คำแถลงของ นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง
ประธานที่ปรึกษากฎหมายของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
กรณีโครงการรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย กทม.
หมายเหตุ — เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 24 กรกฎาคมนี้ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) พร้อมด้วยนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ประธานที่ปรึกษากฎหมายของนายอภิรักษ์ และนาย อนันต์ ศิริภัสราภรณ์ รองปลัดกทม. เปิดแถลงข่าวที่ศาลาว่าการกทม. กรณีโครงการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย พร้อมกับแจกจ่ายเอกสารข้อเท็จจริงกรณีการจัดซื้อรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้
ตามที่กรณีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร ยังคงเป็นข่าวสารต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่องมา และมีนัยของข่าวสารประการหนึ่งที่เกี่ยวพันถึงผู้ว่าราชการ กทม. (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน) ว่า อาจจะมีส่วนกระทำผิดเพราะได้เป็นผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) ให้แก่คู่สัญญา (บริษัท สไตเออร์ฯ) อันเป็นเหตุให้สัญญาซื้อขายเกิดผลผูกพันขึ้น
เรื่องนี้นายอภิรักษ์ฯ ได้ให้ถ้อยคำและยื่นคำชี้แจงต่อ คตส.ในรายละเอียดแล้ว แต่เพื่อความเข้าใจของประชาชนชาวกรุงเทพมหานครและประชาชนโดยทั่วไป ขอเรียนว่าการเปิด L/C ตามสัญญาซื้อขายรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย (Purchase/Sale Agreement) นั้นมีที่มาและเหตุผล ดังนี้
1. การดำเนินโครงการฯ ในช่วงเวลาก่อนที่นายอภิรักษ์ฯ เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. (28 พฤษภาคม 2546 ถึง 6 กันยายน 2547 รวมเวลา 1 ปี 3 เดือน)
โครงการฯ นี้ได้เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2546 โดยบริษัท สไตเออร์ฯ ได้มีหนังสือเสนอราคารถดับเพิลงและอุปกรณ์ฯ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายวันมูฮัมหมัดนอร์ มะทา) และต่อมาเอกอัครราชทูตออสเตรียจึงได้เสนอโครงการขายรถดับเพลิง โดยให้เป็นการดำเนินการแบบ G to G พร้อมการค้าต่างตอบแทน 100% จนกระทั่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2547 อนุมัติโครงการจัดซื้อดังกล่าว โดยใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลถึง 60% และเป็นงบประมาณของ กทม. 40% และให้มีการทำการค้าต่างตอบแทนกับประเทศออสเตรียในมูลค่าเท่าๆ กัน
กระบวนการจัดทำสัญญาที่เกี่ยวข้องเริ่มตั้งแต่การทำสัญญาผูกพันเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2547 ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรีย ที่เรียกว่า Agreement of Understanding หรือ AOU โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายโภคิน พลกุล) และเอกอัครราชทูตออสเตรียในขณะนั้นเป็นผู้
ลงนาม สัญญา AOU ฉบับนี้ถือเป็นสัญญาหลักอันทำให้ต้องมีการทำสัญญาเป็นชุดอีก 2 ฉบับ คือ สัญญาซื้อขายรถดับเพลิงและอุปกรณ์ฯ (Purchase/Sale Agreement) ซึ่งได้มีการลงนามวันที่ 27 สิงหาคม 2547 ระหว่าง กทม. (โดยนายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าฯ กทม.) และบริษัท สไตเออร์ฯ กับสัญญาการค้าต่างตอบแทน (Counterpurchase Agreement) ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กับ บริษัท สไตเออร์ฯ เช่นกัน เพื่อให้ฝ่ายออสเตรียต้องรับซื้อผลิตภัณฑ์การเกษตรจากประเทศไทย
เนื่องจาก AOU และสัญญาซื้อขายที่ได้ลงนามกันไว้ดังกล่าวได้มีข้อกำหนดให้ กทม. ต้องเปิด L/C ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ ภายใน 30 วัน ดังนั้นในวันที่ 31 สิงหาคม 2547 นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าฯ กทม. จึงได้มีหนังสือไปยังธนาคารกรุงไทยเพื่อขอเปิด L/C
2. การดำเนินการของนายอภิรักษ์ฯ เมื่อเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. (ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2547 เป็นต้นมา)
