ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. กนง.เฝ้าติดตามสถานการณ์แรงงานและต้นทุนสินค้าที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นอันอาจส่งผลกระทบต่อ
ภาวะเงินเฟ้อของไทย รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการสอบถามผู้
ประกอบการในโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจธุรกิจระหว่าง ธปท. และนักลงทุนในเขตกรุงเทพฯ และ
ปริมณฑล 2 รอบ พบว่าร้อยละ 42 ของบริษัท 45 บริษัทเห็นว่า ตลาดแรงงานเริ่มมีการตึงตัว โดยเฉพาะ
สาขาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเริ่มขาดแคลนช่างฝีมือ และผู้รับเหมา ขณะที่สาขายานยนต์และเครื่องใช้
ไฟฟ้าในบางบริษัทก็เริ่มขาดแคลนวิศวกรเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดแรงงานเริ่มมีการตึงตัวขึ้น แต่แรงกด
ดันที่มีต่อการปรับตัวของค่าจ้างยังไม่ชัดเจน นอกจากนี้ ในระยะหลังแม้อัตราการว่างงานจะต่ำ แต่ก็ไม่ได้
สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อเช่นในอดีต ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากธุรกิจมีการปรับตัวในด้านอื่น ๆ แทนการ
ปรับขึ้นค่าจ้าง ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่าแรงกดดันด้านราคาที่เพิ่มขึ้นจากต้น
ทุนไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหรือค่าจ้างแรงงานจะส่งผลให้ราคาสินค้าที่อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของทางการ
ปรับตัวสูงขึ้นได้ และการเร่งตัวในการใช้จ่ายของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ความหนืดของการปรับตัวด้าน
ราคาในปัจจุบันค่อย ๆ หมดไป อย่างไรก็ตาม กนง.จะติดตามปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลต่อแรงกดดันด้านราคา
อย่างต่อเนื่อง (ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์)
2. คปน. ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.47 สำเร็จ 40 ราย ผู้อำนวยการ สายปรับ
ปรุงโครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ
สิ้นเดือน มิ.ย.47 ว่า การเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามกระบวนการของคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการ
ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) สำเร็จเพิ่มขึ้น โดยมีลูกหนี้เป้าหมายเข้าสู่กระบวนการ คปน.เพิ่มขึ้น 123
ราย มูลหนี้ 498 ล้านบาท และมีลูกหนี้ที่เจรจาจนมีข้อสรุปเพิ่มขึ้น 94 ราย ลูกหนี้ 13,050 ล้านบาท แบ่ง
เป็นลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 40 ราย มูลหนี้ 10,224 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ที่ประกอบ
ธุรกิจการพาณิชย์ รองลงมา คือ อสังหาริมทรัพย์ การเกษตร ประมงและป่าไม้ ส่วนลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครง
สร้างหนี้ไม่สำเร็จมี 54 ราย มูลหนี้ 2,826 ล้านบาท สำหรับลูกหนี้ที่ คปน.เป็นผู้ประสานงานการเจรจาปรับ
ปรุงโครงสร้างหนี้ในระยะต่อไป แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างเจรจา ณ สิ้นเดือน มิ.ย.47
จำนวน 359 ราย มูลหนี้ 23,604 ล้านบาท 2) ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างเชิญประชุมเจ้าหนี้และลูกหนี้เพื่อเข้า
เจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามกระบวนการของ คปน. 65 ราย มูลหนี้ 419 ล้านบาท และ 3) ลูกหนี้ที่อยู่
ระหว่างกระบวนการทางกฎหมายที่สถาบันการเงินแจ้งเข้าโครงการ คปน. เพิ่มเติมในปี 47 เริ่มตั้งแต่ต้น
เดือน พ.ค.ถึงสิ้นเดือน มิ.ย.47 มีจำนวน 1,714 ราย มูลหนี้ 13,993 ล้านบาท (โลกวันนี้, บ้านเมือง)
3. โรงพิมพ์ธนบัตรขยายอัตรากำลังการผลิตธนบัตรให้เพียงพอในการพิมพ์ธนบัตรออกใช้ตามภาวะ
เศรษฐกิจของประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กรรมการผู้จัดการ โรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การก่อสร้างโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งที่ 2 ที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม มีความก้าวหน้า
ไปมาก โดยใช้งบประมาณรวมในการก่อสร้างและจัดซื้อเครื่องจักรรวมประมาณ 5,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบ
ประมาณที่มาจากผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากบัญชีผลประโยชน์ของทุนทางการระหว่างประเทศ ซึ่งตามกฎหมาย
อนุญาตให้นำมาใช้ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธนบัตรได้ โดยไม่ได้นำเงินมาจากงบประมาณของ ธปท.แต่อย่างใด
ทั้งนี้ คาดว่าโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งใหม่จะสามารถทยอยเปิดใช้งานได้ประมาณปลายปี 49 อย่างไรก็ตาม สาเหตุ
ที่จำเป็นจะต้องมีการก่อสร้างโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งที่ 2 นั้น เนื่องจากขณะนี้ความต้องการใช้ธนบัตรชนิดราคาต่าง
ๆ เพื่อใช้หมุนเวียนในระบบมีเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ธนบัตรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น โรงพิมพ์ธนบัตรจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขยาย
อัตรากำลังการผลิตธนบัตรให้เพียงพอในการพิมพ์ธนบัตรออกใช้ โดยปัจจุบันยอมรับว่า โรงพิมพ์ธนบัตรมีการใช้
อัตรากำลังการผลิตเกินร้อยละ 100 ไปแล้ว โดยทำงาน 2 ผลัด ทั้งนี้ โรงพิมพ์ธนบัตรแห่งที่ 2 สามารถ
ผลิตธนบัตรได้ 3,600 ล้านฉบับต่อปี สำหรับการทำงาน 2 ผลัดด้วยอัตรากำลังประมาณ 520 คนในระยะแรก
และสามารถขยายกำลังการผลิตได้อีกเกือบเท่าตัวหากมีความจำเป็น เทียบกับที่ผลิตได้ 2,000 ล้านฉบับใน
ปัจจุบันด้วยอัตรากำลังประมาณ 700 คน (บ้านเมือง)
4. ธปท.และ ก.คลังได้ข้อสรุปค้ำประกันเงินฝากในปีแรก 50 ล้านบาท ผู้ช่วย รมว.ก.คลัง (
นายวีระชัย วีระเมธีกุล) เปิดเผยว่า จากการหารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับ
พระราชบัญญัติสถาบันประกันเงินฝาก ล่าสุดได้ข้อสรุปเป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว โดยเฉพาะเรื่องวงเงิน
การค้ำประกัน ซึ่งปีแรกจะค้ำประกันเงินฝากวงเงิน 50 ล้านบาท จากเดิมที่ ธปท.เห็นว่าปีแรกควรค้ำประกัน
วงเงิน 100 ล้านบาท ขณะที่ ก.คลังเห็นว่า ควรค้ำประกันที่ 50 ล้านบาท โดยเร่งผลักดันสู่การพิจารณาของ
ครม.ภายในกลางเดือน ส.ค.นี้ เพื่อให้ทันเข้าสู่สมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวาระแรก (โลกวันนี้)
5. สศอ.และ สสว.จัดทำดัชนีเอสเอ็มอีรายเดือนเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ผู้อำนวย
การสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ.ได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาด
กลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดทำฐานข้อมูลอุตสาหกรรมให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
โดยจัดทำเป็นดัชนีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รายเดือน เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อผู้
ประกอบการมากขึ้น เนื่องจากจะทำให้ผู้ประกอบการทราบถึงโครงสร้างการผลิตและสถานการณ์เศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมได้ชัดเจน อันจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ประเมิน เพื่อประกอบการตัดสินใจดำเนิน
ธุรกิจ พร้อมทั้งวางแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าดัชนีดังกล่าวจะ
แล้วเสร็จในเดือน ก.ย.นี้ (บ้านเมือง, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
6. กรมสรรพสามิตร่วมกับ สศค.ร่วมกันจัดทำกรอบภาษีสรรพสามิตทั้งระบบใหม่ รายงานจาก ก.
คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมสรรพสามิตกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังร่วมกันจัดทำกรอบภาษี
สรรพสามิตทั้งระบบใหม่ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพวะปัจจุบัน รวมทั้งให้มีกรอบความชัดเจน เนื่องจาก
แนวคิดในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตปัจจุบัน คือ ส่วนที่เหลือหรือไม่เข้าข่ายภาษีสรรพากรหรือภาษีศุลกากรทั้ง
หมด ทำให้สินค้าที่เรียกเก็บภาษีสรรพสามิตมีกว่า 20 รายการ ขณะที่สินค้าหลักที่ทำรายได้ให้กรมมีเพียง 4-5
รายการ เช่น รถยนต์ บุหรี่ สุรา เบียร์ น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากน้ำมัน ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 80-90
ของรายได้จัดเก็บภาษีของกรม โดยการจัดทำกรอบภาษีใหม่นั้นต้องพิจารณาแนวคิด และวัตถุประสงค์ของภาษี
สรรพสามิตว่าต้องการคุ้มครองผู้บริโภคและสังคม หรือเน้นหารายได้เข้ารัฐบาล เพื่อให้กรอบที่ชัดเจนว่า
รายการที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบันมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเก็บภาษีสรรพสามิตทั้งหมดซึ่งจะมีการแยกให้ชัดเจน
ว่ารายการใดบ้างที่ยังควรอยู่ในสรรพสามิต และรายการใดต้องแยกไว้ในส่วนอื่น (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สรอ.ร้องขอให้จีนปล่อยค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รายงานจาก Pittsburgh
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 47 นาย John Snow รมว.คลังสรอ. กล่าวกับผู้นำธุรกิจท้องถิ่นขณะเยือนโรงงานผลิต
ผลิตภัณฑ์ยาว่า จีนมีความคืบหน้าในการปรับค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นตามกลไกตลาดมากขึ้น ขณะเดียวกัน
จีนก็มีความจำเป็นต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อควบคู่ไปด้วย และเสริมว่าเป็นความพยายามของสรอ. ในการร้อง
ขอให้จีนดำเนินการในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้มีความคืบหน้าต่อไปโดยจีนให้เหตุผลว่ากำลังดำเนิน
การดังกล่าว และเหตุผลสำคัญคือการควบคุมอัตราเงินเฟ้อของจีน ทั้งนี้ปัจจุบันจีนผูกค่าเงินหยวนไว้กับเงิน
ดอลลาร์ สรอ.ที่ระดับประมาณ 8.3 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นนโยบายที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
ของสรอ. ตำหนิว่าไม่เป็นธรรมเนื่องจากทำให้สินค้าของจีนมีราคาถูกกว่าความเป็นจริง โดยนาย John Snow
ให้ความเห็นว่าการปล่อยให้ค่าเงินลอยตัวอย่างเสรีมากขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อจีนในการใช้นโยบายการเงินให้
มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อมากขึ้น ( รอยเตอร์)
2. ราคาบ้านของอังกฤษและเวลล์ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16.98 รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 47 รัฐบาลอังกฤษเปิดเผยตัวเลขราคาบ้านในไตรมาสที่ 2 ปี 47 มีราคาสูงขึ้น
ถึงร้อยละ 16.98 จากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วและเพิ่มขึ้นจากร้อยละ14.06 ในไตรมาสที่ 1 ทั้งๆที่รัฐบาลได้
ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงเพื่อลดความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์มาตั้งแต่เดือนพ.ย. 46
แล้วถึง 5 ครั้งโดยอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันของอังกฤษอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.75 เป็นสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
โดย ธ.กลางอังกฤษเห็นว่าราคาบ้านจะเริ่มอ่อนตัวลงแม้ว่าขณะนี้จะยังมีราคาสูงอยู่ก็ตาม ทั้งนี้ปัจจุบันในไตร
มาสที่ 2 ปี 47 ราคาบ้านโดยเฉลี่ยในอังกฤษ และเวลล์อยู่ที่ระดับ 175,401 ปอนด์โดยมีปริมาณซื้อ-ขายเพิ่ม
ขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 22.13 ( รอยเตอร์)
3. คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีในไตรมาสที่ 2 ปี 47 จะขยายตัวร้อยละ 0.5 ต่อไตรมาส
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 7 ส.ค.47 DIW ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำของเยอรมนีคาดว่าเศรษฐกิจ
ของเยอรมนีในไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 0.5 ต่อไตรมาส หลังจากขยายตัวร้อยละ 0.4 ในไตร
มาสก่อน โดยขยายตัวร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากขยายตัวร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อน ผลจาก
การส่งออกขยายตัวร้อยละ 3.8 จากไตรมาสก่อน ในขณะที่การบริโภคในประเทศขยายตัวเพียงร้อยละ 0.1
จากไตรมาสก่อน แสดงให้เห็นว่าการใช้จ่ายในประเทศยังอยู่ในภาวะซบเซาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ซึ่ง
ไม่เพียงแต่ทำให้กำลังซื้อในประเทศลดลง ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการส่งออกของประเทศซึ่งเป็น
ตัวหลักเพียงหนึ่งเดียวในการผลักดันเศรษฐกิจของเยอรมนีในขณะนี้ รัฐบาลเยอรมนีจึงยังคงใช้งบประมาณขาด
ดุลต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนกว่าการใช้จ่ายในประเทศจะฟื้นตัวและทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมี
เสถียรภาพ โดยคาดว่าการขาดดุลงบประมาณของเยอรมนีในปีนี้จะยังคงเกินกว่าข้อกำหนดของ EU ซึ่งกำหนด
ให้ไม่เกินร้อยละ 3.0 ของ GDP เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ธ.กลางเยอรมนีคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อย
ละ 1.8 สูงกว่าที่คาดไว้เมื่อเดือน มิ.ย.47 ว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.6 ถึง 1.7 ต่อปี หลังจากขยาย
ตัวเพียงเล็กน้อยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สนง.สถิติกลางของเยอรมนีมีกำหนดจะประกาศตัวเลข GDP เบื้อง
ต้นสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 47 ในวันที่ 12 ส.ค.47 เวลา 6.00 น. ตามเวลากรีนนิช (รอยเตอร์)
4. ยอดเงินให้กู้ยืมของ ธพ.ญี่ปุ่นในเดือน ก.ค.47 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 43 ที่ร้อยละ 3.4
รายงานจากโตเกียวเมื่อ 9 ส.ค.47 ธ.กลางญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดเงินให้กู้ยืมของ ธพ.ญี่ปุ่นในเดือน ก.ค.47
ซึ่งเป็นตัวเลขเบื้องต้นจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ 4 ประเภทซึ่งรวมถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ (Shinkin
banks) มีจำนวน 448.0340 ล้านล้านเยน (4.054 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ.) ลดลงร้อยละ 3.4 เทียบต่อปี
ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 43 ทั้งนี้ ตัวเลขเงินให้กู้ยืมของญี่ปุ่นได้ลดลงทุกเดือนนับตั้งแต่ ธ.กลาง
ญี่ปุ่นเริ่มนับรวมตัวเลขการให้กู้ยืมของสหกรณ์ออมทรัพย์เข้ากับยอดเงินให้กู้ยืมทั้งระบบตั้งแต่เดือน ม.ค.44
อย่างไรก็ตาม ระดับการลดลงในเดือน ก.ค. ได้ชะลอตัวลงจากเมื่อ 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ อนึ่ง ยอดเงินให้
กู้ยืมที่ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์มีจำนวน 386.6311 ล้านล้านเยน ลดลงร้อยละ 3.9 และลดลงต่อเนื่องเป็น
เดือนที่ 79 นอกจากนี้ ยอดเงินให้กู้ยืมของ ธ.ต่างประเทศ ในเดือนเดียวกันมีจำนวน 5.3450 ล้านล้านเยน
ลดลงร้อยละ 23.7 เทียบต่อปี (รอยเตอร์)
5. นรม.สิงคโปร์คาดว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์ปี 47 จะเติบโตร้อยละ 8-9 รายงานจากประเทศ
สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.47 Goh Chok Tong นรม.สิงคโปร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปี 47
