การเมืองหลังประชามติ : ก้าวพ้นอำนาจเก่า อำนาจใหม่ สู่ อำนาจประชาชน
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐
www.abhisit.org
ขณะที่เขียนบทความนี้ ประชาชนจำนวนไม่น้อยกำลังอยู่ในช่วงของการลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับร่าง
ด้วยเหตุผลทางกฎหมายและโดยมารยาท ผมคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ คาดการณ์เกี่ยวกับผลของการลงประชามติ
แต่ขอมองไปข้างหน้า หลังการลงประชามติครั้งนี้
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ขอยืนยันว่า สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นยังไม่เปลี่ยนแปลง
นั่นคือการนำสังคมและประเทศชาติคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตย
เพื่อสร้างความชัดเจน ความมั่นใจ
เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆที่ประชาชนรอคอย
เพื่อให้วิกฤติ ความสับสน ความวุ่นวาย และความขัดแย้งที่ดูจะมีอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น กลายเป็นเรื่องของอดีต
แน่นอนที่สุด สิ่งนี้ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า หากวันนี้ประชาชนไปใช้สิทธิกันมากๆ และไม่มีปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการลงประชามติ ไม่ว่าจะโดยฝ่ายใด
ในกรณีที่รัฐธรรมนูญได้รับความเห็นชอบ การเดินไปข้างหน้า คงมีความชัดเจนในเชิงกรอบเวลา (ดูบทความใน www.abhisit.org เรื่อง ประชามติ รัฐธรรมนูญ กับการเมืองใหม่ โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๐)
หลังจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้ การตรากฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมืองก็ต้องเสร็จสิ้นภายใน ๔๕ วัน
หลังจากนั้นก็จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน ๙๐ วัน
ความเป็นไปได้ที่จะมีการเลือกตั้งภายในสิ้นปีนี้ตามที่นายกรัฐมนตรีและประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เคยประกาศไว้ก็คงจะมีสูง
โดยที่พรรคการเมืองใหม่จะสามารถเริ่มต้นขั้นตอนการจดทะเบียนพรรคการเมืองได้ ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
ผมอยากเห็นบรรยากาศการเมืองปรับไปสู่การแข่งขันอย่างสร้างสรรค์
แข่งกันนำเสนอนโยบาย และแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆของชาติและประชาชน เพื่อให้เกิดความหวัง ทางเลือก ที่จะทำให้ประเทศเดินหน้า หลังจากหยุดชะงักมานาน
แน่นอน คะแนนเสียงที่รัฐธรรมนูญได้รับความเห็นชอบมากน้อย ย่อมมีผลต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง
แต่ไม่ว่าการได้รับความเห็นชอบจะด้วยคะแนนเสียงเท่าไร ต้องยอมรับว่าหลายฝ่ายได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ผู้ที่จะมีสิทธิในการเสนอแก้ไขต่อไป ก็คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และประชาชน
ผู้ที่จะมีอำนาจชี้ขาดในการแก้ไข คือ เสียงข้างมากของรัฐสภา
พรรคการเมืองทุกพรรค ที่ผมได้ติดตาม มีทั้งที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญบกพร่องถึงขั้นประกาศไม่สนับสนุน และมีที่เห็นว่าไม่สมบูรณ์ แต่รับได้ แต่ควรมีการแก้ไขต่อไป
ยังไม่เห็นมีพรรคการเมืองที่แสดงจุดยืนแตกต่างไปจากนี้
ผมจึงเห็นว่า ทุกพรรคการเมืองจึงควรหารือตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญกันต่อไปอย่างไร โดยไม่ต้องคำนึงว่าหลังจากการเลือกตั้ง ใครจะเป็นรัฐบาล ใครจะเป็นฝ่ายค้าน
หากทำอย่างนี้ การมีรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ต่อไป ก็จะมีโอกาสเป็นจริงมากขึ้น
และเป็นการเริ่มต้นกระบวนการสมานฉันท์ ในหมู่พรรคการเมืองตามวิถีทางรัฐสภาอย่างเป็นรูปธรรม
กรณีรัฐธรรมนูญไม่ได้รับความเห็นชอบ
ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น รัฐบาล และ คมช. จะต้องเป็นผู้หยิบยกรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งขึ้นมา โดยมีอำนาจแก้ไข เพื่อจัดทำเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใน ๓๐ วัน (ดูบทความใน www.abhisit.org เรื่อง นายกฯพบหัวหน้าพรรคการเมืองครั้งที่ ๒ โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐ หรือ รัฐบาล /คมช.กับประเด็นร้อนก่อนปีใหม่ โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๙ )