2.1 ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) โดยได้สั่งให้มีการเปรียบเทียบกับราคาจัดซื้อรถดับเพลิงที่ตำรวจเคยซื้อมา ซึ่งได้รับรายงานว่าได้มีการซื้อจากบริษัท สไตเออร์ฯ เมื่อปี 2540 โดยการจัดซื้อของ กทม.มีราคาสูงกว่า 14.58% แต่มีเหตุผลประกอบทั้งในเรื่อง Spec ที่สูงกว่า และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี
2.2 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2547 นายอภิรักษ์ฯ จึงได้มีหนังสือไปยังธนาคารกรุงไทยเพื่อขอให้ระงับการเปิด L/C ไว้ก่อน เพราะในขณะนั้นยังไม่ปรากฏว่าได้มีการทำสัญญาค้าต่างตอบแทน และเพื่อให้มีเวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงมากขึ้น
2.3 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 นายอภิรักษ์ฯ ได้มีหนังสือไปยังอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อขอทราบความคืบหน้าการทำสัญญาค้าต่างตอบแทนกับบริษัท สไตเออร์ฯ ซึ่งต่อมาได้รับแจ้งว่าได้มีการลงนามในสัญญาแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2547
2.4 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2547 และ 12 ตุลาคม 2547 นายอภิรักษ์ฯ ได้มีหนังสือไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายโภคิน พลกุล) เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนการจัดซื้อ เพราะขณะนั้นเข้าใจว่าการค้าต่างตอบแทนยังมิได้เป็นไปตามขั้นตอนของประกาศกระทรวงพาณิชย์ และมีผู้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ว่ามีการดำเนินการไม่ถูกต้อง แต่ปรากฏว่ากระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือสั่งการถึง 4 ฉบับ กล่าวคือ ฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2547 และ 7 ตุลาคม 2547 (โดยนายสมศักดิ์ คุณเงิน ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี) ฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 (โดยนายโภคิน พลกุล) และฉบับลงวันที่ 16 ธันวาคม 2547 (โดยนายประชา มาลีนนท์) โดยหนังสือดังกล่าวเร่งรัดการเปิด L/C ตามที่กำหนดไว้ใน AOU และสัญญาซื้อขายโดยทันทีเพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2.5 นับตั้งแต่ที่นายอภิรักษ์ฯ ได้ชะลอการเปิด L/C เป็นต้นมา ปรากฏว่าบริษัท สไตเออร์ฯ ได้มีหนังสือมายัง กทม. และกระทรวงมหาดไทย หลายฉบับ โดยกล่าวถึงความล่าช้าของการเปิด L/C และขอยืนยันให้ กทม.ดำเนินการเปิด L/C ตามข้อผูกพันใน AOU และสัญญาซื้อขายโดยทันที นอกจากนั้น ทั้งเอกอัครราชทูตออสเตรียและที่ปรึกษาการพาณิชย์ประเทศออสเตรียก็ได้เร่งรัดให้ กทม. เปิด L/C เช่นเดียวกัน
2.6 หลังจากที่เอกอัคราชทูตออสเตรียและกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือเร่งรัดให้กรุงเทพมหานครดำเนินการเปิด L/C ดังนั้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 นายอภิรักษ์ฯ จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณารายละเอียดในการจัดซื้อรถดับเพลิงและอุปกรณ์ โดยมีนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานกรรมการ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นรองประธาน มีผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมายและคดี รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกได้แก่ อดีตผู้บังคับการตำรวจดับเพลิง และตัวแทนสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นกรรมการ โดยให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวดำเนินการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดในการจัดซื้อ ประสานงานขอรายละเอียด หรือเชิญเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือให้ข้อมูล และให้เจรจาต่อรองกับ บริษัทสไตเออร์
คณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมพิจารณาในเรื่องที่ได้รับมอบหมายถึง 7 ครั้ง โดยได้เจรจาต่อรองกับ บริษัท สไตเออร์ ในเรื่องการปรับลดรายการสินค้าและการต่อรองราคา แต่บริษัท สไตเออร์ ไม่ยินยอมโดยอ้างข้อผูกพันตาม เอโอยู อย่างไรก็ตาม จากผลการเจรจาทำให้ กรุงเทพมหานครได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจำนวนประมาณ 250 ล้านบาท
นอกจากนี้ในการประชุมของคณะกรรมการฯ ดังกล่าวยังได้มีการพิจารณาถึงหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทยที่ได้เร่งรัดให้กรุงเทพมหานคร เปิด L/C รวม 4 ฉบับ ซึ่งคณะกรรมการฯให้ความเห็นว่าหนังสือสั่งการดังกล่าวเป็นคำสั่งที่กรุงเทพมหานครจะต้องปฏิบัติตาม และ ยังได้พิจารณาหนังสือของ บริษัท สไตเออร์ ฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2547 ที่ได้เร่งรัดให้เปิด L/C ภายใน 10 วัน โดยอ้างว่ากรุงเทพมหานครมีหน้าที่ ที่จะต้องดำเนินการตามข้อผูกพันใน เอโอยู ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรีย และข้อตกลงซื้อขายระหว่างกรุงเทพมหานคร กับ บริษัท สไตเออร์ และได้พิจารณาหนังสือเร่งรัดจากที่ปรึกษาการพาณิชย์ของรัฐบาลออสเตรีย ฉบับลงวันที่ 7 มกราคม 2548 ที่ขอให้กรุงเทพมหานครต้องเปิด L/C ภายในวันที่ 10 มกราคม 2548 รวมทั้งได้พิจารณาถึงผลกระทบตามกฎหมายในกรณีที่กรุงเทพมหานครไม่เปิด L/C ซึ่งได้ข้อสรุปว่า บริษัท สไตเออร์สามารถดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ดังนั้นในวันที่ 7 มกราคม 2548 คณะกรรมการฯ จึงได้มีบันทึกเรียนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อเสนอให้กรุงเทพมหานครรับข้อเสนอตามผลการเจรจากับ บริษัท สไตเออร์ และมีหนังสือถึงธนาคารกรุงไทยเพื่อมอบอำนาจให้นายนิยม กรรณสูต ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ดำเนินการเปิด L/C เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงซื้อขาย
2.7 นายอภิรักษ์ฯ ได้หารือกับสำนักกฎหมายและคดีของ กทม. และนักกฎหมายอื่นๆ ที่มีความรู้เชี่ยวชาญในด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ก็ได้รับความเห็นว่า การทำความเข้าใจกับข้อสัญญาใดๆ จะพิจารณาเพียงถ้อยคำในข้อสัญญาข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ จะต้องพิจารณาเนื้อหาสาระโดยรวมของสัญญาทั้งฉบับ และยิ่งในกรณีที่มีสัญญาเกี่ยวโยงกันเป็นชุดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็จะต้องพิจารณาสาระที่ผูกโยงเกี่ยวพันกันทั้งหมดด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจการค้าย่อมทราบดีว่าในการทำสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ ผู้ซื้อจะต้องให้ความมั่นใจในการได้รับชำระราคาให้แก่ผู้ขาย จึงนิยมที่จะใช้วิธีให้ฝ่ายผู้ซื้อต้องดำเนินการเปิด L/C ไปยังธนาคารตัวแทนของผู้ขายก่อน เช่นเดียวกันกับกรณีการจัดซื้อตามโครงการนี้ ที่ AOU และสัญญาซื้อขายได้กำหนดให้ กทม. ต้องเปิด L/C ไปยังธนาคารตัวแทนของบริษัท สไตเออร์ฯ และเหตุที่ได้กำหนดว่าต้องเปิด L/C ภายใน 30 วันนั้น มิใช่ข้อที่เปิดโอกาสหรือระยะเวลาไว้ให้ฝ่าย กทม. เปลี่ยนใจไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาได้ หากแต่เป็นกำหนดระยะเวลาที่ผู้ขายและผู้ซื้อทราบดีว่าการเปิด L/C จะต้องมีกระบวนการทางสินเชื่อของธนาคาร เริ่มตั้งแต่ กทม.จะต้องยื่นคำขอเปิด L/C ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับการขออนุมัติสินเชื่อที่จะต้องผ่านขั้นตอนการพิจารณาและอนุมัติของคณะกรรมการสินเชื่อและคณะกรรมการบริหารของธนาคารโดยลำดับ เพราะมีวงเงินที่สูงหลายพันล้านบาท ระยะเวลา 30 วันดังกล่าวจึงกำหนดไว้เพื่อการนี้เอง
สัญญาซื้อขายดังกล่าวนี้มีมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท ก่อนที่จะได้มีการทำสัญญาย่อมต้องถือว่าได้มีการเจรจา มีการวิเคราะห์ถึงเหตุผลต่างๆ และความพร้อมของแต่ละฝ่ายแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนราชการนั้น ก่อนการลงนามสัญญาก็จะต้องมีงบประมาณซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลก็ได้อนุมัติวงเงินแล้ว นอกจากนั้นฝ่ายผู้ขายก็จะต้องใช้ทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ กว่าจะถึงขั้นตอนการลงนามในสัญญา จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะมาเปิดโอกาสให้ฝ่าย กทม. เปลี่ยนใจยกเลิกไม่ปฏิบัติตามสัญญาได้ในกำหนดระยะเวลา 30 วันก่อนการเปิด L/C
