เหลือเวลาอีก ๒ สัปดาห์ก็จะเป็นวันที่ประชาชนคนไทยจะได้มีโอกาสไปออกเสียงประชามติว่าจะเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญที่ สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.)จัดทำเสร็จแล้วหรือไม่ จากเดิมที่มีความเป็นห่วงว่า ประชาชนยังไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับกระบวนการนี้เท่าที่ควร มาถึงปัจจุบันความตื่นตัวและความรับรู้ในเรื่องนี้ถือว่าดีขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเพราะมีการรณรงค์ โฆษณา ประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อต่างๆมากขึ้น รวมทั้งข่าวสารกิจกรรมที่มีการจัดขึ้นในรอบ ๑-๒ สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้เรื่องนี้อยู่ในกระแสความสนใจของผู้คนในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ความรับรู้ในเรื่องของเนื้อหาสาระของตัวรัฐธรรมนูญเอง ซึ่งเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว ยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก
จากที่ได้สัมผัส มีประชาชนจำนวนไม่มากที่ได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญที่จัดส่งไปตามบ้าน ที่เริ่มอ่านแล้ว หลายคนยอมรับว่ายังอ่านไม่จบ หรือเลิกอ่านไปแล้ว เพราะไม่เข้าใจภาษากฎหมาย
คงต้องยอมรับความจริงว่า คนส่วนใหญ่ที่ไปลงคะแนน จะไม่ได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญก่อนไปใช้สิทธิ แต่การตัดสินใจคงจะอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและมุมมองที่ฟังจากผู้อื่น หรือผ่านสื่อ
จึงเป็นเรื่องที่ดี ที่มีการจัดการแสดงความคิดเห็น (ดีเบต) เมื่อ ๒ วันที่ผ่านมาให้ฝ่ายที่เห็นชอบกับไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความคิดเห็นบนเวทีเดียวกัน
สำหรับผมและพรรคประชาธิปัตย์นั้น ได้แสดงจุดยืนของเราอย่างชัดเจนไปแล้ว เพราะได้ติดตามการร่างรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และจุดยืนของเราเป็นส่วนหนึ่งของ “วาระประชาชน”ว่าด้วยการฟื้นฟูประชาธิปไตย ภายใต้ หลักการ “ประชาชนต้องมาก่อน”
หลักการสำคัญที่เรามองคือ บ้านเมืองควรจะต้องหวนกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอย่างรวดเร็ว และราบรื่นที่สุด เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากวิกฤติการเมือง และปัจจัยอื่นๆ
สัปดาห์ที่ผ่านมาเราก็ได้เห็น โรงงานปิดเพิ่มเติม เกษตรกรชาวสวนผลไม้ประท้วงจากการที่ราคาผลไม้ตกต่ำ ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ
หากบ้านเมืองไม่กลับสู่ภาวะการเมืองที่ปกติ เป็นประชาธิปไตย ความทุกข์ ความเดือดร้อน ความอึดอัด ความขัดแย้ง จะเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่า รัฐบาล หรือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะพยายามแก้ไขอย่างไรก็ตาม
เราจึงถือว่าการออกเสียงประชามติ เป็นก้าวสำคัญนำไปสู่การมีรัฐธรรมนูญ การฟื้นฟูประชาธิปไตย และ การแก้ไขปัญหาของประชาชน
เราต้องการเห็นและขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ออกไปใช้สิทธิกันมากๆ เพื่อแสดงพลังว่าการเดินหน้าทางการเมืองจะยึดมั่นอยู่ในกระบวนการประชาธิปไตย
