จากการสัมมนา “คนไทยฉลาด แข็งแรง”
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐
www.abhisit.org
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมักจะถูกสอบถามเรื่องการเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญเมื่อวันอังคารที่ ๘ พฤษภาคม ซึ่งผู้สนใจคงจะได้เห็นข่าวคราวเรื่องนี้พอสมควร สำหรับท่านที่ได้อ่านบทความสัปดาห์ที่แล้ว (บทความใน www.abhisit.org เรื่อง นายกฯพบหัวหน้าพรรคการเมืองครั้งที่ ๒ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ) ผมคงสรุปสั้นๆว่า ที่ได้ตั้งประเด็นไว้ทั้ง ๔ ประเด็น ได้มีการนำเสนอในที่ประชุมอย่างครบถ้วน จากนี้ไปก็คงจะต้องรอดูว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) รัฐบาล และ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะมีท่าทีและการตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างไร
สัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน ผมได้เริ่มต้นการจัดสัมมนาเกี่ยวกับปัญหาของประเทศ ตามที่ได้เคยตั้งประเด็นไว้ในบทความ ๒ สัปดาห์ก่อน (บทความใน www.abhisit.org เรื่อง พรรคประชาธิปัตย์กับอนาคตประเทศไทย วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๐ ) โดยเริ่มต้นจากการสัมมนาในหัวข้อ “คนไทยฉลาด แข็งแรง” (ผมจะจัดเรื่องคุณธรรมโดยเฉพาะต่างหาก) โดยได้รับเกียรติและความร่วมมือจากนักวิชาการ ข้าราชการ ผู้แทนภาคประชาชน มาเป็นวิทยากร ครั้งละประมาณ ๑๐ — ๑๒ ท่าน (หัวข้อ “คนไทยฉลาด แข็งแรง” นี้จัด ๒ ครั้ง) และผมได้เชิญผู้สนใจในพรรคมาร่วมฟัง (ท่านอดีตนายกฯชวน ให้เกียรติมาร่วมฟังอยู่ตลอดทั้ง ๒ วันด้วย)
ที่เริ่มต้นจากหัวข้อนี้ เพราะผมยังมั่นใจว่า ปัญหาของประเทศเรา ความทุกข์ของประชาชนจะแก้ไขได้ คุณภาพของคนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ข้อมูล ข่าวสาร งานวิจัย ทุกด้านก็บ่งชี้ว่าเรามีวิกฤติเรื่องนี้จริงๆ
ตลอด ๘ ชั่วโมงของการสัมมนา ๒ วัน เป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ามาก วิทยากรทุกท่านนำเสนอด้วยความกระตือรือร้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายท่านอยากให้นักการเมืองได้รับรู้ รับทราบ มุมมอง และข้อมูลของท่าน ผมได้ตั้งโจทย์ง่ายๆ ให้ทุกท่านมองไปข้างหน้าในทางบวกด้วยความหวังว่า เราจะช่วยกันทำให้ คนไทยฉลาดแข็งแรงได้อย่างไร หากจะมีการพูดถึงปัญหาบ้าง ก็เพื่อให้เห็นทางออกที่รออยู่ข้างหน้า สำหรับประเด็นต่างๆที่นำเสนอนั้น พวกเราที่เป็นนักการเมืองก็จะนำไปประชุมสังเคราะห์ต่อไป
แต่สิ่งที่เรามองเห็นทันที คือ ภารกิจที่รออยู่ข้างหนา ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก
เพราะหากเรียงลำดับไปจากการเริ่มต้นชีวิตของคนไทยคนหนึ่งจนถึงช่วงสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ พวกเราแต่ละคน ครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น และรัฐ จะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิด และ แนวปฏิบัติอีกมาก โดยผมจะฉายภาพย่อๆดังนี้
๑. ความฉลาดแข็งแรงเริ่มตั้งแต่ก่อนเกิด พัฒนาการของคนเริ่มตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ หากการเริ่มต้นครอบครัวเป็นไปอย่างอบอุ่น ถูกต้องตามหลักสุขอนามัย เด็กของเราก็จะมีศักยภาพสูง การสร้างคนไทยฉลาดแข็งแรง จึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่การให้ความรู้แก่คนที่จะรู้จักวางแผนในการมีครอบครัว ให้การดูแลในเรื่องโภชนาการสำหรับคนท้องและเด็กเกิดใหม่