กำหนดวันให้ทำการเปิด L/C นั้น มีนัยสำคัญที่เป็นวันเริ่มต้น นับระยะเวลาที่กำหนดให้ฝ่ายผู้ขายทำการส่งมอบสินค้าเป็นคราวๆ และกำหนดให้ผู้ซื้อชำระราคาในแต่ละงวดตามที่ระบุไว้ในสัญญาจนกว่าการซื้อขายทั้งโครงการจะเสร็จสิ้นและครบถ้วน
2.8 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2548 คณะกรรมการพิจารณารายละเอียดในการจัดซื้อฯ ได้มีบันทึกถึงนายอภิรักษ์ฯ โดยเสนอให้รับผลสรุปการเจรจากับบริษัท สไตเออร์ฯ ที่ กทม.ได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท และให้มีหนังสือถึงธนาคารกรุงไทยเพื่อแจ้งการเปิด L/C ตามสัญญาซื้อขาย ดังนั้นในวันที่ 10 มกราคม 2548 นายอภิรักษ์ฯ จึงได้มีหนังสือไปยังธนาคารกรุงไทยเพื่อขอเปิด L/C ตามข้อกำหนด AOU และสัญญาซื้อขาย
3. การดำเนินการของนายอภิรักษ์ฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบโครงการฯ
นายอภิรักษ์ฯ ได้ใช้ความพยายามให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง จึงได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกระทรวงมหาดไทยและ กทม. เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของสัญญา ซึ่งไม่ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลสมัยที่แล้ว แต่ต่อมาในรัฐบาลปัจจุบัน กระทรวงมหาดไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบด้วยผู้แทนจาก 7 กระทรวง คือ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กทม. และสำนักงานอัยการสูงสุด
ก่อนหน้านั้น นายอภิรักษ์ฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาโดยมีศาสตราจารย์ ดร.บุญเสริม วีสกุล เป็นประธานกรรมการ โดยมีผู้แทนจากสถาบันการศึกษา รวมทั้งผู้แทนวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยร่วมเป็นกรรมการ และได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสัญญาฯ โดยมี ดร.วัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานกรรมการ ทั้งยังได้มีหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อขอหารือแนวทางในการดำเนินการ ได้มีหนังสือถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อขอให้ตรวจสอบการดำเนินงานตามโครงการ ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหารือเกี่ยวกับแนวทางการยกเลิกหรือระงับการจัดซื้อ ตลอดจนได้มีหนังสือถึง คตส. เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาว่าจะยกเลิกสัญญาได้หรือไม่
จากการที่ กทม. ได้ขอทราบข้อมูลจาก คตส. ก็ดี การส่งข้อหารือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดก็ดี การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาก็ดี รวมทั้งการที่กระทรวงมหาดไทยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งได้ข้อสรุปสำหรับในชั้นนี้ว่า สัญญายังมีผลผูกพันอยู่โดยสมบูรณ์จนกว่าจะมีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่าสัญญาได้เกิดจากการฉ้อฉลหรือหลอกลวงของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง หรือมีหลักฐานประจักษ์เป็นที่ยุติว่ามีบุคคลใดที่เกี่ยวข้องในการทำสัญญาได้กระทำการโดยทุจริต
หากเมื่อใดปรากฏประจักษ์หลักฐานเช่นว่านั้น นายอภิรักษ์ฯ พร้อมที่จะแจ้งยกเลิกสัญญากับคู่สัญญาโดยทันที และนี่เองคือสาเหตุที่ กทม. ได้แจ้งต่อคู่สัญญาขอชะลอการปฏิบัติตามสัญญา โดยยังมิได้มีการตรวจรับสินค้าที่ผู้ขายได้ส่งมาถึงประเทศไทยนานแล้ว
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน
นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง
ประธานที่ปรึกษากฎหมาย ของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ก.ค. 2550--จบ--
ประธานที่ปรึกษากฎหมายของนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
กรณีโครงการรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย กทม.
