ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ยืนยันปัญหาซับไพรม์ใน สรอ.ยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เปิดเผยว่า บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ ณ วันที่ 15 ส.ค.50 ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากหนี้เสียด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับ
ลูกหนี้ที่ได้รับความเชื่อถือต่ำของสหรัฐฯ (ซับไพรม์) ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก ทำให้มีการชะลอการลงทุน และมีผลให้
ตลาดหุ้นไทยปรับลงตามตลาดต่างประเทศ โดยมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง กดดันการลงทุนของรายย่อยในประเทศ โดย
ดัชนีปิดที่ระดับ 773.92 จุด ลดลง 19.90 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 16,489.42 ล.บาท ส่วนหลักทรัพย์ตลาดเอ็มเอไอ ดัชนีปิดที่ 248.78 จุด
ลดลง 2.77 จุด มูลค่าการซื้อขาย 294.47 ล.บาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสูงถึง 5,212.09 ล.บาท ด้านผู้ว่าการธนาคารแห่ง
ประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ว่า สาเหตุหนึ่งเกิดจากการที่นักลงทุนต่างชาติกังวลกับปัญหา
ซับไพรม์ในสหรัฐฯ จึงปรับพอร์ตการลงทุนโดยขายหุ้นออกไปเพื่อนำสภาพคล่องกลับประเทศหรือนำไปลงทุนด้านอื่น โดยยอมรับว่าต่างชาติ
นำเงินออกนอกประเทศประมาณ 11,500 ล.บาท หรือ 50% ของมูลค่าหุ้นที่เทขายออกมา อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังติดตามความผันผวนของ
ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนเช่นเดียวกับ
ธ.กลางประเทศอื่นๆ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่ได้รับผลกระทบในภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาค (ข่าวสด, ไทยโพสต์, มติชน)
2. ธปท.ออก พธบ.ประเภทออมทรัพย์จำหน่ายให้แก่ผู้ออมรายย่อย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ในเดือน ก.ย.นี้ ธปท.จะออก พธบ. ธปท. ประเภทออมทรัพย์ที่จำหน่ายให้แก่ผู้ออมรายย่อยเป็นครั้งแรก ซึ่งหมายถึง บุคคลธรรมดา สหกรณ์
มูลนิธิและองค์กรสาธารณะที่ไม่มุ่งหวังกำไร จากที่ผ่านมาเน้นกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง จึงเป็นการเพิ่มทางเลือก
ในการออมและการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ นอกเหนือจากการฝากเงินกับ ธพ. เพื่อรองรับสถาบันประกันเงินฝากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้ง
ให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ภาคครัวเรือน และเป็นเครื่องมือหนึ่งในการดูแลสภาพคล่องในตลาดเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย พธบ.ดังกล่าวมี
อายุ 4 ปี และ 7 ปี จำนวน 40,000 ล.บาท อัตราดอกเบี้ยอิงกับอัตราผลตอบแทน พธบ.รัฐบาลระยะ 4 และ 7 ปี บวกส่วนต่างไม่เกิน 15%
ของอัตราผลตอบแทน ซึ่งจะประกาศอัตราดอกเบี้ย พธบ.อีกครั้งในวันที่ 20 ส.ค.นี้ สำหรับวงเงินซื้อขั้นต่ำ 50,000 บาทต่อราย และซื้อเพิ่ม
ครั้งละ 10,000 บาท เปิดให้จองซื้อวันที่ 27 ส.ค.-4 ก.ย.นี้ ที่ธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง คือ ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงไทย, ธ.กสิกรไทย,
ธ.ซิตี้แบงก์ เอ็น.เอ., ธ.ไทยพาณิชย์, ธ.ยูโอบี, ธ.สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด(ไทย) และ ธ.ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น
(ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
3. ก.คลังถอนร่าง พ.ร.บ.เงินตราออกจากการพิจารณาของ สนช. รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค.50
รัฐบาลได้ขอถอนร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ออกจากการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เนื่องจากมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในบาง
ประเด็น และเพื่อต้องการทำความเข้าใจกับประชาชนให้มีความเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีข้อกังวลว่าเป็นการรวมบัญชีของ ธปท. รวมทั้ง
ข้อสงสัยว่าจะเป็นการลบล้างผลขาดทุนในการนำเงินเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. ดังนั้น สนช.จึงเตรียมร่วมกับรัฐบาล จัดเวที
สัมมนาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าว จากนั้นจึงจะนำเสนอให้ที่ประชุม สนช.พิจารณาอีกครั้ง (ข่าวสด)
4. รัฐบาลปรับลดวงเงินกู้ ตปท.ประจำปี งปม. 51 ลง และปรับเปลี่ยนเป็นการกู้เงินในประเทศมากขึ้น รมว.คลัง เปิดเผย
ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ครั้งที่ 2/50 ว่า ที่ประชุมได้ปรับลดวงเงินกู้ต่างประเทศ
ประจำปี งปม. 51 ลงจากที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)เสนอมา 900 ล.ดอลลาร์ สรอ. มาอยู่ที่ 800 ล.ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งจะ
ไม่กระทบใดๆ กับโครงการที่เสนอมา เนื่องจากเป็นการปรับลดเฉลี่ยจากทุกโครงการ นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการของกรมทางหลวงวงเงินกู้
156 ล.ดอลลาร์ สรอ. ได้สั่งการให้ สบน. ไปเจรจากับกรมทางหลวงเพื่อปรับเปลี่ยนให้มากู้เงินในประเทศแทน เนื่องจากขณะนี้ตลาดใน
ประเทศมีสภาพคล่องสูง หากเปลี่ยนมากู้ในประเทศได้จะช่วยแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า และยังลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วย ทั้งนี้ โดย
ปกติการกู้เงินต่างประเทศของรัฐบาลจะอยู่ที่ปีละ 1 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. (ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ)
5. ช่วง 10 เดือนแรกปี งปม.50 รัฐบาลขาดดุลเงินสด 2.4 แสน ล.บาท นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษก ก.คลัง แถลงฐานะ
การคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดว่า รายได้นำส่งคลังในเดือน ก.ค.50 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้นำส่งทั้งสิ้น
85,111 ล.บาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 15.7% โดยรายได้ภาษีที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง ได้แก่ ภาษียาสูบ ภาษีสุรา ภาษีเงินได้
นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะเดียวกันรัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงิน งปม.ทั้งสิ้น 146,555 ล.บาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน
48.6% ทำให้ดุลเงินสดขาดดุล 51,157 ล.บาท ส่วนในช่วง 10 เดือนแรกของปี งปม. (ต.ค.49-ก.ค.50) ขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น
240,860 ล.บาท ทั้งนี้ การขาดดุลดังกล่าวมิได้ส่งผลกระทบต่อฐานะความแข็งแกร่งโดยรวมด้านการคลังอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด เพราะถือ
เป็นเป้าหมายของรัฐบาลในปี งปม.50 อยู่แล้วว่าจะให้นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือหลักเครื่องมือหนึ่งในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว
ได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 4% (ข่าวสด, มติชน, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ต่อเดือนในขณะที่ดัชนีราคาบริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 0.2 ต่อเดือน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 15 ส.ค.50 ก.แรงงานของ สรอ.รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ
0.1 ต่อเดือนในเดือน ก.ค.50 ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือนเล็กน้อย ทั้งนี้ เป็นผลจากราคาขายปลีกน้ำมันที่ลดลง
ร้อยละ 1.7 ต่อเดือน ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือนตามที่คาดไว้ โดย
หากเทียบต่อปีแล้ว ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ต่อปี เทียบกับร้อยละ 2.5 ต่อปีของทั้งปี 49 แต่อย่างไรก็ดี ดัชนีราคาผู้บริโภค
พื้นฐานเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.3 ต่อปีเทียบกับร้อยละ 2.6 ต่อปีของทั้งปี 49 จากตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับ
ที่ควบคุมได้และคาดว่าจะทำให้ ธ.กลาง สรอ.คงอัตราดอกเบี้ยในระดับเดิมต่อไป (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมของ สรอ. ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 รายงานจากวอชิงตันเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 50 ทางการ
สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน ก.ค. ผลผลิตอุตสาหกรรมของ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 0.3 เป็นไปตามที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นจาก
ผลการสำรวจนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์ เนื่องจากผลผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ทำให้สามารถชดเชยกับการชะลอ
ตัวอย่างมากของการบริการสาธารณะ อาทิ ไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์ที่ลดลงได้ และเป็นสัญญานว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตของ สรอ.