๒. ๓-๖ ปีแรกของชีวิตมีความสำคัญอย่างยิ่ง หลายคนคงคุ้นเคยกับคำกล่าวที่ว่า “กว่าจะถึงอนุบาลก็สายแล้ว” แต่ปัจจุบันเรากลับพบว่า ด้วยวิถีชีวิตที่ถูกปัจจัยทางเศรษฐกิจกดดัน เด็กเล็กของเราส่วนใหญ่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูโดยพ่อหรือแม่ การพัฒนาเด็กเล็กถูกมองข้าม โดยส่วนใหญ่การศึกษาของเด็กถูกมองว่าเริ่มต้นจากการศึกษาภาคบังคับ การจะทำให้คนไทยฉลาดแข็งแรงได้ จึงต้องมีการปรับนโยบายครั้งใหญ่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กเล็ก
๓. การศึกษาต้องมุ่งให้คนคิดเป็น มีทักษะชีวิต นับวันลูกหลานของเราเรียนมากขึ้น แต่มีความรู้ความเข้าใจและรู้จักคิดน้อยลง หลักสูตรที่มีการปรับปรุงแต่ละครั้งกลับพยายามยัดเยียดเนื้อหาสาระเกินความจำเป็น ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาแทนที่จะให้ทักษะความรู้พื้นฐานเท่าที่จำเป็น ฝึกให้คนใฝ่รู้ และสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง ตลอดจนการทำให้การศึกษามีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตจริงและสังคมรอบตัว
๔. สังคมต้องจัดพื้นที่สร้างสรรค์ให้เยาวชน คนรุ่นใหม่เรียนรู้จากสื่อสารมวลชน เพื่อนฝูง และ อินเตอร์เน็ตมากที่สุด การปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องจึงต้องทำผ่านสื่อเหล่านี้ ลดเนื้อหาและกิจกรรมที่ชักจูงไปในทางที่ผิด เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
๕. อุดมศึกษาต้องสอดคล้องกับความต้องการทางสังคมและเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่สมดุลของการสร้างบุคลากรต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนการศึกษาสายอาชีพต่อสายสามัญ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่อสังคมศาสตร์ โดยต้องเร่งระดมการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆของสังคมมากกว่านี้
๖. กระจายอำนาจให้โรงเรียน การแก้ปัญหาการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการจะสำเร็จได้ ต้องให้โรงเรียนเป็นอิสระในการคิด จัดการ และบริหารการศึกษา โดยกระทรวง และพื้นที่ทำหน้าที่เพียงการกำหนดนโยบาย กำกับดูแลมาตรฐานและจัดทรัพยากรสนับสนุน หากยังคงใช้วิธีออกคำสั่งจากส่วนกลาง ความสร้างสรรค์ในระบบการศึกษาจะไม่เกิดขึ้น
๗. ส่งเสริมวิชาชีพครู คืนครูให้นักเรียน คุณภาพของระบบการศึกษาผูกติดอยู่กับคุณภาพของครู ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ต้องได้รับแรงจูงใจ ส่งเสริม และพัฒนามากกว่าในปัจจุบันมาก นอกจากนี้ ภาระงานของครูในปัจจุบัน รวมไปถึงการทำผลงานเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพ กำลังดึงเวลาของครูจากภารกิจที่สำคัญที่สุด คือ การสอนและดูแลนักเรียน จำเป็นจะต้องมีการปรับระบบครั้งใหญ่ เพื่อให้เวลาและจิตใจของครู ทุ่มเทให้ลูกศิษย์อย่างเต็มที่
๘. สร้างสังคมเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้ไม่ได้จบลงที่การศึกษาในระบบ พื้นที่การเรียนรู้มีอยู่ทุกแห่งทั่วประเทศ ทุกฝ่ายควรส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัยมีโอกาสเรียนรู้ จากปราชญ์ชาวบ้าน พิพิธภัณฑ์ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