หมายเหตุ — เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 24 กรกฎาคมนี้ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) พร้อมด้วยนายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง ประธานที่ปรึกษากฎหมายของนายอภิรักษ์ และนาย อนันต์ ศิริภัสราภรณ์ รองปลัดกทม. เปิดแถลงข่าวที่ศาลาว่าการกทม. กรณีโครงการจัดซื้อรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย พร้อมกับแจกจ่ายเอกสารข้อเท็จจริงกรณีการจัดซื้อรถดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยที่กำลังเป็นข่าวในขณะนี้
ตามที่กรณีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร ยังคงเป็นข่าวสารต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่องมา และมีนัยของข่าวสารประการหนึ่งที่เกี่ยวพันถึงผู้ว่าราชการ กทม. (นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน) ว่า อาจจะมีส่วนกระทำผิดเพราะได้เป็นผู้เปิดเลตเตอร์ออฟเครดิต (L/C) ให้แก่คู่สัญญา (บริษัท สไตเออร์ฯ) อันเป็นเหตุให้สัญญาซื้อขายเกิดผลผูกพันขึ้น
เรื่องนี้นายอภิรักษ์ฯ ได้ให้ถ้อยคำและยื่นคำชี้แจงต่อ คตส.ในรายละเอียดแล้ว แต่เพื่อความเข้าใจของประชาชนชาวกรุงเทพมหานครและประชาชนโดยทั่วไป ขอเรียนว่าการเปิด L/C ตามสัญญาซื้อขายรถดับเพลิง เรือดับเพลิง และอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัย (Purchase/Sale Agreement) นั้นมีที่มาและเหตุผล ดังนี้
1. การดำเนินโครงการฯ ในช่วงเวลาก่อนที่นายอภิรักษ์ฯ เข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. (28 พฤษภาคม 2546 ถึง 6 กันยายน 2547 รวมเวลา 1 ปี 3 เดือน)
โครงการฯ นี้ได้เริ่มตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2546 โดยบริษัท สไตเออร์ฯ ได้มีหนังสือเสนอราคารถดับเพิลงและอุปกรณ์ฯ ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายวันมูฮัมหมัดนอร์ มะทา) และต่อมาเอกอัครราชทูตออสเตรียจึงได้เสนอโครงการขายรถดับเพลิง โดยให้เป็นการดำเนินการแบบ G to G พร้อมการค้าต่างตอบแทน 100% จนกระทั่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2547 อนุมัติโครงการจัดซื้อดังกล่าว โดยใช้เงินงบประมาณของรัฐบาลถึง 60% และเป็นงบประมาณของ กทม. 40% และให้มีการทำการค้าต่างตอบแทนกับประเทศออสเตรียในมูลค่าเท่าๆ กัน
กระบวนการจัดทำสัญญาที่เกี่ยวข้องเริ่มตั้งแต่การทำสัญญาผูกพันเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2547 ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรีย ที่เรียกว่า Agreement of Understanding หรือ AOU โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายโภคิน พลกุล) และเอกอัครราชทูตออสเตรียในขณะนั้นเป็นผู้
ลงนาม สัญญา AOU ฉบับนี้ถือเป็นสัญญาหลักอันทำให้ต้องมีการทำสัญญาเป็นชุดอีก 2 ฉบับ คือ สัญญาซื้อขายรถดับเพลิงและอุปกรณ์ฯ (Purchase/Sale Agreement) ซึ่งได้มีการลงนามวันที่ 27 สิงหาคม 2547 ระหว่าง กทม. (โดยนายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าฯ กทม.) และบริษัท สไตเออร์ฯ กับสัญญาการค้าต่างตอบแทน (Counterpurchase Agreement) ระหว่างกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กับ บริษัท สไตเออร์ฯ เช่นกัน เพื่อให้ฝ่ายออสเตรียต้องรับซื้อผลิตภัณฑ์การเกษตรจากประเทศไทย
เนื่องจาก AOU และสัญญาซื้อขายที่ได้ลงนามกันไว้ดังกล่าวได้มีข้อกำหนดให้ กทม. ต้องเปิด L/C ให้แก่บริษัท สไตเออร์ฯ ภายใน 30 วัน ดังนั้นในวันที่ 31 สิงหาคม 2547 นายสมัคร สุนทรเวช ผู้ว่าฯ กทม. จึงได้มีหนังสือไปยังธนาคารกรุงไทยเพื่อขอเปิด L/C
2. การดำเนินการของนายอภิรักษ์ฯ เมื่อเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าราชการ กทม. (ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2547 เป็นต้นมา)
