บทสรุปภาวะการส่งออกของประเทศไทยเดือน ม.ค-เม.ย. 2548

ข่าวเศรษฐกิจ Friday June 3, 2005 16:04 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. เศรษฐกิจไทยในปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5.25-6.25 ส่วนปี 2547 GDP ของไทยขยายตัวที่ประมาณร้อยละ 6.3 2. ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสำคัญอันดับที่ 23 ของโลก ในปี 2547 มีสัดส่วนการส่งออกประมาณร้อยละ 1.13 ของการส่งออกรวมในตลาดโลก(ปี 2546 ไทยอยู่อันดับที่ 23 สัดส่วนร้อยละ 1.16) 3. ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าสำคัญอันดับที่ 23 ของโลก ของปี 2547 มีสัดส่วนการนำเข้าประมาณร้อยละ 1.66 ของการนำเข้าในตลาดโลก 4. การค้าของไทยในเดือน ม.ค.-เม.ย 2548 มีมูลค่า 71,390.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.74 แยกเป็นการส่งออกมูลค่า 33,439.01 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.61 การนำเข้ามีมูลค่า 37,951.91 ล้านเหรียญสหรัฐฯเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.95 ไทยเสียเปรียบดุลการค้า เป็นมูลค่า 4,512.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 5. กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกในปี 2548 ที่มูลค่า 117,196 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 การส่งออกเดือน ม.ค.-เม.ย. 2548 มีมูลค่า 71,390.93 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.74 หรือคิดเป็นร้อยละ 28.53 ของเป้าหมายการส่งออก 6. สินค้าส่งออกสำคัญ 50 อันดับแรก สัดส่วนรวมกันร้อยละ 82.91 ของมูลค่าการส่งออกเดือน มี.ค. 2548 สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเปลี่ยนแปลงสูง มีดังนี้ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 2 รายการ คือ เคมีภัณฑ์ และไก่แปรรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 63.16 และ 79.71 ตามลำดับ 7. ตลาดส่งออกสำคัญ 50 อันดับแรก สัดส่วนรวมกันร้อยละ 96.13 ของมูลค่าการส่งออก เดือน เม.ย. 2548 ตลาดที่มีมูลค่าการส่งออกเปลี่ยนแปลงสูง มีดังนี้ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 มี 3 ตลาด ได้แก่ อินเดีย ไนจีเรีย และอาร์เจนตินา โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 105.41, 125.45 และ 298.79 ตามลำดับ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 6 ตลาด ได้แก่ อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้ ตุรกี นิวซีแลนด์ ออสเตรีย และเซเนกัล โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 50.74, 59.13, 60.53, 62.06, 66.11 และ 50.69 ตามลำดับ 8. การนำเข้า 8.1 สินค้านำเข้ามีสัดส่วนโครงสร้างดังนี้ - สินค้าเชื้อเพลิง สัดส่วนร้อยละ 15.34 เพิ่มขึ้นร้อยละ 63.11 - สินค้าทุน สัดส่วนร้อยละ 28.00 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.10 - สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สัดส่วนร้อยละ 44.58 เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.86 - สินค้าบริโภค สัดส่วนร้อยละ 6.59 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.47 - สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง สัดส่วนร้อยละ 3.63 เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.08 - สินค้าอื่นๆ สัดส่วนร้อยละ 1.87 เพิ่มขึ้นร้อยละ 135.72 8.2 แหล่งนำเข้าสำคัญ 10 อันดับแรก มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 68.80 ของมูลค่าการนำเข้าเดือน เม.