ส่วนจะเห็นชอบหรือไม่นั้น ย่อมเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล
ที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงท่าทีว่า เราเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญนั้นก็เป็นผลมาจากแนวคิดหลักการที่เรายึดถือดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยพิจารณาจากที่มา ที่ไป และสาระของร่างรัฐธรรมนูญอย่างถี่ถ้วน
ในส่วนของที่มา ที่ไปนั้น ก็ต้องเรียนตามตรงว่า
ถ้าเลือกได้ เราไม่ต้องการให้รัฐธรรมนูญเขียนขึ้นหลังการรัฐประหาร
ถ้าเลือกได้ เราอยากเห็นผู้ร่างมีที่มาที่ยึดโยงกับประชาชนมากกว่านี้ และไม่มีอคติกับนักการเมืองและพรรคการเมือง
แต่วันนี้ เราต้องมองไปข้างหน้า
หากรัฐธรรมนูญมีสาระที่เป็นประชาธิปไตยตามสมควร การเห็นชอบมีข้อดีที่ชัดเจน คือ
ทำให้กระบวนการการเมืองต่อไปมีความชัดเจนแน่นอน
นั่นคือมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้ได้เกือบทันที
มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหลังจากนั้น ภายใน ๔๕ วัน
และมีการเลือกตั้งหลังจากนั้นภายใน ๙๐ วัน
ความเป็นไปได้ที่จะมีการเลือกตั้งภายในสิ้นปีตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้จึงมีสูง
จริงอยู่การไม่เห็นชอบ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีการเลือกตั้ง หรือ จะต้องเลือกตั้งช้า
แต่สิ่งที่แน่นอน คือ ความไม่แน่นอนจะเกิดขึ้น
หากบอกว่าการเห็นชอบ เป็นการเห็นชอบรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหาร การไม่เห็นชอบ คือการเอาอำนาจใส่มือผู้ใกล้ชิดกับการรัฐประหาร ที่สุด คือ รัฐบาล กับ คมช. ซึ่งจะมีอำนาจเลือกรัฐธรรมนูญฉบับใดก็ได้ แก้ไขอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในรูปแบบใดทั้งสิ้น
โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะบานปลายออกไป ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้
เราจึงมองว่า การเห็นชอบ น่าจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง และ ประชาชนมากกว่า หากสาระรัฐธรรมนูญไม่ขัดกับหลักประชาธิปไตย
สำหรับในส่วนของสาระนั้น ก็ได้พิจารณาจากหลักประชาธิปไตย ๓ ข้อ คือ
๑. ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพหรือไม่
๒. ประชาชนกำหนดอนาคตของประเทศได้หรือไม่
๓. รัฐบาลจะถูกตรวจสอบ เพื่อมิให้มีการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือไม่
ในข้อแรก คือ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพหรือไม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดนั้น ดูจะเป็นที่ยอมรับ
กันว่า รัฐธรรมนูญฉบับร่างนั้นดีกว่าฉบับที่แล้ว เพราะได้มีการขยายสิทธิเสรีภาพต่างๆ รวมทั้งมีการกำหนดให้สิทธิเสรีภาพที่บัญญัติไว้เกิดขึ้นและมีผลจริง เพื่อแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว
เช่นเดียวกับข้อที่สาม คือ รัฐบาลจะถูกตรวจสอบ เพื่อมิให้มีการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือไม่