ฟื้นตัวแล้วโดยภาคอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งนับรวมผลผลิตอุตสาหกรรม และรวมถึงสินค้าคงทนและไม่คงทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ในเดือน ก.ค.
ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่นาย Pierre Ellis นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสในนิวยอร์ก เห็นว่าภาพรวมที่ดีดังกล่าวเป็นผลจากการส่งออก
ที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในประเทศของ สรอ. ได้ฟื้นตัวแล้ว ซึ่งก.พาณิชย์ สรอ.เปิดเผยว่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุด
ที่ระดับ 134.5 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. จะช่วยให้การขาดดุลการค้าในเดือน มิ.ย. ลดลงอยู่ที่ระดับ 58.10 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ซึ่ง
นักวิเคราะห์เห็นว่า การส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง จะทำให้ทางการ สรอ. ทบทวนตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส
ที่ 2 และช่วยให้เศรษฐกิจสามารถเผชิญหน้ากับวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์และภาวะสินเชื่อตึงตัวได้(รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของจีนในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 18.0 น้อยกว่าที่คาดไว้ รายงานจากปักกิ่ง
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า ในเดือน ก.ค. ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ
18.0 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 19.4 ในเดือน มิ.ย. และลดลงมากกว่าผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์ที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า
ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน ก.ค. จะเติบโตร้อยละ 19.2 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บภาษีทำให้ไม่ดึงดูดการส่งออก ซึ่ง
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าการลดลงของผลผลิตอุตสาหกรรมจะทำให้การเกินดุลการค้าของจีนลดลงในเดือนหน้า ทั้งนี้ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้
ผลผลิตอุตสาหกรรมของจีนเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 18.5 (รอยเตอร์)
4. ยอดค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ต่อเดือน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 15 ส.ค.50 สนง.สถิติ
ของสิงคโปร์รายงานดัชนีชี้วัดยอดค้าปลีกหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ในเดือน มิ.ย.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน หลังจาก
เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ในเดือนก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เมื่อเทียบต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ต่อปีในเดือนก่อน ทั้งนี้ เป็นผลจาก
เทศกาลลดราคาสินค้าและการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 2.0 ซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.50 นี้ทำให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวรีบซื้อสินค้า
ก่อนที่สินค้าจะมีราคาสูงขึ้นโดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูงเช่น รถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยหากไม่รวมยอดขายรถยนต์แล้ว ยอดค้าปลีกใน
เดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ 7.6 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ในเดือนก่อน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 16 ส.ค. 50 15 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.152 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.9226/34.2597 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39188 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 773.92/16.49 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,750/10,850 10,700/10,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 66.61 66.36 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.39*/25.34* 28.39*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดสิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 9 ส.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ยืนยันปัญหาซับไพรม์ใน สรอ.ยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เปิดเผยว่า บรรยากาศการซื้อขายหลักทรัพย์ ณ วันที่ 15 ส.ค.50 ดัชนีตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากหนี้เสียด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับ
ลูกหนี้ที่ได้รับความเชื่อถือต่ำของสหรัฐฯ (ซับไพรม์) ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก ทำให้มีการชะลอการลงทุน และมีผลให้
ตลาดหุ้นไทยปรับลงตามตลาดต่างประเทศ โดยมีแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง กดดันการลงทุนของรายย่อยในประเทศ โดย
ดัชนีปิดที่ระดับ 773.92 จุด ลดลง 19.90 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 16,489.42 ล.บาท ส่วนหลักทรัพย์ตลาดเอ็มเอไอ ดัชนีปิดที่ 248.78 จุด
ลดลง 2.77 จุด มูลค่าการซื้อขาย 294.47 ล.บาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสูงถึง 5,212.09 ล.บาท ด้านผู้ว่าการธนาคารแห่ง
ประเทศไทย กล่าวถึงกรณีที่เงินบาทอ่อนค่าลงแตะระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.ว่า สาเหตุหนึ่งเกิดจากการที่นักลงทุนต่างชาติกังวลกับปัญหา
ซับไพรม์ในสหรัฐฯ จึงปรับพอร์ตการลงทุนโดยขายหุ้นออกไปเพื่อนำสภาพคล่องกลับประเทศหรือนำไปลงทุนด้านอื่น โดยยอมรับว่าต่างชาติ
นำเงินออกนอกประเทศประมาณ 11,500 ล.บาท หรือ 50% ของมูลค่าหุ้นที่เทขายออกมา อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังติดตามความผันผวนของ
ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด พร้อมยืนยันว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนเช่นเดียวกับ
ธ.กลางประเทศอื่นๆ เนื่องจากประเทศไทยยังไม่ได้รับผลกระทบในภาพรวมของเศรษฐกิจมหภาค (ข่าวสด, ไทยโพสต์, มติชน)
2. ธปท.ออก พธบ.ประเภทออมทรัพย์จำหน่ายให้แก่ผู้ออมรายย่อย ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า
ในเดือน ก.ย.นี้ ธปท.จะออก พธบ. ธปท. ประเภทออมทรัพย์ที่จำหน่ายให้แก่ผู้ออมรายย่อยเป็นครั้งแรก ซึ่งหมายถึง บุคคลธรรมดา สหกรณ์
มูลนิธิและองค์กรสาธารณะที่ไม่มุ่งหวังกำไร จากที่ผ่านมาเน้นกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง จึงเป็นการเพิ่มทางเลือก
ในการออมและการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ นอกเหนือจากการฝากเงินกับ ธพ. เพื่อรองรับสถาบันประกันเงินฝากที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อีกทั้ง
ให้ผลตอบแทนที่ดีแก่ภาคครัวเรือน และเป็นเครื่องมือหนึ่งในการดูแลสภาพคล่องในตลาดเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย พธบ.ดังกล่าวมี
อายุ 4 ปี และ 7 ปี จำนวน 40,000 ล.บาท อัตราดอกเบี้ยอิงกับอัตราผลตอบแทน พธบ.รัฐบาลระยะ 4 และ 7 ปี บวกส่วนต่างไม่เกิน 15%
ของอัตราผลตอบแทน ซึ่งจะประกาศอัตราดอกเบี้ย พธบ.อีกครั้งในวันที่ 20 ส.ค.นี้ สำหรับวงเงินซื้อขั้นต่ำ 50,000 บาทต่อราย และซื้อเพิ่ม
ครั้งละ 10,000 บาท เปิดให้จองซื้อวันที่ 27 ส.ค.-4 ก.ย.นี้ ที่ธนาคารพาณิชย์ 8 แห่ง คือ ธ.กรุงเทพ, ธ.กรุงไทย, ธ.กสิกรไทย,
ธ.ซิตี้แบงก์ เอ็น.เอ., ธ.ไทยพาณิชย์, ธ.ยูโอบี, ธ.สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด(ไทย) และ ธ.ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น
(ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ, มติชน)
3. ก.คลังถอนร่าง พ.ร.บ.เงินตราออกจากการพิจารณาของ สนช. รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค.50
รัฐบาลได้ขอถอนร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ออกจากการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เนื่องจากมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในบาง
ประเด็น และเพื่อต้องการทำความเข้าใจกับประชาชนให้มีความเข้าใจมากขึ้น โดยเฉพาะกรณีข้อกังวลว่าเป็นการรวมบัญชีของ ธปท. รวมทั้ง
ข้อสงสัยว่าจะเป็นการลบล้างผลขาดทุนในการนำเงินเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. ดังนั้น สนช.จึงเตรียมร่วมกับรัฐบาล จัดเวที
สัมมนาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าว จากนั้นจึงจะนำเสนอให้ที่ประชุม สนช.พิจารณาอีกครั้ง (ข่าวสด)
4. รัฐบาลปรับลดวงเงินกู้ ตปท.ประจำปี งปม. 51 ลง และปรับเปลี่ยนเป็นการกู้เงินในประเทศมากขึ้น รมว.คลัง เปิดเผย
ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะ ครั้งที่ 2/50 ว่า ที่ประชุมได้ปรับลดวงเงินกู้ต่างประเทศ
ประจำปี งปม. 51 ลงจากที่สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)เสนอมา 900 ล.ดอลลาร์ สรอ. มาอยู่ที่ 800 ล.ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งจะ
ไม่กระทบใดๆ กับโครงการที่เสนอมา เนื่องจากเป็นการปรับลดเฉลี่ยจากทุกโครงการ นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการของกรมทางหลวงวงเงินกู้
156 ล.ดอลลาร์ สรอ. ได้สั่งการให้ สบน. ไปเจรจากับกรมทางหลวงเพื่อปรับเปลี่ยนให้มากู้เงินในประเทศแทน เนื่องจากขณะนี้ตลาดใน
ประเทศมีสภาพคล่องสูง หากเปลี่ยนมากู้ในประเทศได้จะช่วยแก้ไขปัญหาเงินบาทแข็งค่า และยังลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดด้วย ทั้งนี้ โดย
ปกติการกู้เงินต่างประเทศของรัฐบาลจะอยู่ที่ปีละ 1 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. (ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ)
5. ช่วง 10 เดือนแรกปี งปม.50 รัฐบาลขาดดุลเงินสด 2.4 แสน ล.บาท นายสมชัย สัจจพงษ์ โฆษก ก.คลัง แถลงฐานะ
การคลังของรัฐบาลตามระบบกระแสเงินสดว่า รายได้นำส่งคลังในเดือน ก.ค.50 ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้นำส่งทั้งสิ้น
85,111 ล.บาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน 15.7% โดยรายได้ภาษีที่จัดเก็บเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูง ได้แก่ ภาษียาสูบ ภาษีสุรา ภาษีเงินได้
นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ขณะเดียวกันรัฐบาลมีการเบิกจ่ายเงิน งปม.ทั้งสิ้น 146,555 ล.บาท สูงกว่าเดือนเดียวกันปีก่อน
48.6% ทำให้ดุลเงินสดขาดดุล 51,157 ล.บาท ส่วนในช่วง 10 เดือนแรกของปี งปม. (ต.ค.49-ก.ค.50) ขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น
240,860 ล.บาท ทั้งนี้ การขาดดุลดังกล่าวมิได้ส่งผลกระทบต่อฐานะความแข็งแกร่งโดยรวมด้านการคลังอย่างมีนัยสำคัญแต่อย่างใด เพราะถือ
เป็นเป้าหมายของรัฐบาลในปี งปม.50 อยู่แล้วว่าจะให้นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือหลักเครื่องมือหนึ่งในการสนับสนุนให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัว
ได้ในระดับไม่ต่ำกว่า 4% (ข่าวสด, มติชน, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ.ในเดือน ก.ค.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ต่อเดือนในขณะที่ดัชนีราคาบริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้น
ร้อยละ 0.2 ต่อเดือน รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 15 ส.ค.50 ก.แรงงานของ สรอ.รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ
0.1 ต่อเดือนในเดือน ก.ค.50 ต่ำกว่าที่คาดไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือนเล็กน้อย ทั้งนี้ เป็นผลจากราคาขายปลีกน้ำมันที่ลดลง
ร้อยละ 1.7 ต่อเดือน ในขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ต่อเดือนตามที่คาดไว้ โดย
หากเทียบต่อปีแล้ว ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ต่อปี เทียบกับร้อยละ 2.5 ต่อปีของทั้งปี 49 แต่อย่างไรก็ดี ดัชนีราคาผู้บริโภค
พื้นฐานเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.3 ต่อปีเทียบกับร้อยละ 2.6 ต่อปีของทั้งปี 49 จากตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับ
ที่ควบคุมได้และคาดว่าจะทำให้ ธ.กลาง สรอ.คงอัตราดอกเบี้ยในระดับเดิมต่อไป (รอยเตอร์)
2. ผลผลิตอุตสาหกรรมของ สรอ. ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 รายงานจากวอชิงตันเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 50 ทางการ
สรอ. เปิดเผยว่า ในเดือน ก.ค. ผลผลิตอุตสาหกรรมของ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 0.3 เป็นไปตามที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านั้นจาก
ผลการสำรวจนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์ เนื่องจากผลผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์รถยนต์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 ทำให้สามารถชดเชยกับการชะลอ
ตัวอย่างมากของการบริการสาธารณะ อาทิ ไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์ที่ลดลงได้ และเป็นสัญญานว่าภาคอุตสาหกรรมการผลิตของ สรอ.