ย. 2548 ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย สัดส่วนร้อยละ 22.72, 9.47, 7.50, 7.16, 5.23, 4.48, 3.80, 3.37, 3.00และ 2.88 โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 18.98, 50.59, 22.49, 52.23, 122.12, 34.30, 11.49, 2.08, 76.53 และ 70.98 ตามลำดับ 9. ข้อคิดเห็น 1. ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (นายนริศ ชัยสูตร) ได้ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2548 ว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องถึงร้อยละ 6 โดยมีปัจจัยที่สำคัญ ได้แก่ การลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชน ที่คาดว่าจะขยายตัวถึงร้อยละ 24.0 และ 16.3 ต่อปีตามลำดับ ส่วนปัจจัยเสี่ยงในปี 2548 นี้คาดว่าจะมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน ได้แก่ - ปัจจัยภายนอกประเทศที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่มีแนวโน้มชะลอลงจากปี 2547 ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ยังสูง และอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ปัจจัยภายในประเทศ - ปัจจัยภายในประเทศ ปัญหาโรคไข้หวัดนก ปัญหาภัยแล้ง และปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของเศรษฐกิจยังมีข้อจำกัดอยู่ ทั้งจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นดุลการค้าที่ยังขาดดุลติดต่อกัน ราคาน้ำมันที่ยังสูง แรงกดดันของเงินเฟ้อที่เพิ่มมากขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำเสถียรภาพแรงกดดันด้านราคาสินค้า การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และการลด NPL ที่ต่ำกว่าเป้าหมาย เป็นแรงหนุนให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ดังนั้นสภาพัฒน์ฯ จึงได้คาดการณ์ว่าในปี 2548 การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ร้อยละ 5.0-5.5 เท่านั้นต่ำกว่าตัวเลขประมาณการของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังอยู่ร้อยละ 0.5-1 ดังนั้น รัฐบาลควรให้ความสำคัญกับการเร่งมือสานต่อในโครงการต่างๆ เช่น การขยายการส่งออกสินค้าเกษตร การสนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐบาลให้เป็นไปตามเป้าหมายและกิจกรรมที่ได้กำหนดไว้ การสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงการฟื้นฟูจากผลกระทบสึนามิ และการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจของภาคธุรกิจเอกชนในเรื่องการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นระบบการขนส่ง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ได้แก่ น้ำ เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติและเพิ่มผลผลิตการเกษตร รถไฟฟ้า เพื่อให้ประชาชนประหยัดเวลาเดินทางได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเวลาเดินทางให้ได้มากขึ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นภาพรวมของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในปี 2548 ซึ่งภาคเอกชนค่อนข้างให้การตอบรับเป็นอย่างดี 2. ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล) ได้มองถึงแนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในอนาคตน่าจะมีการเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอัตราการผลิตที่เพิ่มถึงระดับที่จะต้องมีการลงทุนเพิ่ม ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในเรื่องของความต้องการสินค้าที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ กรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บีที ยังเชื่อว่ายังคงจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาต่อเนื่องเพราะประเทศในภูมิภาคเอเชียยังมีความสามารถในการเติบโตได้อีกเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ โดยเป็นผลมาจากจีนและอินเดีย ทั้งนี้ นางอุบลรัตน์ จันทรังษ์ เศรษฐกร ของธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้ความเห็นถึงแนวโน้มการลงทุนโดยตรงในช่วง 1-2 ปีข้างหน้าว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยภายในประเทศและนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุน คุณภาพแรงงาน อัตราการใช้กำลังการผลิตที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากตัวเลขจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทยจะเห็นว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาการลงทุนได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของไทยยังไม่ถึงระดับเต็มกำลังการผลิต สำหรับประเทศหลักที่เข้ามาลงทุนโดยตรงได้แก่ประเทศญีปุ่น จะเข้ามาในรูปของการลงทุนโดยตรงมากที่สุดโดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและกลุ่มสหภาพยุโรป ค่อนข้างมีความผันผวนโดยจะเข้ามาลงทุนในภาคสถาบันการเงิน นางอรรชกา บริมเบิล ที่ปรึกษาด้านการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ยอดการขอรับการส่งเสริมลงทุนในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2548 มีจำนวน 396 โครงการ เงินลงทุนรวม 205,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับอุตสาหกรรมที่มีการลงทุนมากที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง มี่มูลค่า 91,200 ล้านบาท รองลงมาเป็นกิจการด้านบริการและสาธารณูปโภค 52,900 ล้านบาท อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า 24,800 ล้านบาท อุตสาหกรรมกระดาษและอุตสาหกรรมพลาสติก เงินลงทุน 14,300 ล้านบาท โดยนักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเข้ามาลงทุนมากเป็นอันดับ 1 นางอรรชกา กล่าวต่อไปว่า บีโอไอเป็นหน่วยงานที่สำคัญในการดึงเม็ดเงินลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคงให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การส่งเสริมลงทุนและการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เน้นให้สิทธิประโยชน์ทางภาษียังไม่เพียงพอในการดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศจำเป็นต้องมีมาตรการเสริมในการจูงใจด้วยการขยายฐานการผลิตชิ้นส่วนและอุตสาหกรรมสนับสนุนรองรับบริษัทต่างชาติขนาดใหญ่ทั้งสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ที่เน้นการซื้อชิ้นส่วนและวัตถุดิบหรือเชื่อมโยงวัตถุดิบกับผู้ผลิตรายเล็กแทนการลงทุนเองเพื่อลดต้นทุน โดยที่หน่วยพัฒนาการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมจะเป็นหน่วยงานหลักในการเร่งสร้างเครือข่ายการเชื่อมโยงอุตสาหกรรมให้เกิดขึ้นในไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนและวัตถุดิบของภูมิภาคต่อไป 3. จากกรณีที่องค์การระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลก รับรองข้อตัดสินของคณะผู้พิจารณาคดีขั้นต้นและองค์กรอุทธรณ์ของ WTO ให้ออสเตรเลีย บราซิล และไทย ชนะคดีฟ้องร้องสหภาพยุโรป (อียู) ว่าอียูอุดหนุนส่งออกน้ำตาลเกินกว่าข้อผูกพันและตัดสินให้อียูยกเลิกการอุดหนุนภายในไม่เกิน 15 เดือน นายอำนวย ปะติเส เลขาธิการกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำตาล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จะส่งผลให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5-10% โดยมีเงื่อนไขที่ว่าไม่มีปริมาณน้ำตาลเข้ามาในระบบเพิ่มจากปัจจุบัน สำหรับประเทศไทย นั้น จะได้รับประโยชน์ในเรื่องราคาน้ำตาลที่จะดีขึ้นในตลาดโลกแต่บราซิลจะได้ประโยชน์มากที่สุดเพราะว่าบราซิลมีการปลูกอ้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับไทย สาเหตุที่บราซิลปลูกอ้อยมากเนื่องจาก