ที่รัฐธรรมนูญฉบับร่างได้แก้ไขจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว ในเรื่อง การให้รัฐบาลต้องมีความรับผิดชอบต่อสภาและประชาชนมากขึ้น ทั้งการเสนองบประมาณ การจัดทำสนธิสัญญาข้อตกลงต่างๆ จนถึงการถูกอภิปรายตรวจสอบ และการไม่แยกฝ่ายบริหารจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาที่สำคัญของวิกฤติการเมืองที่ผ่านมา
เราไม่ได้มองว่า การถูกตรวจสอบมากขึ้น จะทำให้รัฐบาลอ่อนแอ แต่เชื่อว่าการมีกลไกตรวจสอบที่เข้มแข็ง จะช่วยให้มีรัฐบาลที่ดี และหากรัฐบาลดี รัฐบาลนั้นก็จะมีความเข้มแข็งตามวิถีทางประชาธิปไตย
สำหรับหลักการข้อที่สอง คือ ประชาชนกำหนดอนาคตของประเทศได้หรือไม่นั้น ดูจะเป็นที่
วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด
มีการพูดถึง ปัญหา “ตุลาการภิวัตน์” “อำมาตยาธิปไตย” และการสืบทอดอำนาจแต่โดยเนื้อหาแล้ว โครงสร้างของรัฐธรรมนูญในส่วนนี้ไม่ได้แตกต่างจากฉบับที่แล้วมากนัก
นายกรัฐมนตรีมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง และเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร คือ สิ่งที่กำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ
ในส่วนของบทบาทของตุลาการและองค์กรอิสระ ก็เหมือนกับรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว คือ เป็นการตรวจสอบในเรื่องการทำผิดกฎหมาย หรือ การทุจริต ไม่ใช่การกำหนดนโยบาย
หรือที่วิจารณ์ว่าระบบการเลือกตั้งจะทำให้รัฐบาลและพรรคการเมืองอ่อนแอลงก็ไม่ชัด สภาพความอ่อนแอในระบบพรรคการเมืองขณะนี้ เป็นสภาพความจริงของการเมืองมากกว่าตัวระบบ (คิดง่ายๆว่าหากใช้กติกาใหม่หรือเขตใหญ่เมื่อปี ๒๕๔๘ ก็จะยังได้รัฐบาลพรรคเดียวที่เข้มแข็ง หรือหากใช้ระบบเขตเล็กครั้งหน้า โอกาสที่จะเป็นรัฐบาลผสมก็ยังมีอยู่สูง)
ประเด็นปัญหาตรงนี้ จึงเป็นเรื่องของภาวะผู้นำในการบริหารการเมืองมากกว่า ว่าจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างของพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล หรือถูกครอบงำโดยราชการหรือไม่
แต่ที่เป็นรอยตำหนิ หรือ จุดอ่อนของรัฐธรรมนูญฉบับร่าง คือ การที่วุฒิสภามาจากการสรรหาถึงเกือบครึ่งหนึ่ง แม้จะไม่มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย แต่ก็มีอำนาจถอดถอน (โดยผ่านกระบวนการชองคณะกรรมการป้องการและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ก่อน) และการเขียนหมวดแนวนโยบายของรัฐที่ละเอียดเกินไปเมื่อชั่งน้ำหนักในภาพรวมแล้ว พรรคจึงมองว่าควรเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเริ่มต้นการฟื้นฟูประชาธิปไตยต่อไป ข้อด้อยต่างๆก็ให้สภาที่มาจากการเลือกตั้งแก้ไขต่อไป แม้แต่ประชาชนก็จะมีโอกาสเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การแก้ไขจึงง่ายกว่าฉบับปี ๒๕๔๐ ซึ่งทุกฝ่ายก็ยอมรับว่าควรแก้ไข
แต่ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน หากเราต้องการการเมืองใหม่ การเมืองที่ดีกว่า ประชาชนคนไทยคงต้องร่วมกันต่อสู้กันอีกมาก
ให้มีสื่อที่อิสระ ราชการที่ยึดระบบคุณธรรม
นักการเมือง พรรคการเมือง ที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