ฟื้นตัวแล้วโดยภาคอุตสาหกรรมการผลิตซึ่งนับรวมผลผลิตอุตสาหกรรม และรวมถึงสินค้าคงทนและไม่คงทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 ในเดือน ก.ค.
ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ขณะที่นาย Pierre Ellis นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสในนิวยอร์ก เห็นว่าภาพรวมที่ดีดังกล่าวเป็นผลจากการส่งออก
ที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจในประเทศของ สรอ. ได้ฟื้นตัวแล้ว ซึ่งก.พาณิชย์ สรอ.เปิดเผยว่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุด
ที่ระดับ 134.5 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. จะช่วยให้การขาดดุลการค้าในเดือน มิ.ย. ลดลงอยู่ที่ระดับ 58.10 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. ซึ่ง
นักวิเคราะห์เห็นว่า การส่งออกที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง จะทำให้ทางการ สรอ. ทบทวนตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ในไตรมาส
ที่ 2 และช่วยให้เศรษฐกิจสามารถเผชิญหน้ากับวิกฤติภาคอสังหาริมทรัพย์และภาวะสินเชื่อตึงตัวได้(รอยเตอร์)
3. ผลผลิตอุตสาหกรรมของจีนในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 18.0 น้อยกว่าที่คาดไว้ รายงานจากปักกิ่ง
เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 50 สำนักงานสถิติแห่งชาติของจีนเปิดเผยว่า ในเดือน ก.ค. ผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ
18.0 ชะลอตัวลงจากร้อยละ 19.4 ในเดือน มิ.ย. และลดลงมากกว่าผลการสำรวจนักเศรษฐศาสตร์โดยรอยเตอร์ที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่า
ผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือน ก.ค. จะเติบโตร้อยละ 19.2 เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บภาษีทำให้ไม่ดึงดูดการส่งออก ซึ่ง
นักเศรษฐศาสตร์กล่าวว่าการลดลงของผลผลิตอุตสาหกรรมจะทำให้การเกินดุลการค้าของจีนลดลงในเดือนหน้า ทั้งนี้ในช่วง 7 เดือนแรกปีนี้
ผลผลิตอุตสาหกรรมของจีนเติบโตจากช่วงเดียวกันปีก่อนร้อยละ 18.5 (รอยเตอร์)
4. ยอดค้าปลีกของสิงคโปร์ในเดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ต่อเดือน รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อ 15 ส.ค.50 สนง.สถิติ
ของสิงคโปร์รายงานดัชนีชี้วัดยอดค้าปลีกหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 ในเดือน มิ.ย.50 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน หลังจาก
เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 ในเดือนก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 เมื่อเทียบต่อปี หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ต่อปีในเดือนก่อน ทั้งนี้ เป็นผลจาก
เทศกาลลดราคาสินค้าและการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 2.0 ซึ่งเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.50 นี้ทำให้ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวรีบซื้อสินค้า
ก่อนที่สินค้าจะมีราคาสูงขึ้นโดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาสูงเช่น รถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยหากไม่รวมยอดขายรถยนต์แล้ว ยอดค้าปลีกใน
เดือน มิ.ย.50 เพิ่มขึ้นหลังปรับตัวเลขตามฤดูกาลแล้วร้อยละ 7.6 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 ในเดือนก่อน (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 16 ส.ค. 50 15 ส.ค. 50 29 ธ.ค. 49 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 34.152 36.044 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 33.9226/34.2597 35.8601/36.2308 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.39188 5.12813 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 773.92/16.49 679.84/9.22 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 10,750/10,850 10,700/10,800 10,750/10,650 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 66.61 66.36 56.48 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล(บาท) 28.39*/25.34* 28.39*/25.34* 26.49/23.34 ปตท.
* ปรับเลดสิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 9 ส.ค. 50
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--