๙. รณรงค์เรื่องการดูแลสุขภาพ ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่เจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดจากพฤติกรรม ทั้งในแง่การใช้ชีวิตส่วนตัว (การกิน การไม่ออกกำลังกาย เพศสัมพันธ์ การเดินทาง) และการทำงาน (อยู่กับสารพิษ ความเครียด) ซึ่งหากมีความตื่นตัวในเรื่องเหล่านี้ก็จะลดความเจ็บไข้ได้ป่วย และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้มาก
๑๐. เดินหน้าหลักประกันสุขภาพ จัดบริการให้มีคุณภาพ จะอย่างไรก็ตาม การสร้างหลัก
ประกันด้านการรักษาพยาบาลต้องเดินหน้าต่อ โดยมีการปรับปรุงคุณภาพ ทั้งนี้ต้องมีการปรับรื้อระบบข้อมูล การผลิตและกระจายบุคลากรทางการแพทย์ การปฏิรูประบบยา รวมไปถึงการทบทวนนโยบายที่ดึงทรัพยากรทางด้านนี้ไปยังผู้มีกำลังซื้อสูง และการแยกระบบดูแลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นพิเศษ เช่น โรคไต
นี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ที่เป็นภารกิจของสังคมที่รออยู่ข้างหน้า ผมจะจัดสัมมนาในเรื่อง
คุณธรรม การจัดระบบสวัสดิการให้คนไทยทุกคน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เพื่อจัดทำวาระประชาชนในการพัฒนาคนต่อไป
เพราะเงื่อนไขข้อสำคัญข้อหนึ่งในการสร้างบ้านเมืองตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ
เงื่อนไขความรู้ ในความหมายของความรู้ รอบคอบและระมัดระวัง
…………………………
* สำหรับผู้สนใจ สัมมนาครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ ๑๖ พฤษภาคม เรื่อง “เศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ”
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 พ.ค. 2550--จบ--
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐
www.abhisit.org
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมมักจะถูกสอบถามเรื่องการเข้าพบนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ความเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญเมื่อวันอังคารที่ ๘ พฤษภาคม ซึ่งผู้สนใจคงจะได้เห็นข่าวคราวเรื่องนี้พอสมควร สำหรับท่านที่ได้อ่านบทความสัปดาห์ที่แล้ว (บทความใน www.abhisit.org เรื่อง นายกฯพบหัวหน้าพรรคการเมืองครั้งที่ ๒ วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ) ผมคงสรุปสั้นๆว่า ที่ได้ตั้งประเด็นไว้ทั้ง ๔ ประเด็น ได้มีการนำเสนอในที่ประชุมอย่างครบถ้วน จากนี้ไปก็คงจะต้องรอดูว่า สภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) รัฐบาล และ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะมีท่าทีและการตัดสินใจในประเด็นที่เกี่ยวข้องต่อไปอย่างไร
สัปดาห์ที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน ผมได้เริ่มต้นการจัดสัมมนาเกี่ยวกับปัญหาของประเทศ ตามที่ได้เคยตั้งประเด็นไว้ในบทความ ๒ สัปดาห์ก่อน (บทความใน www.abhisit.org เรื่อง พรรคประชาธิปัตย์กับอนาคตประเทศไทย วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๐ ) โดยเริ่มต้นจากการสัมมนาในหัวข้อ “คนไทยฉลาด แข็งแรง” (ผมจะจัดเรื่องคุณธรรมโดยเฉพาะต่างหาก) โดยได้รับเกียรติและความร่วมมือจากนักวิชาการ ข้าราชการ ผู้แทนภาคประชาชน มาเป็นวิทยากร ครั้งละประมาณ ๑๐ — ๑๒ ท่าน (หัวข้อ “คนไทยฉลาด แข็งแรง” นี้จัด ๒ ครั้ง) และผมได้เชิญผู้สนใจในพรรคมาร่วมฟัง (ท่านอดีตนายกฯชวน ให้เกียรติมาร่วมฟังอยู่ตลอดทั้ง ๒ วันด้วย)
