กรุงเทพ--13 มิ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
ดร.ฮัสซัน วิรายูดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย เดินทางเยือนไทยระหว่างวันที่ 10 — 12 มิถุนายน 2550 เพื่อเป็นประธานร่วมในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ 6 รวมทั้งมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศ และเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 11 มิถุนายน 2550
ในการเยือนครั้งนี้ ทั้งสองประเทศได้หารือและย้ำถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความร่วมมือในการรับมือกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ดังจะเห็นได้จาก
1. ในช่วงการหารือทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ความร่วมมือทวิภาคีทางด้านความมั่นคง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและยุติความรุนแรงของสถานการณ์จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งอินโดนีเซียได้แสดงความเข้าใจ และสนับสนุนแนวทางของไทยในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี รวมทั้งได้สนับสนุนไทยในเวที OIC นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านข่าวกรองและความมั่นคง เพื่อการต่อต้านการใช้ความรุนแรง (counter radicalization) รวมทั้งส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งของมุสลิมสายกลาง โดยสนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำองค์กรทางศาสนาของทั้งสองประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการหารือระหว่างศาสนาต่างๆ (interfaith dialogue) อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศยังได้ยกข้อกังวลของไทยเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนในสาขาต่างๆ อาทิ พลังงาน ปิโตรเคมี และประมงขึ้นหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งฝ่ายอินโดนีเซียรับที่จะพิจารณาแก้ไขปัญหาต่อไป สำหรับความร่วมมือด้านการประมง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะทำประมงร่วมกันในลักษณะ joint venture รวมทั้งหารือถึงมาตรการที่จะช่วยเหลือเรือประมงไทยที่ถูกจับในน่านน้ำอินโดนีเซีย
2. ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ทั้งสองฝ่ายได้ทบทวนความคืบหน้าของความร่วมมือในปัจจุบัน และแสวงหาความร่วมมือด้านใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกัน และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบัน และสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ในสาขาความร่วมมือ ดังนี้
ด้านการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เร่งสรุปการจัดทำความตกลงการค้าทวิภาคีในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee-JTC) เพื่อเป็นเป็นกลไกความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างกัน โดยเฉพาะที่ประชุมเน้นย้ำบทบาทของสภาธุรกิจของทั้งสองประเทศ ซึ่งสภาธุรกิจไทย — อินโดนีเซีย จะเป็นเจ้าภาพการประชุมสภาธุรกิจร่วมของทั้งสองประเทศครั้งที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายน 2550
นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศได้ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนความร่วมมือ/กิจกรรมส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการคมนาคมระหว่างจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และจังหวัดต่างๆ ในเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อมโยงจังหวัดชายแดนใต้และเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย
ด้านการเกษตร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ทั้งสองฝ่ายย้ำถึงกลไกความร่วมมือที่สำคัญ คือ คณะอนุกรรมการร่วมด้านการเกษตรที่เน้นส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือในด้านวิชาการ การดูงาน การส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะด้านปาล์มน้ำมัน เพื่อผลิตไบโอดีเซล เร่งรัดการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการประมงระหว่างกัน รวมทั้งตกลงให้มีการแจ้งกรณีการจับกุมเรือประมงผิดกฎหมายโดยทันที
นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังพิจารณาความเป็นไปได้ในความร่วมมือในการป้องกันการค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย และการป้องกันการค้าสินค้าจากป่าอย่างผิดกฎหมาย รวมทั้ง ความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมการระบาดของเชื้อไข้หวัดนก และการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติและมลภาวะข้ามประเทศอีกด้วย