2.1 ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้นจากสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) โดยได้สั่งให้มีการเปรียบเทียบกับราคาจัดซื้อรถดับเพลิงที่ตำรวจเคยซื้อมา ซึ่งได้รับรายงานว่าได้มีการซื้อจากบริษัท สไตเออร์ฯ เมื่อปี 2540 โดยการจัดซื้อของ กทม.มีราคาสูงกว่า 14.58% แต่มีเหตุผลประกอบทั้งในเรื่อง Spec ที่สูงกว่า และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี
2.2 เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2547 นายอภิรักษ์ฯ จึงได้มีหนังสือไปยังธนาคารกรุงไทยเพื่อขอให้ระงับการเปิด L/C ไว้ก่อน เพราะในขณะนั้นยังไม่ปรากฏว่าได้มีการทำสัญญาค้าต่างตอบแทน และเพื่อให้มีเวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงมากขึ้น
2.3 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2547 นายอภิรักษ์ฯ ได้มีหนังสือไปยังอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เพื่อขอทราบความคืบหน้าการทำสัญญาค้าต่างตอบแทนกับบริษัท สไตเออร์ฯ ซึ่งต่อมาได้รับแจ้งว่าได้มีการลงนามในสัญญาแล้วเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2547
2.4 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2547 และ 12 ตุลาคม 2547 นายอภิรักษ์ฯ ได้มีหนังสือไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายโภคิน พลกุล) เพื่อขอให้พิจารณาทบทวนการจัดซื้อ เพราะขณะนั้นเข้าใจว่าการค้าต่างตอบแทนยังมิได้เป็นไปตามขั้นตอนของประกาศกระทรวงพาณิชย์ และมีผู้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.ว่ามีการดำเนินการไม่ถูกต้อง แต่ปรากฏว่ากระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือสั่งการถึง 4 ฉบับ กล่าวคือ ฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2547 และ 7 ตุลาคม 2547 (โดยนายสมศักดิ์ คุณเงิน ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรี) ฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2547 (โดยนายโภคิน พลกุล) และฉบับลงวันที่ 16 ธันวาคม 2547 (โดยนายประชา มาลีนนท์) โดยหนังสือดังกล่าวเร่งรัดการเปิด L/C ตามที่กำหนดไว้ใน AOU และสัญญาซื้อขายโดยทันทีเพื่อไม่ให้กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
2.5 นับตั้งแต่ที่นายอภิรักษ์ฯ ได้ชะลอการเปิด L/C เป็นต้นมา ปรากฏว่าบริษัท สไตเออร์ฯ ได้มีหนังสือมายัง กทม. และกระทรวงมหาดไทย หลายฉบับ โดยกล่าวถึงความล่าช้าของการเปิด L/C และขอยืนยันให้ กทม.ดำเนินการเปิด L/C ตามข้อผูกพันใน AOU และสัญญาซื้อขายโดยทันที นอกจากนั้น ทั้งเอกอัครราชทูตออสเตรียและที่ปรึกษาการพาณิชย์ประเทศออสเตรียก็ได้เร่งรัดให้ กทม. เปิด L/C เช่นเดียวกัน
2.6 หลังจากที่เอกอัคราชทูตออสเตรียและกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือเร่งรัดให้กรุงเทพมหานครดำเนินการเปิด L/C ดังนั้นในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2547 นายอภิรักษ์ฯ จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณารายละเอียดในการจัดซื้อรถดับเพลิงและอุปกรณ์ โดยมีนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานกรรมการ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เป็นรองประธาน มีผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้อำนวยการสำนักงานกฎหมายและคดี รวมทั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอกได้แก่ อดีตผู้บังคับการตำรวจดับเพลิง และตัวแทนสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นกรรมการ โดยให้คณะกรรมการชุดดังกล่าวดำเนินการพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดในการจัดซื้อ ประสานงานขอรายละเอียด หรือเชิญเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือให้ข้อมูล และให้เจรจาต่อรองกับ บริษัทสไตเออร์