บราซิลมีพื้นที่รกร้างว่างเปล่ามากและใช้อ้อยผลิตเป็นน้ำตาลและเอทานอลซึ่งใช้ทดแทนน้ำมันเบนซิน สาเหตุที่ไทยปลูกอ้อยลดลง เป็นผลมาจากนโยบายของรัฐที่ต้องการควบคุมปริมาณอ้อยให้อยู่ที่ระดับ 65 ล้านตันต่อปี หากปลูกอ้อยเกินกว่านี้รัฐบาลจะไม่ให้ความช่วยเหลืออ้อยในส่วนที่เกินนี้ทำให้เกษตรกรชะลอการปลูกอ้อยลงรวมทั้งเกิดภัยแล้งทำให้ปริมาณอ้อยลดลงตามไปด้วย ปัจจุบันไทยผลิตน้ำตาลได้ปีละ 5 ล้านตัน ใช้ภายในประเทศ 2 ล้านตันและส่งออก 3 ล้านตัน จากอดีตที่เคยส่งออกสูงถึง 5 ล้านตัน 4. กรณีข้อพิพาททางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาและอียู เกี่ยวกับสินค้าสิ่งทอส่งออกของจีนไปยังสหรัฐฯและอียู เพิ่มขึ้นในอัตราสูงขึ้นตั้งแต่ WTO ยกเลิกมาตรการกำหนดโควต้าสิ่งทอในตลาดโลกเมื่อ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นมา ทั้งสหรัฐฯและอียู ได้อ้างว่าสินค้าสิ่งทอของจีนเข้าไปทำให้ธุรกิจอุตสาหกรรมสิ่งทอภายในประเทศได้รับผลกระทบเพราะไม่สามารถแข่งขันได้ ทั้งสหรัฐฯ และอียู ได้พยายามกดดันให้จีนจำกัดการส่งออกสินค้าสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปเข้าไปในตลาดของสหรัฐฯและอียู ล่าสุดอียู (เมื่อวันที่ 27 พ.ค.2548) ได้ดำริที่จะนำข้อขัดแย้งดังกล่าวเข้าสู่องค์การการค้าโลก(WTO) โดยให้เวลาจีน 15 วัน ดำเนินการกับปัญหาดังกล่าวมิฉะนั้น อียูจะจำกัดการนำเข้าเสื้อยืดและด้ายป่านจากจีน อย่างไรก็ตาม อียูได้ผลักดันให้มีการเจรจาอย่างไม่เป็นทางการขึ้นระหว่างนายปีเตอร์ แมนเดลสัน กับนายป๋อซีไหลรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ของจีน ก่อนนำข้อพิพาทถึง WTO ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในวันที่ 31 พ.ค. 2548 ด้านสหรัฐฯ นายคาลอส กูเทียริเรช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มีกำหนดจะเดินทางเยือนจีนในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2548 เพื่อพบกับตัวแทนทางการจีนในประเด็นสินค้าสิ่งทอและหากไม่มีข้อสรุปใดๆ สหรัฐฯ จะนำระบบโควต้ากลับมาใช้กับสินค้าสิ่งทอจากจีนเพิ่มอีก 4 ประเภท : เสื้อเชิ้ตชายและเด็ก, กางเกงขายาว, เสื้อเชิ้ตถัก, เสื้อสตรีและเส้นใยฝ้ายเพิ่มจากเมื่อ 13 พ.ค. 2548 ที่ผ่านมาได้กำหนดใช้โควต้ากับสินค้า 3 ประเภท คือ เชิ้ต กางเกงผ้าฝ้ายและชุดชั้นในไปแล้ว ถือเป็นการตอบโต้ภายใต้มาตรการเซฟการ์ดตามข้อกำหนดของ WTO สำหรับประเทศไทย นายวัลลภ วิตนากร อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องนุ่มห่มไทย ได้เปิดเผยว่า ตามที่สหรัฐฯและอียู ได้จำกัดการนำเข้าสิ่งทอจากจีน ซึ่งจะมีผลให้คำสั่งซื้อของผู้ค้าในสหรัฐฯ หันเข้ามาในประเทศเอเซียรวมทั้งไทย โดยขณะนี้ได้มีผู้ผลิตของไทยได้รับคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากเดิม 20-30%แล้ว อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะตามมากับคำสั่งซื้อเหล่านั้นก็คือ การไหลเข้าของเสื้อผ้าจากจีนที่จะเข้ามาใช้แหล่งกำเนิดสินค้าไทยเพื่อจะส่งต่อออกไปสหรัฐฯหรืออียูแทน ซึ่งถ้าหากมีการส่งออกมากผิดปกติสหรัฐฯและอียู ก็อาจจะพิจารณาใช้มาตรการทางการค้ากับไทยได้ในอนาคต ซึ่งในเบื้องต้นอาจจะต้องมีมาตรการดูแลโดยทุกบริษัทจะต้องจัดทำรายงานกำลังการผลิต รวมทั้งโรงงาน สถานที่ผลิตที่ชัดเจน หากมีการเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติจะได้รับทราบว่ามีการเข้ามาสวมสิทธิดังกล่าวหรือไม่ โดยผู้ส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าสำเร็จรูปจะต้องเข้าร่วมมือกับกรมการค้าต่างประเทศในเรื่องนี้เพื่อเป็นการวางกรอบป้องกันสิ่งทอจากจีนเข้ามาสวมแหล่งกำเนิดสินค้าจากไทยต่อไป ที่มา: http://www.depthai.go.th-ดท-

แท็ก การส่งออก   GDP  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