ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.คงอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีระยะ 14 วันไว้ที่ระดับเดิม ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้
คงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 14 วันไว้ที่ระดับเดิม คือ ร้อยละ 1.25 ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
เนื่องจากเห็นว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมายังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากแรงขับเคลื่อนทั้งการใช้จ่าย
ภายในประเทศและการส่งออก โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนและจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อย่างไร
ก็ตาม ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างเร่งตัว โดยอัตรา
เงินเฟ้อทั่วไปในเดือน มิ.ย.47 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.5 ก็
ตาม กนง.ประเมินว่าแนวโน้มตลาดแรงงานจะตึงตัวขึ้นและเศรษฐกิจที่จะขยายต่อเนื่องจะเป็นแรงกดดันต่อ
เงินเฟ้อพื้นฐานในระยะต่อไป นอกจากนี้ยังมีความห่วงใยต่อการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และหนี้ภาค
ครัวเรือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ โดยภาคอสังหาริมทรัพย์มีความร้อนแรงมากโดยมีมูลค่าการซื้อขายที่ดินขยายตัวกว่า
ร้อยละ 30 ทั้งนี้ กนง.มีความพร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวอย่างชัดเจนและหนี้ภาค
ครัวเรือนเร่งตัวสูงขึ้น รวมทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์มีความร้อนแรงมากขึ้น (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน,
กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, มติชน)
2. ก.คลังเตรียมหารือ ธปท.เพื่อสรุปกรอบ พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากในสัปดาห์หน้า นายวี
ระชัย วีระเมธีกุล ผู้ช่วย รมว.ก.คลัง เปิดเผยภายหลังประชุมหารือความคืบหน้าในการร่าง พ.ร.บ.สถาบัน
ประกันเงินฝากร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมหารือร่วมกันระหว่าง
ก.คลัง และ ธปท.ในสัปดาห์หน้า โดยสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำระบบประกัน
เงินฝากแบบจำกัดวงเงินมาใช้แทนการคุ้มครองจากภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสถาบันที่จัดตั้งขึ้นจะมีฐานะเป็น
นิติบุคคลที่ไม่เป็นราชการหรือรัฐวิสาหกิจ โดยมีทุนจดทะเบียนเบื้องต้นจากงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านบาท
และจะมีการแยกอำนาจการตรวจสอบกับการบริหารจัดการออกจากกันอย่างชัดเจน โดย ธปท.จะทำหน้าที่
ตรวจสอบ ส่วนสถาบันประกันเงินฝากจะทำหน้าที่บริหารจัดการ (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ,
แนวหน้า)
3. ผลประกอบการของ ธพ.ไทย 12 แห่งในรอบ 6 เดือนแรกปี 47 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ
51.10 ผลประกอบการของ ธพ.ไทย 12 แห่ง ในรอบ 6 เดือนแรกปี 47 มีกำไรสุทธิรวม 44,564.45
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 15,070.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 51.10 โดย
ธ.ไทยพาณิชย์มีกำไรเพิ่มขึ้นสูงสุดจำนวน 5,755.89 ล้านบาท หรือร้อยละ 96.39 รองลงมาคือ ธ.กรุงไทย
และ ธ.กรุงเทพ ขณะที่ธนาคารบางแห่งมีกำไรลดลง โดย ธ.กสิกรไทย มีกำไรสุทธิลดลงมากที่สุดจำนวน
3,309.66 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.41 ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของ ธพ.ทั้ง 12 แห่ง ณ
สิ้น มิ.ย.47 มีจำนวนรวม 583,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23,042.19 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.10
จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีเอ็นพีแอลของ ธพ. 5 แห่ง คือ ธ.กรุงไทย ธ.ทหารไทย ธ.ธนชาต ธ.ยูโอบี
รัตนสิน และ ธ.สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด นครธน ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ธ.กรุงไทยที่มีเอ็นพีแอลเพิ่มสูงถึง
46,045 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 57.8 จากไตรมาสก่อน (มติชน, ข่าวสด)
4. ตลท.เตรียมศึกษาแนวทางการปรับเกณฑ์ขนาดทุนจดทะเบียนใน ตลท. กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ตลท.อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการปรับเกณฑ์
ขนาดทุนจดทะเบียนขั้นสูงของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยให้บริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนใน
ตลท.มีขนาดทุนเพิ่มขึ้นจาก 200 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท ทำให้บริษัทที่มีขนาดทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 300
ล้านบาท ต้องเข้าไปจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอแทน และลดขนาดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำจากเดิมไม่ต่ำกว่า 40
ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทขนาดย่อมที่มีทุนจดทะเบียนน้อยมีโอกาสเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้
และสามารถสร้างความเข้มแข็งและขยายธุรกิจต่อไปได้ (โลกวันนี้, เดลินิวส์, มติชน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1.ยอดเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 22 ก.ค.47 ยอดเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 มีจำนวน 1.147 ล้านล้านเยน
หรือประมาณ 10.44 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.9 จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นเป็น
เดือนที่ 12 ติดต่อกัน อันเป็นผลจากการส่งออกซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงที่
ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 ในเดือน มิ.ย.47 จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน มีจำนวน 5.2879 ล้านล้านเยน
เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน จากการส่งออกชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เกี่ยวกับเซมิคอนดัคเตอร์ขยาย
ตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.3 จากปีก่อน มีจำนวน 4.1409 ล้านล้านเยน โดยส่วนใหญ่
เป็นการนำเข้าน้ำมันดิบและถ่านหินเพิ่มขึ้น และสะท้อนว่าการลงทุนและการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัว ทั้ง
การส่งออกและการใช้จ่ายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 6.1 ในไตรมาสแรกปีนี้
สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี โดยรัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3.5 ในปีงบประมาณนี้สิ้นสุดวันที่ 31
มี.ค.48 ซึ่งสูงสุดในรอบ 8 ปี (รอยเตอร์)
2. ญี่ปุ่นปรับประมาณการตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศปี 47 เป็นร้อยละ 3.5 สูง
ขึ้นเป็นสองเท่าจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 21 ก.ค.47
สำนักงานคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น เปิดเผยพยากรณ์เศรษฐกิจฉบับล่าสุดว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (real
GDP) ของญี่ปุ่นในปี งปม. 2547 ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือน มี.ค.48 จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5 เพิ่มขึ้นเป็นสอง
เท่าจากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็นการพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
สูงสุดในรอบ 8 ปี ในขณะเดียวกันก็ได้ปรับ nominal GDP เป็นร้อยละ 1.8 จากเดิมร้อยละ 0.5 ซึ่งอยู่ใน
ระดับเดียวกับที่นักเศรษฐศาสตร์หลายรายคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ การส่งออกไปจีนที่ขยายตัว การลงทุนของภาค
เอกชน ตลอดจนการบริโภคส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นช่วยให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ซบเซามานานนับสิบปีฟื้นตัวในช่วง
หลายเดือนที่ผ่านมา โดยอัตราการเติบโตต่อปีในช่วงเดือน ม.ค. — มี.ค.47 อยู่ที่ระดับร้อยละ 6.1 สูงสุด
ในรอบกว่าสิบปี ทางด้านการบริโภคของภาคเอกชนนั้นคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เทียบกับร้อยละ
1.1 ของปีก่อน ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนในปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 เทียบกับร้อยละ 7.2 ของปีก่อน
ส่วนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณหน้าที่จะเริ่มต้นในเดือน เม.ย.48 คาดว่า real GDP จะ
อยู่ที่ระดับสูงกว่าร้อยละ 2.0 หรือถ้าเป็น nominal GDP จะประมาณร้อยละ 1.5 (รอยเตอร์)
3. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือน ก.ค.47 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 21 ก.ค.47 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 23 คน ซึ่งคาด
ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ก.ค.47 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อต่อปีในเดือน
ก.ค.47 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.8 จากร้อยละ 1.7 ในเดือนก่อน ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์มองว่า สาเหตุที่ทำ
ให้ค่าครองชีพในเดือน ก.ค.47 ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลวันหยุด ประกอบกับราคาน้ำมันซึ่งมี
แนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์จาก Barclays Capital ได้คาดการณ์อัตราเงิน
เฟ้อของเขตเศรษฐกิจยุโรป (Euro zone) ในเดือน ก.ค. ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.5 จากร้อยละ 2.4
ในเดือนก่อน สาเหตุจากยังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้น อนึ่ง ทางการเยอรมนีจะเปิดเผย
ตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 23 ก.ค.47 นี้ (รอยเตอร์)
4. คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธ.กลางอังกฤษอาจพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน
เดือนส.ค. รายงานจากลอนดอน เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 47 ในการประชุมนโยบายการเงินของธ.กลางอังกฤษ
เมื่อวันที่ 7 — 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee —
MPC ) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละ 4.5 ต่อไปอีก แต่ชี้ว่าอาจจะต้องปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนหน้าเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจและการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ
0.25 อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ได้ส่งสัญญานทางเศรษฐกิจบางอย่างแล้ว อย่างไรก็ตามค่อนข้างชัดเจนว่า
จะต้องมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในคราวต่อไปหากจำเป็น นักวิเคราะห์เห็นว่าการที่ MPC เลื่อน
การปรับอัตราดอกเบี้ยออกไปเพื่อรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมมากกว่าที่จะเร่งรีบปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อในเดือนส.ค. อาจจะช่วยให้การประเมินภาพภาวะเศรษฐกิจเพื่อช่วยในการพิจารณาปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยดีขึ้น โดยนาย Mike Taylor นักเศรษฐศาสตร์จาก Merrill Lynch คาดว่าในการ
ประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 5 ส.ค. ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 4.75 ขณะ
เดียวกัน MPC ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจว่ายังคงขยายตัว แต่นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่าภาวะตลาดบ้านใน
เดือนพ.ค.ราคาบ้านยังคงสูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ทั้งๆที่ MPC ได้พยายามใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเมื่อเร็วๆนี้
( รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 ก.ค. 47 21 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.896 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6724/40.9599 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.28 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 655.82/20.35 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,650/7,750 7,650/7,750 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 34.58 34.37 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 18 มิ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท.คงอัตราดอกเบี้ยอาร์/พีระยะ 14 วันไว้ที่ระดับเดิม ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติให้
คงอัตราดอกเบี้ยซื้อคืนพันธบัตร (อาร์/พี) ระยะ 14 วันไว้ที่ระดับเดิม คือ ร้อยละ 1.25 ต่อไปอีกระยะหนึ่ง
เนื่องจากเห็นว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมายังขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง จากแรงขับเคลื่อนทั้งการใช้จ่าย
ภายในประเทศและการส่งออก โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนและจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย อย่างไร
ก็ตาม ราคาน้ำมันและราคาสินค้าเกษตรที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างเร่งตัว โดยอัตรา
เงินเฟ้อทั่วไปในเดือน มิ.ย.47 อยู่ที่ระดับร้อยละ 3 แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.5 ก็
ตาม กนง.ประเมินว่าแนวโน้มตลาดแรงงานจะตึงตัวขึ้นและเศรษฐกิจที่จะขยายต่อเนื่องจะเป็นแรงกดดันต่อ
เงินเฟ้อพื้นฐานในระยะต่อไป นอกจากนี้ยังมีความห่วงใยต่อการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และหนี้ภาค
ครัวเรือนที่เป็นอยู่ในขณะนี้ โดยภาคอสังหาริมทรัพย์มีความร้อนแรงมากโดยมีมูลค่าการซื้อขายที่ดินขยายตัวกว่า
ร้อยละ 30 ทั้งนี้ กนง.มีความพร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหากอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวอย่างชัดเจนและหนี้ภาค
ครัวเรือนเร่งตัวสูงขึ้น รวมทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์มีความร้อนแรงมากขึ้น (ข่าวสด, ผู้จัดการรายวัน,
กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, มติชน)
2. ก.คลังเตรียมหารือ ธปท.เพื่อสรุปกรอบ พ.ร.บ.สถาบันประกันเงินฝากในสัปดาห์หน้า นายวี
ระชัย วีระเมธีกุล ผู้ช่วย รมว.ก.คลัง เปิดเผยภายหลังประชุมหารือความคืบหน้าในการร่าง พ.ร.บ.สถาบัน
ประกันเงินฝากร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเตรียมหารือร่วมกันระหว่าง
ก.คลัง และ ธปท.ในสัปดาห์หน้า โดยสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำระบบประกัน
เงินฝากแบบจำกัดวงเงินมาใช้แทนการคุ้มครองจากภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งสถาบันที่จัดตั้งขึ้นจะมีฐานะเป็น
นิติบุคคลที่ไม่เป็นราชการหรือรัฐวิสาหกิจ โดยมีทุนจดทะเบียนเบื้องต้นจากงบประมาณจำนวน 1,000 ล้านบาท
