั้ง ส.ว ว่าควรจะมาจากการแต่งตั้ง มากกว่าการเลือกตั้ง เกรงว่าจะเกิดปัญหาสภาคู่แฝดเหมือนเดิม
นายอภิสิทธิ์ : นั่นเป็นเพราะเรายังพิจารณาบทบาทของวุฒิสภาในกรอบเดิม อย่างที่ผมพูดว่าถ้าเราพิจารณาในกรอเดิมเราก็ต้องมานั้งกังวล ว่าจะอิสระจากพรรคการเมือง พรรคการเมืองได้แค่ไหน แต่ว่าถ้าเราเปลี่ยนอำนาจเขาเสียแล้ว เขาไม่ได้มามีส่วนได้ส่วนเสีย กับเรื่องการถอกถอนคน การแต่งตั้งองค์กรอิสระ ซึ่งมีผลกับนักการเมือง ผมคิดว่าความกลัวในเรื่องการแต่งตั้งก็น่าจะลดลงไป
ผู้ดำเนินรายการ : เรื่องสัดส่วน ส.ส. และ ส.ว. ที่บอกว่าน่าจะปรับลด ส.ส. เหลือ 300จะได้แก้ปัญหาซื้อเสียงได้ ส.ว. น่าจะเหลือ 100 ก็ได้ จำนวนนี้มีปัญหอย่างไร หรือไม่
นายอภิสิทธิ์ : ผมยังไม่ค่อยแน่ใจว่าเหตุผลที่ให้ว่าจำนวน ส.ส.สัมพันธ์กับเรื่องซื้อเสียงนั้น มันอย่างไร แต่ถ้าพูดถึงในหลักเศรษฐศาสตร์ ถ้าตำแหน่งเหลือน้อยคนน่าจะทุ่มทุนมากขึ้น แต่ว่าอย่างนี้ครับ ที่พูดเรื่องจำนวนน่าจะมีประเด็นอยู่ 2 ประเด็น ที่น่าคิด 1.คือในส่วนของ ส.ว. คิดว่าส.ว. ถ้าอย่างคิดถึงเขตที่ใหญ่ขึ้น บทบาทก็มีลักษณะแตกต่างไปจากเดิม ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จต้องมีถึง 200 คน และวุฒิสภาเองก็ไม่ได้เป็นที่กำหนดเอาไว้ในลักษณะที่ต้องเข้าไปดูแลประชาชน เหมือนกับส.ส. 2.ส่วน ส.ส. จะลดจำนวนมันมีส่วนคือ1.มีจุดอ่อนของบัญชีรายชื่อ ซึ่งทำให้บางคนบอกว่าให้เลิกไปเลย งั้นถ้าเลิกไปเลยก็หายไปเลย 100 คน นี่ก็เป็นการลดในตัวถ้าคิดว่าบัญชีรายชื่อ ไม่น่าจะมีแล้ว ซึ่งอันนี้ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ข้อดีของบัญชีรายชื่อมี 2 อย่าง 1.ทำให้ลักษณะของการเลือกตั้งมีความแข่งขันในเชิงนโยบายระดับชาติมากขึ้น แต่ว่าถ้าไม่มีบัญชีรายชื่อการเลือกตั้งยังไปเกี่ยวข้องกับปัจจัยท้องถิ่นค่อนข้างมาก ในขณะที่ในทีมบัญชีรายชื่อต้องกำหนดแนวทางทิศทางระดับชาติ
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามีบัญชีรายชื่อแล้วมีคำตอบเดียว 2.เราก็มองว่ามีบุคคลากรบางส่วนที่มาทำประโยชน์ในทางการเมืองได้ แต่ว่าถ้ามีระบบเขตการเลือกตั้งยอมรับความเป็นจริงหลายคนคงไม่เข้ามา คือเข้ามาก็ไม่ผ่าน อันนี้ก็เป็นเหตุผล
ผมเองมองว่าข้อเสียของบัญชีรายชื่อที่ผ่านมา 1.ไปถูกตอกย้ำด้วยความผิดพลาด ในความคิดของผม ททีไปบอกว่าสงส.เขตไม่มีโอกาสเป็นรัฐมนตรี เลยเหมือนเป็นการแบ่งชั้น ส.ส.ขึ้นมา 2. พอพรรคการเมืองมีลักษณะใหญ่ขึ้นต้องยอมรับว่าบัญชีรายชื่อระดับต้นๆของพรรคมีโอกาสเข้าสภาแน่นอน จึงเป็นจุดที่มาตอกย้ำว่าคนที่เป็นบัญชีรายชื่อนั้นมีโอกาสเป็นรัฐมนตรี ก็เกิดให้มีการตั้งเป็นกลุ่มเป็นมุ้ง มีหัวหน้ามุ่ง มีนายทุนเข้ามานี้เป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะฉะนั้นก็ต้องไปดู
แต่สำหรับผมนะครับ ถ้าจะมีอย่างน้อยต้องเลิก คือไม่ให้ ส.ส.บัญชีรายชื่อผูกขาดโอกาสในการเป็นรัฐมนตรี คือต้องเปิดโอกาสให้เท่าเทียมกัน
ผู้ดำเนินรายการ : หรือไม่ก็ยกเลิกที่ ปี 40 ไปกำหนดว่าถ้านายกฯ เป็นรัฐมนตรี แล้วพ้นจากการเป็น ส.ส.