ด้านวิชาการและวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะจัดทำบันทึกความเข้าใจทางการศึกษา การจัดทำแผนปฏิบัติการด้านวัฒนธรรม ตลอดจนยินดีที่ได้ทำบันทึกความเข้าใจบ้านพี่เมืองน้องระหว่างย็อกยาการ์ตากับเชียงใหม่เสร็จแล้ว รวมทั้งกระชับความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกัน โดยเฉพาะด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการที่ไทยให้ความช่วยเหลือสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในจังหวัดอาเจห์ของอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ไทยยังให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอของผู้นำทางศาสนาระหว่างกัน เนื่องจากจะเป็นการสร้างความเข้าใจระหว่างชาวมุสลิมของทั้งสองประเทศ
ด้านการท่องเที่ยวและขนส่ง ทั้งสองฝ่ายเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาการเชื่อมโยงของเส้นทางคมนาคมทางอากาศและทางทะเล เพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อมโยงจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยและเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย นอกจากนั้น ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการท่องเที่ยวระหว่างกัน
ด้านพลังงานและเหมืองแร่ ทั้งสองฝ่ายเน้นความร่วมมือด้านความมั่นคงทางพลังงาน และการพัฒนาแหล่งพลังงานอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยสนับสนุนการลงทุนร่วมกันระหว่างบริษัท ปตท.จำกัด มหาชน กับบริษัทพลังงานแห่งชาติของอินโดนีเซีย (Pertamina) และฝ่ายไทยเสนอการร่วมลงทุนกับอินโดนีเซียในการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาตินาทูน่า รวมทั้งการนำเข้า LNG จากอินโดนีเซีย และทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันที่จะจัดตั้งคณะอนุกรรมการร่วมทางด้านพลังงาน และอนุกรรมการร่วมทางด้านเหมืองแร่ เพื่อที่จะให้มีการหารือถึงแนวทางความร่วมมือในด้านนี้ระหว่างกันต่อไปในโอกาสแรก
ด้านกฎหมายและกงสุล ทั้งสองฝ่ายเห็นถึงความสำคัญในความร่วมมือทางการกงสุลและการขยายความร่วมมือทางกฎหมาย และเห็นชอบที่จะจัดทำความตกลงการยกเว้นการตรวจลงตราแก่ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-
ดร.ฮัสซัน วิรายูดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซีย เดินทางเยือนไทยระหว่างวันที่ 10 — 12 มิถุนายน 2550 เพื่อเป็นประธานร่วมในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ 6 รวมทั้งมีกำหนดการหารือทวิภาคีกับรัฐมนตรีต่างประเทศ และเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 11 มิถุนายน 2550
ในการเยือนครั้งนี้ ทั้งสองประเทศได้หารือและย้ำถึงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกันในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความร่วมมือในการรับมือกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ ดังจะเห็นได้จาก
1. ในช่วงการหารือทวิภาคี ทั้งสองฝ่ายได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ความร่วมมือทวิภาคีทางด้านความมั่นคง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและยุติความรุนแรงของสถานการณ์จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งอินโดนีเซียได้แสดงความเข้าใจ และสนับสนุนแนวทางของไทยในการแก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี รวมทั้งได้สนับสนุนไทยในเวที OIC นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะร่วมมือกันในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และการส่งเสริมความร่วมมือด้านข่าวกรองและความมั่นคง เพื่อการต่อต้านการใช้ความรุนแรง (counter radicalization) รวมทั้งส่งเสริมการสร้างความเข้มแข็งของมุสลิมสายกลาง โดยสนับสนุนการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำองค์กรทางศาสนาของทั้งสองประเทศ ตลอดจนสนับสนุนการหารือระหว่างศาสนาต่างๆ (interfaith dialogue) อย่างสม่ำเสมอ
นอกจากนั้น รัฐมนตรีต่างประเทศยังได้ยกข้อกังวลของไทยเกี่ยวกับอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนในสาขาต่างๆ อาทิ พลังงาน ปิโตรเคมี และประมงขึ้นหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งฝ่ายอินโดนีเซียรับที่จะพิจารณาแก้ไขปัญหาต่อไป สำหรับความร่วมมือด้านการประมง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะทำประมงร่วมกันในลักษณะ joint venture รวมทั้งหารือถึงมาตรการที่จะช่วยเหลือเรือประมงไทยที่ถูกจับในน่านน้ำอินโดนีเซีย
2. ในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ทั้งสองฝ่ายได้ทบทวนความคืบหน้าของความร่วมมือในปัจจุบัน และแสวงหาความร่วมมือด้านใหม่ๆ ที่จะเป็นประโยชน์ร่วมกัน และสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลปัจจุบัน และสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ในสาขาความร่วมมือ ดังนี้
ด้านการค้าและการลงทุน ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้เร่งสรุปการจัดทำความตกลงการค้าทวิภาคีในการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee-JTC) เพื่อเป็นเป็นกลไกความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจระหว่างกัน โดยเฉพาะที่ประชุมเน้นย้ำบทบาทของสภาธุรกิจของทั้งสองประเทศ ซึ่งสภาธุรกิจไทย — อินโดนีเซีย จะเป็นเจ้าภาพการประชุมสภาธุรกิจร่วมของทั้งสองประเทศครั้งที่ 2 ในเดือนพฤศจิกายน 2550
นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศได้ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในกรอบอนุภูมิภาคสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนความร่วมมือ/กิจกรรมส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และการคมนาคมระหว่างจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย และจังหวัดต่างๆ ในเกาะสุมาตราของอินโดนีเซียให้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อมโยงจังหวัดชายแดนใต้และเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย
ด้านการเกษตร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ทั้งสองฝ่ายย้ำถึงกลไกความร่วมมือที่สำคัญ คือ คณะอนุกรรมการร่วมด้านการเกษตรที่เน้นส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือในด้านวิชาการ การดูงาน การส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะด้านปาล์มน้ำมัน เพื่อผลิตไบโอดีเซล เร่งรัดการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการประมงระหว่างกัน รวมทั้งตกลงให้มีการแจ้งกรณีการจับกุมเรือประมงผิดกฎหมายโดยทันที
นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังพิจารณาความเป็นไปได้ในความร่วมมือในการป้องกันการค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมาย และการป้องกันการค้าสินค้าจากป่าอย่างผิดกฎหมาย รวมทั้ง ความร่วมมือในการป้องกันและควบคุมการระบาดของเชื้อไข้หวัดนก และการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติและมลภาวะข้ามประเทศอีกด้วย
ด้านวิชาการและวัฒนธรรม ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะจัดทำบันทึกความเข้าใจทางการศึกษา การจัดทำแผนปฏิบัติการด้านวัฒนธรรม ตลอดจนยินดีที่ได้ทำบันทึกความเข้าใจบ้านพี่เมืองน้องระหว่างย็อกยาการ์ตากับเชียงใหม่เสร็จแล้ว รวมทั้งกระชับความร่วมมือทางวิชาการระหว่างกัน โดยเฉพาะด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการที่ไทยให้ความช่วยเหลือสำหรับการพัฒนาที่ยั่งยืนในจังหวัดอาเจห์ของอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ไทยยังให้ความสำคัญกับการแลกเปลี่ยนการเยือนอย่างสม่ำเสมอของผู้นำทางศาสนาระหว่างกัน เนื่องจากจะเป็นการสร้างความเข้าใจระหว่างชาวมุสลิมของทั้งสองประเทศ
ด้านการท่องเที่ยวและขนส่ง ทั้งสองฝ่ายเห็นถึงความสำคัญในการพัฒนาการเชื่อมโยงของเส้นทางคมนาคมทางอากาศและทางทะเล เพื่อส่งเสริมการทำธุรกิจท่องเที่ยวระหว่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเชื่อมโยงจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยและเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย นอกจากนั้น ที่ประชุมให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรม รวมทั้งส่งเสริมการฝึกอบรมและการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการท่องเที่ยวระหว่างกัน
ด้านพลังงานและเหมืองแร่ ทั้งสองฝ่ายเน้นความร่วมมือด้านความมั่นคงทางพลังงาน และการพัฒนาแหล่งพลังงานอย่างยั่งยืนในอนาคต โดยสนับสนุนการลงทุนร่วมกันระหว่างบริษัท ปตท.จำกัด มหาชน กับบริษัทพลังงานแห่งชาติของอินโดนีเซีย (Pertamina) และฝ่ายไทยเสนอการร่วมลงทุนกับอินโดนีเซียในการพัฒนาแหล่งก๊าซธรรมชาตินาทูน่า รวมทั้งการนำเข้า LNG จากอินโดนีเซีย และทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกันที่จะจัดตั้งคณะอนุกรรมการร่วมทางด้านพลังงาน และอนุกรรมการร่วมทางด้านเหมืองแร่ เพื่อที่จะให้มีการหารือถึงแนวทางความร่วมมือในด้านนี้ระหว่างกันต่อไปในโอกาสแรก
ด้านกฎหมายและกงสุล ทั้งสองฝ่ายเห็นถึงความสำคัญในความร่วมมือทางการกงสุลและการขยายความร่วมมือทางกฎหมาย และเห็นชอบที่จะจัดทำความตกลงการยกเว้นการตรวจลงตราแก่ผู้ถือหนังสือเดินทางทูตและราชการ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5170 โทรสาร. 643-5169 E-mail : [email protected]จบ--
-พห-