คณะกรรมการฯ ได้มีการประชุมพิจารณาในเรื่องที่ได้รับมอบหมายถึง 7 ครั้ง โดยได้เจรจาต่อรองกับ บริษัท สไตเออร์ ในเรื่องการปรับลดรายการสินค้าและการต่อรองราคา แต่บริษัท สไตเออร์ ไม่ยินยอมโดยอ้างข้อผูกพันตาม เอโอยู อย่างไรก็ตาม จากผลการเจรจาทำให้ กรุงเทพมหานครได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจำนวนประมาณ 250 ล้านบาท
นอกจากนี้ในการประชุมของคณะกรรมการฯ ดังกล่าวยังได้มีการพิจารณาถึงหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทยที่ได้เร่งรัดให้กรุงเทพมหานคร เปิด L/C รวม 4 ฉบับ ซึ่งคณะกรรมการฯให้ความเห็นว่าหนังสือสั่งการดังกล่าวเป็นคำสั่งที่กรุงเทพมหานครจะต้องปฏิบัติตาม และ ยังได้พิจารณาหนังสือของ บริษัท สไตเออร์ ฉบับลงวันที่ 29 ธันวาคม 2547 ที่ได้เร่งรัดให้เปิด L/C ภายใน 10 วัน โดยอ้างว่ากรุงเทพมหานครมีหน้าที่ ที่จะต้องดำเนินการตามข้อผูกพันใน เอโอยู ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลออสเตรีย และข้อตกลงซื้อขายระหว่างกรุงเทพมหานคร กับ บริษัท สไตเออร์ และได้พิจารณาหนังสือเร่งรัดจากที่ปรึกษาการพาณิชย์ของรัฐบาลออสเตรีย ฉบับลงวันที่ 7 มกราคม 2548 ที่ขอให้กรุงเทพมหานครต้องเปิด L/C ภายในวันที่ 10 มกราคม 2548 รวมทั้งได้พิจารณาถึงผลกระทบตามกฎหมายในกรณีที่กรุงเทพมหานครไม่เปิด L/C ซึ่งได้ข้อสรุปว่า บริษัท สไตเออร์สามารถดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ ดังนั้นในวันที่ 7 มกราคม 2548 คณะกรรมการฯ จึงได้มีบันทึกเรียนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อเสนอให้กรุงเทพมหานครรับข้อเสนอตามผลการเจรจากับ บริษัท สไตเออร์ และมีหนังสือถึงธนาคารกรุงไทยเพื่อมอบอำนาจให้นายนิยม กรรณสูต ผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ดำเนินการเปิด L/C เพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลงซื้อขาย
2.7 นายอภิรักษ์ฯ ได้หารือกับสำนักกฎหมายและคดีของ กทม. และนักกฎหมายอื่นๆ ที่มีความรู้เชี่ยวชาญในด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ก็ได้รับความเห็นว่า การทำความเข้าใจกับข้อสัญญาใดๆ จะพิจารณาเพียงถ้อยคำในข้อสัญญาข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ จะต้องพิจารณาเนื้อหาสาระโดยรวมของสัญญาทั้งฉบับ และยิ่งในกรณีที่มีสัญญาเกี่ยวโยงกันเป็นชุดดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็จะต้องพิจารณาสาระที่ผูกโยงเกี่ยวพันกันทั้งหมดด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่อยู่ในวงการธุรกิจการค้าย่อมทราบดีว่าในการทำสัญญาซื้อขายระหว่างประเทศ ผู้ซื้อจะต้องให้ความมั่นใจในการได้รับชำระราคาให้แก่ผู้ขาย จึงนิยมที่จะใช้วิธีให้ฝ่ายผู้ซื้อต้องดำเนินการเปิด L/C ไปยังธนาคารตัวแทนของผู้ขายก่อน เช่นเดียวกันกับกรณีการจัดซื้อตามโครงการนี้ ที่ AOU และสัญญาซื้อขายได้กำหนดให้ กทม. ต้องเปิด L/C ไปยังธนาคารตัวแทนของบริษัท สไตเออร์ฯ และเหตุที่ได้กำหนดว่าต้องเปิด L/C ภายใน 30 วันนั้น มิใช่ข้อที่เปิดโอกาสหรือระยะเวลาไว้ให้ฝ่าย กทม. เปลี่ยนใจไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาได้ หากแต่เป็นกำหนดระยะเวลาที่ผู้ขายและผู้ซื้อทราบดีว่าการเปิด L/C จะต้องมีกระบวนการทางสินเชื่อของธนาคาร เริ่มตั้งแต่ กทม.จะต้องยื่นคำขอเปิด L/C ซึ่งมีลักษณะเช่นเดียวกับการขออนุมัติสินเชื่อที่จะต้องผ่านขั้นตอนการพิจารณาและอนุมัติของคณะกรรมการสินเชื่อและคณะกรรมการบริหารของธนาคารโดยลำดับ เพราะมีวงเงินที่สูงหลายพันล้านบาท ระยะเวลา 30 วันดังกล่าวจึงกำหนดไว้เพื่อการนี้เอง
สัญญาซื้อขายดังกล่าวนี้มีมูลค่ากว่า 6 พันล้านบาท ก่อนที่จะได้มีการทำสัญญาย่อมต้องถือว่าได้มีการเจรจา มีการวิเคราะห์ถึงเหตุผลต่างๆ และความพร้อมของแต่ละฝ่ายแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนราชการนั้น ก่อนการลงนามสัญญาก็จะต้องมีงบประมาณซึ่งเรื่องนี้รัฐบาลก็ได้อนุมัติวงเงินแล้ว นอกจากนั้นฝ่ายผู้ขายก็จะต้องใช้ทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายต่างๆ กว่าจะถึงขั้นตอนการลงนามในสัญญา จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะมาเปิดโอกาสให้ฝ่าย กทม. เปลี่ยนใจยกเลิกไม่ปฏิบัติตามสัญญาได้ในกำหนดระยะเวลา 30 วันก่อนการเปิด L/C