ที่เริ่มต้นจากหัวข้อนี้ เพราะผมยังมั่นใจว่า ปัญหาของประเทศเรา ความทุกข์ของประชาชนจะแก้ไขได้ คุณภาพของคนเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ข้อมูล ข่าวสาร งานวิจัย ทุกด้านก็บ่งชี้ว่าเรามีวิกฤติเรื่องนี้จริงๆ
ตลอด ๘ ชั่วโมงของการสัมมนา ๒ วัน เป็นการใช้เวลาที่คุ้มค่ามาก วิทยากรทุกท่านนำเสนอด้วยความกระตือรือร้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายท่านอยากให้นักการเมืองได้รับรู้ รับทราบ มุมมอง และข้อมูลของท่าน ผมได้ตั้งโจทย์ง่ายๆ ให้ทุกท่านมองไปข้างหน้าในทางบวกด้วยความหวังว่า เราจะช่วยกันทำให้ คนไทยฉลาดแข็งแรงได้อย่างไร หากจะมีการพูดถึงปัญหาบ้าง ก็เพื่อให้เห็นทางออกที่รออยู่ข้างหน้า สำหรับประเด็นต่างๆที่นำเสนอนั้น พวกเราที่เป็นนักการเมืองก็จะนำไปประชุมสังเคราะห์ต่อไป
แต่สิ่งที่เรามองเห็นทันที คือ ภารกิจที่รออยู่ข้างหนา ยิ่งใหญ่และสำคัญมาก
เพราะหากเรียงลำดับไปจากการเริ่มต้นชีวิตของคนไทยคนหนึ่งจนถึงช่วงสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ พวกเราแต่ละคน ครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น และรัฐ จะต้องเปลี่ยนแปลงวิธีคิด และ แนวปฏิบัติอีกมาก โดยผมจะฉายภาพย่อๆดังนี้
๑. ความฉลาดแข็งแรงเริ่มตั้งแต่ก่อนเกิด พัฒนาการของคนเริ่มตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ หากการเริ่มต้นครอบครัวเป็นไปอย่างอบอุ่น ถูกต้องตามหลักสุขอนามัย เด็กของเราก็จะมีศักยภาพสูง การสร้างคนไทยฉลาดแข็งแรง จึงต้องเริ่มต้นตั้งแต่การให้ความรู้แก่คนที่จะรู้จักวางแผนในการมีครอบครัว ให้การดูแลในเรื่องโภชนาการสำหรับคนท้องและเด็กเกิดใหม่
๒. ๓-๖ ปีแรกของชีวิตมีความสำคัญอย่างยิ่ง หลายคนคงคุ้นเคยกับคำกล่าวที่ว่า “กว่าจะถึงอนุบาลก็สายแล้ว” แต่ปัจจุบันเรากลับพบว่า ด้วยวิถีชีวิตที่ถูกปัจจัยทางเศรษฐกิจกดดัน เด็กเล็กของเราส่วนใหญ่ไม่ได้รับการเลี้ยงดูโดยพ่อหรือแม่ การพัฒนาเด็กเล็กถูกมองข้าม โดยส่วนใหญ่การศึกษาของเด็กถูกมองว่าเริ่มต้นจากการศึกษาภาคบังคับ การจะทำให้คนไทยฉลาดแข็งแรงได้ จึงต้องมีการปรับนโยบายครั้งใหญ่เกี่ยวกับการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กเล็ก
๓. การศึกษาต้องมุ่งให้คนคิดเป็น มีทักษะชีวิต นับวันลูกหลานของเราเรียนมากขึ้น แต่มีความรู้ความเข้าใจและรู้จักคิดน้อยลง หลักสูตรที่มีการปรับปรุงแต่ละครั้งกลับพยายามยัดเยียดเนื้อหาสาระเกินความจำเป็น ตั้งแต่ระดับประถมศึกษาแทนที่จะให้ทักษะความรู้พื้นฐานเท่าที่จำเป็น ฝึกให้คนใฝ่รู้ และสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง ตลอดจนการทำให้การศึกษามีส่วนสัมพันธ์กับชีวิตจริงและสังคมรอบตัว
๔. สังคมต้องจัดพื้นที่สร้างสรรค์ให้เยาวชน คนรุ่นใหม่เรียนรู้จากสื่อสารมวลชน เพื่อนฝูง และ อินเตอร์เน็ตมากที่สุด การปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องจึงต้องทำผ่านสื่อเหล่านี้ ลดเนื้อหาและกิจกรรมที่ชักจูงไปในทางที่ผิด เพื่อลดปัญหาอาชญากรรม และพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