เห็นข่าว การใช้เงินเพื่อให้คนไม่ไปลงประชามติ ข่าวการซื้อสส. ข่าวการเมืองที่รวมตัวกันเพื่อประโยชน์ของบุคคล พวกพ้อง ไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์ ข่าวความขัดแย้ง การแก้แค้น ฯลฯ แล้ว
การต่อสู้เพื่อสร้างการเมืองใหม่ คงอีกยาวไกล
แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ หรือ ปี ๒๕๕๐ ไม่สามารถสร้างการเมืองใหม่ได้ แต่ประชาชนคนไทยต้องไม่ยอมแพ้ ที่จะให้ได้สิ่งนี้มาในอนาคต
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ส.ค. 2550--จบ--
อย่างไรก็ตาม ความรับรู้ในเรื่องของเนื้อหาสาระของตัวรัฐธรรมนูญเอง ซึ่งเป็นเรื่องยากอยู่แล้ว ยังคงมีข้อจำกัดอยู่มาก
จากที่ได้สัมผัส มีประชาชนจำนวนไม่มากที่ได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญที่จัดส่งไปตามบ้าน ที่เริ่มอ่านแล้ว หลายคนยอมรับว่ายังอ่านไม่จบ หรือเลิกอ่านไปแล้ว เพราะไม่เข้าใจภาษากฎหมาย
คงต้องยอมรับความจริงว่า คนส่วนใหญ่ที่ไปลงคะแนน จะไม่ได้อ่านร่างรัฐธรรมนูญก่อนไปใช้สิทธิ แต่การตัดสินใจคงจะอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลและมุมมองที่ฟังจากผู้อื่น หรือผ่านสื่อ
จึงเป็นเรื่องที่ดี ที่มีการจัดการแสดงความคิดเห็น (ดีเบต) เมื่อ ๒ วันที่ผ่านมาให้ฝ่ายที่เห็นชอบกับไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญ ได้แสดงความคิดเห็นบนเวทีเดียวกัน
สำหรับผมและพรรคประชาธิปัตย์นั้น ได้แสดงจุดยืนของเราอย่างชัดเจนไปแล้ว เพราะได้ติดตามการร่างรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และจุดยืนของเราเป็นส่วนหนึ่งของ “วาระประชาชน”ว่าด้วยการฟื้นฟูประชาธิปไตย ภายใต้ หลักการ “ประชาชนต้องมาก่อน”
หลักการสำคัญที่เรามองคือ บ้านเมืองควรจะต้องหวนกลับคืนสู่ประชาธิปไตยอย่างรวดเร็ว และราบรื่นที่สุด เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากวิกฤติการเมือง และปัจจัยอื่นๆ
สัปดาห์ที่ผ่านมาเราก็ได้เห็น โรงงานปิดเพิ่มเติม เกษตรกรชาวสวนผลไม้ประท้วงจากการที่ราคาผลไม้ตกต่ำ ปัญหาความรุนแรงในภาคใต้ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ฯลฯ
หากบ้านเมืองไม่กลับสู่ภาวะการเมืองที่ปกติ เป็นประชาธิปไตย ความทุกข์ ความเดือดร้อน ความอึดอัด ความขัดแย้ง จะเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่า รัฐบาล หรือ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) จะพยายามแก้ไขอย่างไรก็ตาม
เราจึงถือว่าการออกเสียงประชามติ เป็นก้าวสำคัญนำไปสู่การมีรัฐธรรมนูญ การฟื้นฟูประชาธิปไตย และ การแก้ไขปัญหาของประชาชน
เราต้องการเห็นและขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ออกไปใช้สิทธิกันมากๆ เพื่อแสดงพลังว่าการเดินหน้าทางการเมืองจะยึดมั่นอยู่ในกระบวนการประชาธิปไตย
ส่วนจะเห็นชอบหรือไม่นั้น ย่อมเป็นสิทธิของแต่ละบุคคล
ที่ผมและพรรคประชาธิปัตย์ได้แสดงท่าทีว่า เราเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญนั้นก็เป็นผลมาจากแนวคิดหลักการที่เรายึดถือดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยพิจารณาจากที่มา ที่ไป และสาระของร่างรัฐธรรมนูญอย่างถี่ถ้วน