กำหนดวันให้ทำการเปิด L/C นั้น มีนัยสำคัญที่เป็นวันเริ่มต้น นับระยะเวลาที่กำหนดให้ฝ่ายผู้ขายทำการส่งมอบสินค้าเป็นคราวๆ และกำหนดให้ผู้ซื้อชำระราคาในแต่ละงวดตามที่ระบุไว้ในสัญญาจนกว่าการซื้อขายทั้งโครงการจะเสร็จสิ้นและครบถ้วน
2.8 เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2548 คณะกรรมการพิจารณารายละเอียดในการจัดซื้อฯ ได้มีบันทึกถึงนายอภิรักษ์ฯ โดยเสนอให้รับผลสรุปการเจรจากับบริษัท สไตเออร์ฯ ที่ กทม.ได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท และให้มีหนังสือถึงธนาคารกรุงไทยเพื่อแจ้งการเปิด L/C ตามสัญญาซื้อขาย ดังนั้นในวันที่ 10 มกราคม 2548 นายอภิรักษ์ฯ จึงได้มีหนังสือไปยังธนาคารกรุงไทยเพื่อขอเปิด L/C ตามข้อกำหนด AOU และสัญญาซื้อขาย
3. การดำเนินการของนายอภิรักษ์ฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบโครงการฯ
นายอภิรักษ์ฯ ได้ใช้ความพยายามให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง จึงได้ขอให้กระทรวงมหาดไทยแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างกระทรวงมหาดไทยและ กทม. เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของสัญญา ซึ่งไม่ได้รับความร่วมมือจากกระทรวงมหาดไทยในรัฐบาลสมัยที่แล้ว แต่ต่อมาในรัฐบาลปัจจุบัน กระทรวงมหาดไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบด้วยผู้แทนจาก 7 กระทรวง คือ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กทม. และสำนักงานอัยการสูงสุด
ก่อนหน้านั้น นายอภิรักษ์ฯ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาโดยมีศาสตราจารย์ ดร.บุญเสริม วีสกุล เป็นประธานกรรมการ โดยมีผู้แทนจากสถาบันการศึกษา รวมทั้งผู้แทนวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยร่วมเป็นกรรมการ และได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสัญญาฯ โดยมี ดร.วัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานกรรมการ ทั้งยังได้มีหนังสือถึงอัยการสูงสุดเพื่อขอหารือแนวทางในการดำเนินการ ได้มีหนังสือถึงผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อขอให้ตรวจสอบการดำเนินงานตามโครงการ ได้มีหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยหารือเกี่ยวกับแนวทางการยกเลิกหรือระงับการจัดซื้อ ตลอดจนได้มีหนังสือถึง คตส. เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาว่าจะยกเลิกสัญญาได้หรือไม่
จากการที่ กทม. ได้ขอทราบข้อมูลจาก คตส. ก็ดี การส่งข้อหารือไปยังสำนักงานอัยการสูงสุดก็ดี การแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบสัญญาก็ดี รวมทั้งการที่กระทรวงมหาดไทยได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งได้ข้อสรุปสำหรับในชั้นนี้ว่า สัญญายังมีผลผูกพันอยู่โดยสมบูรณ์จนกว่าจะมีข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ว่าสัญญาได้เกิดจากการฉ้อฉลหรือหลอกลวงของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง หรือมีหลักฐานประจักษ์เป็นที่ยุติว่ามีบุคคลใดที่เกี่ยวข้องในการทำสัญญาได้กระทำการโดยทุจริต
หากเมื่อใดปรากฏประจักษ์หลักฐานเช่นว่านั้น นายอภิรักษ์ฯ พร้อมที่จะแจ้งยกเลิกสัญญากับคู่สัญญาโดยทันที และนี่เองคือสาเหตุที่ กทม. ได้แจ้งต่อคู่สัญญาขอชะลอการปฏิบัติตามสัญญา โดยยังมิได้มีการตรวจรับสินค้าที่ผู้ขายได้ส่งมาถึงประเทศไทยนานแล้ว
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบโดยทั่วกัน
นายทวีศักดิ์ ณ ตะกั่วทุ่ง
ประธานที่ปรึกษากฎหมาย ของ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ก.ค. 2550--จบ--