๕. อุดมศึกษาต้องสอดคล้องกับความต้องการทางสังคมและเศรษฐกิจ ปัญหาความไม่สมดุลของการสร้างบุคลากรต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสัดส่วนการศึกษาสายอาชีพต่อสายสามัญ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่อสังคมศาสตร์ โดยต้องเร่งระดมการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆของสังคมมากกว่านี้
๖. กระจายอำนาจให้โรงเรียน การแก้ปัญหาการศึกษาที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการจะสำเร็จได้ ต้องให้โรงเรียนเป็นอิสระในการคิด จัดการ และบริหารการศึกษา โดยกระทรวง และพื้นที่ทำหน้าที่เพียงการกำหนดนโยบาย กำกับดูแลมาตรฐานและจัดทรัพยากรสนับสนุน หากยังคงใช้วิธีออกคำสั่งจากส่วนกลาง ความสร้างสรรค์ในระบบการศึกษาจะไม่เกิดขึ้น
๗. ส่งเสริมวิชาชีพครู คืนครูให้นักเรียน คุณภาพของระบบการศึกษาผูกติดอยู่กับคุณภาพของครู ซึ่งเป็นวิชาชีพที่ต้องได้รับแรงจูงใจ ส่งเสริม และพัฒนามากกว่าในปัจจุบันมาก นอกจากนี้ ภาระงานของครูในปัจจุบัน รวมไปถึงการทำผลงานเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาชีพ กำลังดึงเวลาของครูจากภารกิจที่สำคัญที่สุด คือ การสอนและดูแลนักเรียน จำเป็นจะต้องมีการปรับระบบครั้งใหญ่ เพื่อให้เวลาและจิตใจของครู ทุ่มเทให้ลูกศิษย์อย่างเต็มที่
๘. สร้างสังคมเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนรู้ไม่ได้จบลงที่การศึกษาในระบบ พื้นที่การเรียนรู้มีอยู่ทุกแห่งทั่วประเทศ ทุกฝ่ายควรส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่ม ทุกวัยมีโอกาสเรียนรู้ จากปราชญ์ชาวบ้าน พิพิธภัณฑ์ และแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
๙. รณรงค์เรื่องการดูแลสุขภาพ ปัจจุบันคนไทยส่วนใหญ่เจ็บป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคที่เกิดจากพฤติกรรม ทั้งในแง่การใช้ชีวิตส่วนตัว (การกิน การไม่ออกกำลังกาย เพศสัมพันธ์ การเดินทาง) และการทำงาน (อยู่กับสารพิษ ความเครียด) ซึ่งหากมีความตื่นตัวในเรื่องเหล่านี้ก็จะลดความเจ็บไข้ได้ป่วย และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้มาก
๑๐. เดินหน้าหลักประกันสุขภาพ จัดบริการให้มีคุณภาพ จะอย่างไรก็ตาม การสร้างหลัก
ประกันด้านการรักษาพยาบาลต้องเดินหน้าต่อ โดยมีการปรับปรุงคุณภาพ ทั้งนี้ต้องมีการปรับรื้อระบบข้อมูล การผลิตและกระจายบุคลากรทางการแพทย์ การปฏิรูประบบยา รวมไปถึงการทบทวนนโยบายที่ดึงทรัพยากรทางด้านนี้ไปยังผู้มีกำลังซื้อสูง และการแยกระบบดูแลโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงเป็นพิเศษ เช่น โรคไต
นี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น ที่เป็นภารกิจของสังคมที่รออยู่ข้างหน้า ผมจะจัดสัมมนาในเรื่อง
คุณธรรม การจัดระบบสวัสดิการให้คนไทยทุกคน และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เพื่อจัดทำวาระประชาชนในการพัฒนาคนต่อไป
เพราะเงื่อนไขข้อสำคัญข้อหนึ่งในการสร้างบ้านเมืองตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ
เงื่อนไขความรู้ ในความหมายของความรู้ รอบคอบและระมัดระวัง
…………………………
* สำหรับผู้สนใจ สัมมนาครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ ๑๖ พฤษภาคม เรื่อง “เศรษฐกิจมีประสิทธิภาพ”
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 13 พ.ค. 2550--จบ--