ในส่วนของที่มา ที่ไปนั้น ก็ต้องเรียนตามตรงว่า
ถ้าเลือกได้ เราไม่ต้องการให้รัฐธรรมนูญเขียนขึ้นหลังการรัฐประหาร
ถ้าเลือกได้ เราอยากเห็นผู้ร่างมีที่มาที่ยึดโยงกับประชาชนมากกว่านี้ และไม่มีอคติกับนักการเมืองและพรรคการเมือง
แต่วันนี้ เราต้องมองไปข้างหน้า
หากรัฐธรรมนูญมีสาระที่เป็นประชาธิปไตยตามสมควร การเห็นชอบมีข้อดีที่ชัดเจน คือ
ทำให้กระบวนการการเมืองต่อไปมีความชัดเจนแน่นอน
นั่นคือมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้ได้เกือบทันที
มีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญหลังจากนั้น ภายใน ๔๕ วัน
และมีการเลือกตั้งหลังจากนั้นภายใน ๙๐ วัน
ความเป็นไปได้ที่จะมีการเลือกตั้งภายในสิ้นปีตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศไว้จึงมีสูง
จริงอยู่การไม่เห็นชอบ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีการเลือกตั้ง หรือ จะต้องเลือกตั้งช้า
แต่สิ่งที่แน่นอน คือ ความไม่แน่นอนจะเกิดขึ้น
หากบอกว่าการเห็นชอบ เป็นการเห็นชอบรัฐธรรมนูญที่มาจากการรัฐประหาร การไม่เห็นชอบ คือการเอาอำนาจใส่มือผู้ใกล้ชิดกับการรัฐประหาร ที่สุด คือ รัฐบาล กับ คมช. ซึ่งจะมีอำนาจเลือกรัฐธรรมนูญฉบับใดก็ได้ แก้ไขอะไรก็ได้ โดยไม่ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในรูปแบบใดทั้งสิ้น
โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งทางการเมืองเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะบานปลายออกไป ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้
เราจึงมองว่า การเห็นชอบ น่าจะเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง และ ประชาชนมากกว่า หากสาระรัฐธรรมนูญไม่ขัดกับหลักประชาธิปไตย
สำหรับในส่วนของสาระนั้น ก็ได้พิจารณาจากหลักประชาธิปไตย ๓ ข้อ คือ
๑. ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพหรือไม่
๒. ประชาชนกำหนดอนาคตของประเทศได้หรือไม่
๓. รัฐบาลจะถูกตรวจสอบ เพื่อมิให้มีการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือไม่
ในข้อแรก คือ ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพหรือไม่ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดนั้น ดูจะเป็นที่ยอมรับ
กันว่า รัฐธรรมนูญฉบับร่างนั้นดีกว่าฉบับที่แล้ว เพราะได้มีการขยายสิทธิเสรีภาพต่างๆ รวมทั้งมีการกำหนดให้สิทธิเสรีภาพที่บัญญัติไว้เกิดขึ้นและมีผลจริง เพื่อแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว
เช่นเดียวกับข้อที่สาม คือ รัฐบาลจะถูกตรวจสอบ เพื่อมิให้มีการใช้อำนาจในทางที่ผิดหรือไม่
ที่รัฐธรรมนูญฉบับร่างได้แก้ไขจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว ในเรื่อง การให้รัฐบาลต้องมีความรับผิดชอบต่อสภาและประชาชนมากขึ้น ทั้งการเสนองบประมาณ การจัดทำสนธิสัญญาข้อตกลงต่างๆ จนถึงการถูกอภิปรายตรวจสอบ และการไม่แยกฝ่ายบริหารจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาที่สำคัญของวิกฤติการเมืองที่ผ่านมา