และจะมีการแยกอำนาจการตรวจสอบกับการบริหารจัดการออกจากกันอย่างชัดเจน โดย ธปท.จะทำหน้าที่
ตรวจสอบ ส่วนสถาบันประกันเงินฝากจะทำหน้าที่บริหารจัดการ (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ,
แนวหน้า)
3. ผลประกอบการของ ธพ.ไทย 12 แห่งในรอบ 6 เดือนแรกปี 47 มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ
51.10 ผลประกอบการของ ธพ.ไทย 12 แห่ง ในรอบ 6 เดือนแรกปี 47 มีกำไรสุทธิรวม 44,564.45
ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 15,070.34 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 51.10 โดย
ธ.ไทยพาณิชย์มีกำไรเพิ่มขึ้นสูงสุดจำนวน 5,755.89 ล้านบาท หรือร้อยละ 96.39 รองลงมาคือ ธ.กรุงไทย
และ ธ.กรุงเทพ ขณะที่ธนาคารบางแห่งมีกำไรลดลง โดย ธ.กสิกรไทย มีกำไรสุทธิลดลงมากที่สุดจำนวน
3,309.66 ล้านบาท หรือร้อยละ 30.41 ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของ ธพ.ทั้ง 12 แห่ง ณ
สิ้น มิ.ย.47 มีจำนวนรวม 583,965 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23,042.19 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 4.10
จากไตรมาสก่อน เนื่องจากมีเอ็นพีแอลของ ธพ. 5 แห่ง คือ ธ.กรุงไทย ธ.ทหารไทย ธ.ธนชาต ธ.ยูโอบี
รัตนสิน และ ธ.สแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด นครธน ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ ธ.กรุงไทยที่มีเอ็นพีแอลเพิ่มสูงถึง
46,045 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 57.8 จากไตรมาสก่อน (มติชน, ข่าวสด)
4. ตลท.เตรียมศึกษาแนวทางการปรับเกณฑ์ขนาดทุนจดทะเบียนใน ตลท. กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ตลท.อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการปรับเกณฑ์
ขนาดทุนจดทะเบียนขั้นสูงของบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ โดยให้บริษัทที่จะเข้ามาจดทะเบียนใน
ตลท.มีขนาดทุนเพิ่มขึ้นจาก 200 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท ทำให้บริษัทที่มีขนาดทุนจดทะเบียนต่ำกว่า 300
ล้านบาท ต้องเข้าไปจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอแทน และลดขนาดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำจากเดิมไม่ต่ำกว่า 40
ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทขนาดย่อมที่มีทุนจดทะเบียนน้อยมีโอกาสเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นได้
และสามารถสร้างความเข้มแข็งและขยายธุรกิจต่อไปได้ (โลกวันนี้, เดลินิวส์, มติชน, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1.ยอดเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 12 ติดต่อกัน รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 22 ก.ค.47 ยอดเกินดุลการค้าของญี่ปุ่นในเดือน มิ.ย.47 มีจำนวน 1.147 ล้านล้านเยน
หรือประมาณ 10.44 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.9 จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน เพิ่มขึ้นเป็น
เดือนที่ 12 ติดต่อกัน อันเป็นผลจากการส่งออกซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงที่
ผ่านมาเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.4 ในเดือน มิ.ย.47 จากช่วงเวลาเดียวกันปีก่อน มีจำนวน 5.2879 ล้านล้านเยน
เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน จากการส่งออกชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์เกี่ยวกับเซมิคอนดัคเตอร์ขยาย
ตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.3 จากปีก่อน มีจำนวน 4.1409 ล้านล้านเยน โดยส่วนใหญ่
เป็นการนำเข้าน้ำมันดิบและถ่านหินเพิ่มขึ้น และสะท้อนว่าการลงทุนและการบริโภคในประเทศเริ่มฟื้นตัว ทั้ง
การส่งออกและการใช้จ่ายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวร้อยละ 6.1 ในไตรมาสแรกปีนี้
สูงสุดในรอบกว่า 10 ปี โดยรัฐบาลคาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 3.5 ในปีงบประมาณนี้สิ้นสุดวันที่ 31
มี.ค.48 ซึ่งสูงสุดในรอบ 8 ปี (รอยเตอร์)
2. ญี่ปุ่นปรับประมาณการตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศปี 47 เป็นร้อยละ 3.5 สูง
ขึ้นเป็นสองเท่าจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 21 ก.ค.47
สำนักงานคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น เปิดเผยพยากรณ์เศรษฐกิจฉบับล่าสุดว่า อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (real
GDP) ของญี่ปุ่นในปี งปม. 2547 ซึ่งจะสิ้นสุดในเดือน มี.ค.48 จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.5 เพิ่มขึ้นเป็นสอง
เท่าจากที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับร้อยละ 1.8 ซึ่งเป็นการพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
สูงสุดในรอบ 8 ปี ในขณะเดียวกันก็ได้ปรับ nominal GDP เป็นร้อยละ 1.8 จากเดิมร้อยละ 0.5 ซึ่งอยู่ใน
ระดับเดียวกับที่นักเศรษฐศาสตร์หลายรายคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ การส่งออกไปจีนที่ขยายตัว การลงทุนของภาค