หากสดับตรับฟังมาโดยตลอด จะพบว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นฉบับที่ประชาชนมองว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดฉบับหนึ่ง และเป็นฉบับที่ประชาชนยังมีความคุ้นเคยมากที่สุด
ไม่มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาล และ คมช.จะไปหยิบยกฉบับอื่น
และไม่มีเหตุผลใดที่รัฐบาลและคมช. จะไปแก้ไขในลักษณะที่ทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญลดลง
ส่วนการแก้ไขใดๆที่เห็นว่าจำเป็น ก็จะต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเท่าที่เวลาและสถานการณ์จะเอื้ออำนวย
จากนั้นก็ควรเข้าสู่กระบวนการจัดทำกฎหมายลูก เพื่อมุ่งไปสู่การเลือกตั้งต่อไป
หากไม่ดำเนินการเช่นนี้ โอกาสที่สภาพการณ์ทางการเมืองจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจเก่า และอำนาจใหม่ที่ลุกลามบานปลายก็จะเป็นไปได้สูง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการ
เพราะมีแต่จะทำให้ปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนต้องรอการแก้ไขต่อไป
ปรากฏการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา การรณรงค์ต่อสู้กันทุกรูปแบบ โดยใช้เงื่อนไขของการประชามติเป็นเครื่องมือบ่งบอกว่า อำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดละต่อกัน
ผมอยากจะเรียกร้องว่า วันนี้เป็นโอกาสที่ทุกฝ่ายจะได้ทบทวนบทบาทของตน เพื่อมาช่วยกันให้ประเทศหลุดพ้นจากวังวนของความขัดแย้ง
และอยากให้ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเสมือน “พลังเงียบ” ได้เริ่มต้นส่งเสียงดังๆว่า
พอแล้ว สำหรับการต่อสู้แบบแบ่งขั้วอำนาจ
พอแล้ว สำหรับการจมอยู่กับอดีต การเอาประเทศมาเป็นเดิมพัน เพื่อประโยชน์ของบุคคล หรือของกลุ่ม
พอแล้วสำหรับการเมืองนอกระบบ นอกรูปแบบ ที่สร้างความสับสน แตกแยก
ถึงเวลาแล้วที่จะมองไปข้างหน้า เดินไปข้างหน้า เพื่อประเทศชาติและประชาชนทุกคน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ส.ค. 2550--จบ--
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๐
www.abhisit.org
ขณะที่เขียนบทความนี้ ประชาชนจำนวนไม่น้อยกำลังอยู่ในช่วงของการลงประชามติว่าจะรับหรือไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับร่าง
ด้วยเหตุผลทางกฎหมายและโดยมารยาท ผมคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ คาดการณ์เกี่ยวกับผลของการลงประชามติ
แต่ขอมองไปข้างหน้า หลังการลงประชามติครั้งนี้
ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ขอยืนยันว่า สิ่งที่ทุกฝ่ายต้องช่วยกันผลักดันให้เกิดขึ้นยังไม่เปลี่ยนแปลง
นั่นคือการนำสังคมและประเทศชาติคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตย
เพื่อสร้างความชัดเจน ความมั่นใจ
เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาต่างๆที่ประชาชนรอคอย
เพื่อให้วิกฤติ ความสับสน ความวุ่นวาย และความขัดแย้งที่ดูจะมีอยู่อย่างไม่จบไม่สิ้น กลายเป็นเรื่องของอดีต
แน่นอนที่สุด สิ่งนี้ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่า หากวันนี้ประชาชนไปใช้สิทธิกันมากๆ และไม่มีปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับการลงประชามติ ไม่ว่าจะโดยฝ่ายใด
ในกรณีที่รัฐธรรมนูญได้รับความเห็นชอบ การเดินไปข้างหน้า คงมีความชัดเจนในเชิงกรอบเวลา (ดูบทความใน www.abhisit.org เรื่อง ประชามติ รัฐธรรมนูญ กับการเมืองใหม่ โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๐)
หลังจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้ การตรากฎหมายเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมืองก็ต้องเสร็จสิ้นภายใน ๔๕ วัน
หลังจากนั้นก็จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน ๙๐ วัน
ความเป็นไปได้ที่จะมีการเลือกตั้งภายในสิ้นปีนี้ตามที่นายกรัฐมนตรีและประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เคยประกาศไว้ก็คงจะมีสูง
โดยที่พรรคการเมืองใหม่จะสามารถเริ่มต้นขั้นตอนการจดทะเบียนพรรคการเมืองได้ ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป
ผมอยากเห็นบรรยากาศการเมืองปรับไปสู่การแข่งขันอย่างสร้างสรรค์
แข่งกันนำเสนอนโยบาย และแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆของชาติและประชาชน เพื่อให้เกิดความหวัง ทางเลือก ที่จะทำให้ประเทศเดินหน้า หลังจากหยุดชะงักมานาน
แน่นอน คะแนนเสียงที่รัฐธรรมนูญได้รับความเห็นชอบมากน้อย ย่อมมีผลต่อการเคลื่อนไหวทางการเมือง
แต่ไม่ว่าการได้รับความเห็นชอบจะด้วยคะแนนเสียงเท่าไร ต้องยอมรับว่าหลายฝ่ายได้ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ผู้ที่จะมีสิทธิในการเสนอแก้ไขต่อไป ก็คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และประชาชน
ผู้ที่จะมีอำนาจชี้ขาดในการแก้ไข คือ เสียงข้างมากของรัฐสภา
พรรคการเมืองทุกพรรค ที่ผมได้ติดตาม มีทั้งที่เห็นว่ารัฐธรรมนูญบกพร่องถึงขั้นประกาศไม่สนับสนุน และมีที่เห็นว่าไม่สมบูรณ์ แต่รับได้ แต่ควรมีการแก้ไขต่อไป
ยังไม่เห็นมีพรรคการเมืองที่แสดงจุดยืนแตกต่างไปจากนี้
ผมจึงเห็นว่า ทุกพรรคการเมืองจึงควรหารือตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งว่าจะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญกันต่อไปอย่างไร โดยไม่ต้องคำนึงว่าหลังจากการเลือกตั้ง ใครจะเป็นรัฐบาล ใครจะเป็นฝ่ายค้าน
หากทำอย่างนี้ การมีรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์ต่อไป ก็จะมีโอกาสเป็นจริงมากขึ้น
และเป็นการเริ่มต้นกระบวนการสมานฉันท์ ในหมู่พรรคการเมืองตามวิถีทางรัฐสภาอย่างเป็นรูปธรรม
กรณีรัฐธรรมนูญไม่ได้รับความเห็นชอบ
ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราวนั้น รัฐบาล และ คมช. จะต้องเป็นผู้หยิบยกรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งขึ้นมา โดยมีอำนาจแก้ไข เพื่อจัดทำเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใน ๓๐ วัน (ดูบทความใน www.abhisit.org เรื่อง นายกฯพบหัวหน้าพรรคการเมืองครั้งที่ ๒ โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๐ หรือ รัฐบาล /คมช.กับประเด็นร้อนก่อนปีใหม่ โดยอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๙ )
หากสดับตรับฟังมาโดยตลอด จะพบว่ารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นฉบับที่ประชาชนมองว่าเป็นประชาธิปไตยที่สุดฉบับหนึ่ง และเป็นฉบับที่ประชาชนยังมีความคุ้นเคยมากที่สุด
ไม่มีเหตุผลอะไรที่รัฐบาล และ คมช.จะไปหยิบยกฉบับอื่น
และไม่มีเหตุผลใดที่รัฐบาลและคมช. จะไปแก้ไขในลักษณะที่ทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของรัฐธรรมนูญลดลง
ส่วนการแก้ไขใดๆที่เห็นว่าจำเป็น ก็จะต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนเท่าที่เวลาและสถานการณ์จะเอื้ออำนวย
จากนั้นก็ควรเข้าสู่กระบวนการจัดทำกฎหมายลูก เพื่อมุ่งไปสู่การเลือกตั้งต่อไป
หากไม่ดำเนินการเช่นนี้ โอกาสที่สภาพการณ์ทางการเมืองจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มอำนาจเก่า และอำนาจใหม่ที่ลุกลามบานปลายก็จะเป็นไปได้สูง
ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการ
เพราะมีแต่จะทำให้ปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนต้องรอการแก้ไขต่อไป
ปรากฏการณ์ทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา การรณรงค์ต่อสู้กันทุกรูปแบบ โดยใช้เงื่อนไขของการประชามติเป็นเครื่องมือบ่งบอกว่า อำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ ยังไม่มีแนวโน้มที่จะลดละต่อกัน
ผมอยากจะเรียกร้องว่า วันนี้เป็นโอกาสที่ทุกฝ่ายจะได้ทบทวนบทบาทของตน เพื่อมาช่วยกันให้ประเทศหลุดพ้นจากวังวนของความขัดแย้ง
และอยากให้ประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นเสมือน “พลังเงียบ” ได้เริ่มต้นส่งเสียงดังๆว่า
พอแล้ว สำหรับการต่อสู้แบบแบ่งขั้วอำนาจ
พอแล้ว สำหรับการจมอยู่กับอดีต การเอาประเทศมาเป็นเดิมพัน เพื่อประโยชน์ของบุคคล หรือของกลุ่ม
พอแล้วสำหรับการเมืองนอกระบบ นอกรูปแบบ ที่สร้างความสับสน แตกแยก
ถึงเวลาแล้วที่จะมองไปข้างหน้า เดินไปข้างหน้า เพื่อประเทศชาติและประชาชนทุกคน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 19 ส.ค. 2550--จบ--