เราไม่ได้มองว่า การถูกตรวจสอบมากขึ้น จะทำให้รัฐบาลอ่อนแอ แต่เชื่อว่าการมีกลไกตรวจสอบที่เข้มแข็ง จะช่วยให้มีรัฐบาลที่ดี และหากรัฐบาลดี รัฐบาลนั้นก็จะมีความเข้มแข็งตามวิถีทางประชาธิปไตย
สำหรับหลักการข้อที่สอง คือ ประชาชนกำหนดอนาคตของประเทศได้หรือไม่นั้น ดูจะเป็นที่
วิพากษ์วิจารณ์มากที่สุด
มีการพูดถึง ปัญหา “ตุลาการภิวัตน์” “อำมาตยาธิปไตย” และการสืบทอดอำนาจแต่โดยเนื้อหาแล้ว โครงสร้างของรัฐธรรมนูญในส่วนนี้ไม่ได้แตกต่างจากฉบับที่แล้วมากนัก
นายกรัฐมนตรีมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้ง และเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร คือ สิ่งที่กำหนดทิศทางนโยบายของประเทศ
ในส่วนของบทบาทของตุลาการและองค์กรอิสระ ก็เหมือนกับรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว คือ เป็นการตรวจสอบในเรื่องการทำผิดกฎหมาย หรือ การทุจริต ไม่ใช่การกำหนดนโยบาย
หรือที่วิจารณ์ว่าระบบการเลือกตั้งจะทำให้รัฐบาลและพรรคการเมืองอ่อนแอลงก็ไม่ชัด สภาพความอ่อนแอในระบบพรรคการเมืองขณะนี้ เป็นสภาพความจริงของการเมืองมากกว่าตัวระบบ (คิดง่ายๆว่าหากใช้กติกาใหม่หรือเขตใหญ่เมื่อปี ๒๕๔๘ ก็จะยังได้รัฐบาลพรรคเดียวที่เข้มแข็ง หรือหากใช้ระบบเขตเล็กครั้งหน้า โอกาสที่จะเป็นรัฐบาลผสมก็ยังมีอยู่สูง)
ประเด็นปัญหาตรงนี้ จึงเป็นเรื่องของภาวะผู้นำในการบริหารการเมืองมากกว่า ว่าจะยอมตกเป็นเบี้ยล่างของพรรคการเมืองที่ร่วมรัฐบาล หรือถูกครอบงำโดยราชการหรือไม่
แต่ที่เป็นรอยตำหนิ หรือ จุดอ่อนของรัฐธรรมนูญฉบับร่าง คือ การที่วุฒิสภามาจากการสรรหาถึงเกือบครึ่งหนึ่ง แม้จะไม่มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย แต่ก็มีอำนาจถอดถอน (โดยผ่านกระบวนการชองคณะกรรมการป้องการและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ก่อน) และการเขียนหมวดแนวนโยบายของรัฐที่ละเอียดเกินไปเมื่อชั่งน้ำหนักในภาพรวมแล้ว พรรคจึงมองว่าควรเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญเพื่อเริ่มต้นการฟื้นฟูประชาธิปไตยต่อไป ข้อด้อยต่างๆก็ให้สภาที่มาจากการเลือกตั้งแก้ไขต่อไป แม้แต่ประชาชนก็จะมีโอกาสเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การแก้ไขจึงง่ายกว่าฉบับปี ๒๕๔๐ ซึ่งทุกฝ่ายก็ยอมรับว่าควรแก้ไข
แต่ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ผ่าน หากเราต้องการการเมืองใหม่ การเมืองที่ดีกว่า ประชาชนคนไทยคงต้องร่วมกันต่อสู้กันอีกมาก
ให้มีสื่อที่อิสระ ราชการที่ยึดระบบคุณธรรม
นักการเมือง พรรคการเมือง ที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง
เห็นข่าว การใช้เงินเพื่อให้คนไม่ไปลงประชามติ ข่าวการซื้อสส. ข่าวการเมืองที่รวมตัวกันเพื่อประโยชน์ของบุคคล พวกพ้อง ไม่เกี่ยวกับอุดมการณ์ ข่าวความขัดแย้ง การแก้แค้น ฯลฯ แล้ว
การต่อสู้เพื่อสร้างการเมืองใหม่ คงอีกยาวไกล
แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้
รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ หรือ ปี ๒๕๕๐ ไม่สามารถสร้างการเมืองใหม่ได้ แต่ประชาชนคนไทยต้องไม่ยอมแพ้ ที่จะให้ได้สิ่งนี้มาในอนาคต
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 5 ส.ค. 2550--จบ--