นายอภิสิทธิ์ : อันนั้นผมคิดว่ายังไงก็คงต้องยกเลิก ส่วน ส.ส.เขต เขตเลือกตั้งผมเห็นด้วยว่าจะต้องมีการเปลี่ยน เขตเลือกตั้งเขตละคน เป็นปัญหาเรื่องการแข่งขันที่รุนแรงมาก และทำให้ลักษณะการแข่งขันย้อนกลับไปเป็นท้องถิ่นในตัวด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเรากลับไปในระบบที่เป็นเขต 2-3 คนอย่างที่มีมาในอดีต น่าจะดีกว่า อย่างที่มีปะสบการณทางการเมือง ตรงนี้ก็น่าจะเป็นจุดที่จะแก้ปัญหาหลายปัญหาได้ ส่วนจำนวนผมก็ไม่ติดใจ ไม่ควรเพิ่มละ แต่จะมากน้อยเท่าไหร่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การทุ่มทนแข่งถ้าในเขตใหญ่จะไม่มีปัญหาอะไร เพราะเขต2-3 คนการแข่งขันจะไม่รุนแรง คือโดยธรรมชาติการแข่งขันหลายคน ต่างก็ลุ้นเข้าที่3 แต่ถ้าแข่งเขตละคน มันได้ที่ 2 มันไม่มีประโยชน์ ต้องได้ที่ 1 อย่างเดียว
ผู้ดำเนินรายการ : ที่คุณอภิสิทธิ์บอกว่าปาร์ตี้รีส ไม่ควรมาเป็นฝ่ายบริหาร ซึ่งก็มี สสร.ก็มีแนวคิดว่า ตำแหน่งนายกฯต้องมาจากสงส.เขตเท่านั้นห้ามมาจากปาร์ตี้รีส
นายอภิสิทธิ์ : ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องเจาะจง ถ้าจะทำก็ทำไปทั้ง ครม.เลย เพราะที่จริงๆปัญหาที่เราพูดถึงว่ามีหัวหน้ามุ่งไปอยู่ในปาร์ตี้รีสเขาก้ไม่ได้เป็นนายกฯกันนะครับ แต่อาจจะไปอยู่กระทรวงใหญ่ๆ แต่อย่าลืมว่าทั้งหมดไม่ควรทำให้เกิดความรู้สึกรังเกียจ หรือกีดกันคนที่มาเป็น ส.ส. เพราะคนที่เป็น ส.ส. ที่จะมาลงบัญชีรายชื่อ พูดตามตรงคนที่มาลง ส.ส. จะเป็นบัญชีรายชื่ออย่างน้อยเราก็ยังเปิดตัว เรายังอนุญาตให้เอาคนนอกเข้ามาเป็นโดยมาจากที่ไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยต้องบอกประชาชนก็ได้ บัญชีรายชื่ออาจจะบอกว่าไม่ได้ลงไปเดินหาเสียง แต่ชื่อปรากฎในบัญชีรายชื่อสื่อมวลชนก็ตรวจสอบแล้ว แต่คนนอกมาจากไหนไม่ทราบอันนี้น่าคิดเหมือนกันนะครับ
ผู้ดำเนินรายการ : เอาละครับ/ค่ะ วันนี้ขอขอบคุณมาก
นายอภิสิทธิ์ : สวัสดีครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 ม.ค. 2550--จบ--