เอกชน ตลอดจนการบริโภคส่วนบุคคลที่เพิ่มขึ้นช่วยให้เศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่ซบเซามานานนับสิบปีฟื้นตัวในช่วง
หลายเดือนที่ผ่านมา โดยอัตราการเติบโตต่อปีในช่วงเดือน ม.ค. — มี.ค.47 อยู่ที่ระดับร้อยละ 6.1 สูงสุด
ในรอบกว่าสิบปี ทางด้านการบริโภคของภาคเอกชนนั้นคาดว่าในปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 เทียบกับร้อยละ
1.1 ของปีก่อน ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนในปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.9 เทียบกับร้อยละ 7.2 ของปีก่อน
ส่วนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีงบประมาณหน้าที่จะเริ่มต้นในเดือน เม.ย.48 คาดว่า real GDP จะ
อยู่ที่ระดับสูงกว่าร้อยละ 2.0 หรือถ้าเป็น nominal GDP จะประมาณร้อยละ 1.5 (รอยเตอร์)
3. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือน ก.ค.47 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น รายงานจากเบอร์ลิน
เมื่อ 21 ก.ค.47 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์จำนวน 23 คน ซึ่งคาด
ว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ก.ค.47 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อต่อปีในเดือน
ก.ค.47 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.8 จากร้อยละ 1.7 ในเดือนก่อน ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์มองว่า สาเหตุที่ทำ
ให้ค่าครองชีพในเดือน ก.ค.47 ปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลวันหยุด ประกอบกับราคาน้ำมันซึ่งมี
แนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ นักเศรษฐศาสตร์จาก Barclays Capital ได้คาดการณ์อัตราเงิน
เฟ้อของเขตเศรษฐกิจยุโรป (Euro zone) ในเดือน ก.ค. ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 2.5 จากร้อยละ 2.4
ในเดือนก่อน สาเหตุจากยังมีความเสี่ยงจากราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวเพิ่มขึ้น อนึ่ง ทางการเยอรมนีจะเปิดเผย
ตัวเลขอัตราเงินเฟ้ออย่างเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 23 ก.ค.47 นี้ (รอยเตอร์)
4. คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธ.กลางอังกฤษอาจพิจารณาปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน
เดือนส.ค. รายงานจากลอนดอน เมื่อวันที่ 21 ก.ค. 47 ในการประชุมนโยบายการเงินของธ.กลางอังกฤษ
เมื่อวันที่ 7 — 8 กรกฎาคมที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงิน (Monetary Policy Committee —
MPC ) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับร้อยละ 4.5 ต่อไปอีก แต่ชี้ว่าอาจจะต้องปรับเพิ่ม
อัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนหน้าเนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจและการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ
0.25 อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ได้ส่งสัญญานทางเศรษฐกิจบางอย่างแล้ว อย่างไรก็ตามค่อนข้างชัดเจนว่า
จะต้องมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในคราวต่อไปหากจำเป็น นักวิเคราะห์เห็นว่าการที่ MPC เลื่อน
การปรับอัตราดอกเบี้ยออกไปเพื่อรอจังหวะเวลาที่เหมาะสมมากกว่าที่จะเร่งรีบปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว
ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อในเดือนส.ค. อาจจะช่วยให้การประเมินภาพภาวะเศรษฐกิจเพื่อช่วยในการพิจารณาปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยดีขึ้น โดยนาย Mike Taylor นักเศรษฐศาสตร์จาก Merrill Lynch คาดว่าในการ
ประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 5 ส.ค. ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 4.75 ขณะ
เดียวกัน MPC ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจว่ายังคงขยายตัว แต่นักวิเคราะห์บางคนกล่าวว่าภาวะตลาดบ้านใน
เดือนพ.ค.ราคาบ้านยังคงสูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ทั้งๆที่ MPC ได้พยายามใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเมื่อเร็วๆนี้
( รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 22 ก.ค. 47 21 ก.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.896 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6724/40.9599 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.28 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 655.82/20.35 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,650/7,750 7,650/7,750 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 34.58 34.37 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 18.79*/14.59 18.79*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 18 มิ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-