จะเติบโตประมาณร้อยละ 8-9 หลังจากในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เศรษฐกิจขยายตัวถึงร้อยละ 10 ซึ่งเป็น
การปรับเพิ่มพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นครั้งที่ 3 แล้วจากครั้งก่อนที่คาดว่าเศรษฐกิจจะ
เติบโตร้อยละ 5.5-7.5 และถ้าเศรษฐกิจของสิงคโปร์เติบโตถึงร้อยละ 8-9 จะทำให้สิงคโปร์มีอัตราการ
เติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชียรองจากจีน โดยการเติบโตเป็นผลมาจากการขยายตัวของ
การส่งออกชิปส์คอมพิวเตอร์และเวชภัณฑ์ ทั้งนี้ สิงคโปร์มีกำหนดจะเปิดเผยตัวเลขจีดีพีอย่างเป็นทางการของ
เดือน เม.ย.-มิ.ย.47 ในสองวันนี้ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าการเติบโตรายไตรมาสจะอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 9.5 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ส.ค. 47 6 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.462 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.2817/41.5676 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 610.94/8.68 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,700/7,800 7,650/7,750 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 37.27 38.12 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 19.99*/14.59 19.99*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 6 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. กนง.เฝ้าติดตามสถานการณ์แรงงานและต้นทุนสินค้าที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นอันอาจส่งผลกระทบต่อ
ภาวะเงินเฟ้อของไทย รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า จากการสอบถามผู้
ประกอบการในโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจธุรกิจระหว่าง ธปท. และนักลงทุนในเขตกรุงเทพฯ และ
ปริมณฑล 2 รอบ พบว่าร้อยละ 42 ของบริษัท 45 บริษัทเห็นว่า ตลาดแรงงานเริ่มมีการตึงตัว โดยเฉพาะ
สาขาก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเริ่มขาดแคลนช่างฝีมือ และผู้รับเหมา ขณะที่สาขายานยนต์และเครื่องใช้
ไฟฟ้าในบางบริษัทก็เริ่มขาดแคลนวิศวกรเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดแรงงานเริ่มมีการตึงตัวขึ้น แต่แรงกด
ดันที่มีต่อการปรับตัวของค่าจ้างยังไม่ชัดเจน นอกจากนี้ ในระยะหลังแม้อัตราการว่างงานจะต่ำ แต่ก็ไม่ได้
สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อเช่นในอดีต ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากธุรกิจมีการปรับตัวในด้านอื่น ๆ แทนการ
ปรับขึ้นค่าจ้าง ทั้งนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่าแรงกดดันด้านราคาที่เพิ่มขึ้นจากต้น
ทุนไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหรือค่าจ้างแรงงานจะส่งผลให้ราคาสินค้าที่อยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของทางการ
ปรับตัวสูงขึ้นได้ และการเร่งตัวในการใช้จ่ายของประชาชนก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้ความหนืดของการปรับตัวด้าน
ราคาในปัจจุบันค่อย ๆ หมดไป อย่างไรก็ตาม กนง.จะติดตามปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลต่อแรงกดดันด้านราคา
อย่างต่อเนื่อง (ผู้จัดการรายวัน, เดลินิวส์)
2. คปน. ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ สิ้นเดือน มิ.ย.47 สำเร็จ 40 ราย ผู้อำนวยการ สายปรับ
ปรุงโครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ณ
สิ้นเดือน มิ.ย.47 ว่า การเจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามกระบวนการของคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการ
ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) สำเร็จเพิ่มขึ้น โดยมีลูกหนี้เป้าหมายเข้าสู่กระบวนการ คปน.เพิ่มขึ้น 123
ราย มูลหนี้ 498 ล้านบาท และมีลูกหนี้ที่เจรจาจนมีข้อสรุปเพิ่มขึ้น 94 ราย ลูกหนี้ 13,050 ล้านบาท แบ่ง
เป็นลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 40 ราย มูลหนี้ 10,224 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นลูกหนี้ที่ประกอบ
ธุรกิจการพาณิชย์ รองลงมา คือ อสังหาริมทรัพย์ การเกษตร ประมงและป่าไม้ ส่วนลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครง
สร้างหนี้ไม่สำเร็จมี 54 ราย มูลหนี้ 2,826 ล้านบาท สำหรับลูกหนี้ที่ คปน.เป็นผู้ประสานงานการเจรจาปรับ
ปรุงโครงสร้างหนี้ในระยะต่อไป แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1) ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างเจรจา ณ สิ้นเดือน มิ.ย.47
จำนวน 359 ราย มูลหนี้ 23,604 ล้านบาท 2) ลูกหนี้ที่อยู่ระหว่างเชิญประชุมเจ้าหนี้และลูกหนี้เพื่อเข้า
เจรจาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามกระบวนการของ คปน. 65 ราย มูลหนี้ 419 ล้านบาท และ 3) ลูกหนี้ที่อยู่
ระหว่างกระบวนการทางกฎหมายที่สถาบันการเงินแจ้งเข้าโครงการ คปน. เพิ่มเติมในปี 47 เริ่มตั้งแต่ต้น
เดือน พ.ค.ถึงสิ้นเดือน มิ.ย.47 มีจำนวน 1,714 ราย มูลหนี้ 13,993 ล้านบาท (โลกวันนี้, บ้านเมือง)
3. โรงพิมพ์ธนบัตรขยายอัตรากำลังการผลิตธนบัตรให้เพียงพอในการพิมพ์ธนบัตรออกใช้ตามภาวะ
เศรษฐกิจของประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กรรมการผู้จัดการ โรงพิมพ์ธนบัตร ธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้การก่อสร้างโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งที่ 2 ที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม มีความก้าวหน้า
ไปมาก โดยใช้งบประมาณรวมในการก่อสร้างและจัดซื้อเครื่องจักรรวมประมาณ 5,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบ
ประมาณที่มาจากผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากบัญชีผลประโยชน์ของทุนทางการระหว่างประเทศ ซึ่งตามกฎหมาย
อนุญาตให้นำมาใช้ในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธนบัตรได้ โดยไม่ได้นำเงินมาจากงบประมาณของ ธปท.แต่อย่างใด
ทั้งนี้ คาดว่าโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งใหม่จะสามารถทยอยเปิดใช้งานได้ประมาณปลายปี 49 อย่างไรก็ตาม สาเหตุ
ที่จำเป็นจะต้องมีการก่อสร้างโรงพิมพ์ธนบัตรแห่งที่ 2 นั้น เนื่องจากขณะนี้ความต้องการใช้ธนบัตรชนิดราคาต่าง
ๆ เพื่อใช้หมุนเวียนในระบบมีเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี ตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ปริมาณความต้องการใช้ธนบัตรเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดังนั้น โรงพิมพ์ธนบัตรจึงมีความจำเป็นที่จะต้องขยาย
อัตรากำลังการผลิตธนบัตรให้เพียงพอในการพิมพ์ธนบัตรออกใช้ โดยปัจจุบันยอมรับว่า โรงพิมพ์ธนบัตรมีการใช้
อัตรากำลังการผลิตเกินร้อยละ 100 ไปแล้ว โดยทำงาน 2 ผลัด ทั้งนี้ โรงพิมพ์ธนบัตรแห่งที่ 2 สามารถ
ผลิตธนบัตรได้ 3,600 ล้านฉบับต่อปี สำหรับการทำงาน 2 ผลัดด้วยอัตรากำลังประมาณ 520 คนในระยะแรก
และสามารถขยายกำลังการผลิตได้อีกเกือบเท่าตัวหากมีความจำเป็น เทียบกับที่ผลิตได้ 2,000 ล้านฉบับใน
ปัจจุบันด้วยอัตรากำลังประมาณ 700 คน (บ้านเมือง)
4. ธปท.และ ก.คลังได้ข้อสรุปค้ำประกันเงินฝากในปีแรก 50 ล้านบาท ผู้ช่วย รมว.ก.คลัง (
นายวีระชัย วีระเมธีกุล) เปิดเผยว่า จากการหารือกับผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับ
พระราชบัญญัติสถาบันประกันเงินฝาก ล่าสุดได้ข้อสรุปเป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว โดยเฉพาะเรื่องวงเงิน
การค้ำประกัน ซึ่งปีแรกจะค้ำประกันเงินฝากวงเงิน 50 ล้านบาท จากเดิมที่ ธปท.เห็นว่าปีแรกควรค้ำประกัน
วงเงิน 100 ล้านบาท ขณะที่ ก.คลังเห็นว่า ควรค้ำประกันที่ 50 ล้านบาท โดยเร่งผลักดันสู่การพิจารณาของ
ครม.ภายในกลางเดือน ส.ค.นี้ เพื่อให้ทันเข้าสู่สมัยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรวาระแรก (โลกวันนี้)
5. สศอ.และ สสว.จัดทำดัชนีเอสเอ็มอีรายเดือนเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ผู้อำนวย
การสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ.ได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาด
กลางและขนาดย่อม (สสว.) จัดทำฐานข้อมูลอุตสาหกรรมให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
โดยจัดทำเป็นดัชนีวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) รายเดือน เพื่อเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อผู้
ประกอบการมากขึ้น เนื่องจากจะทำให้ผู้ประกอบการทราบถึงโครงสร้างการผลิตและสถานการณ์เศรษฐกิจ
อุตสาหกรรมได้ชัดเจน อันจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำไปใช้ประเมิน เพื่อประกอบการตัดสินใจดำเนิน
ธุรกิจ พร้อมทั้งวางแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาพทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งคาดว่าดัชนีดังกล่าวจะ
แล้วเสร็จในเดือน ก.ย.นี้ (บ้านเมือง, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
6. กรมสรรพสามิตร่วมกับ สศค.ร่วมกันจัดทำกรอบภาษีสรรพสามิตทั้งระบบใหม่ รายงานจาก ก.
คลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมสรรพสามิตกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังร่วมกันจัดทำกรอบภาษี
สรรพสามิตทั้งระบบใหม่ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพวะปัจจุบัน รวมทั้งให้มีกรอบความชัดเจน เนื่องจาก
แนวคิดในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตปัจจุบัน คือ ส่วนที่เหลือหรือไม่เข้าข่ายภาษีสรรพากรหรือภาษีศุลกากรทั้ง
หมด ทำให้สินค้าที่เรียกเก็บภาษีสรรพสามิตมีกว่า 20 รายการ ขณะที่สินค้าหลักที่ทำรายได้ให้กรมมีเพียง 4-5
รายการ เช่น รถยนต์ บุหรี่ สุรา เบียร์ น้ำมัน และผลิตภัณฑ์จากน้ำมัน ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 80-90
ของรายได้จัดเก็บภาษีของกรม โดยการจัดทำกรอบภาษีใหม่นั้นต้องพิจารณาแนวคิด และวัตถุประสงค์ของภาษี
สรรพสามิตว่าต้องการคุ้มครองผู้บริโภคและสังคม หรือเน้นหารายได้เข้ารัฐบาล เพื่อให้กรอบที่ชัดเจนว่า
รายการที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบันมีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องเก็บภาษีสรรพสามิตทั้งหมดซึ่งจะมีการแยกให้ชัดเจน
ว่ารายการใดบ้างที่ยังควรอยู่ในสรรพสามิต และรายการใดต้องแยกไว้ในส่วนอื่น (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. สรอ.ร้องขอให้จีนปล่อยค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น รายงานจาก Pittsburgh
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 47 นาย John Snow รมว.คลังสรอ. กล่าวกับผู้นำธุรกิจท้องถิ่นขณะเยือนโรงงานผลิต
ผลิตภัณฑ์ยาว่า จีนมีความคืบหน้าในการปรับค่าเงินหยวนให้มีความยืดหยุ่นตามกลไกตลาดมากขึ้น ขณะเดียวกัน
จีนก็มีความจำเป็นต้องควบคุมอัตราเงินเฟ้อควบคู่ไปด้วย และเสริมว่าเป็นความพยายามของสรอ. ในการร้อง
ขอให้จีนดำเนินการในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนให้มีความคืบหน้าต่อไปโดยจีนให้เหตุผลว่ากำลังดำเนิน
การดังกล่าว และเหตุผลสำคัญคือการควบคุมอัตราเงินเฟ้อของจีน ทั้งนี้ปัจจุบันจีนผูกค่าเงินหยวนไว้กับเงิน
ดอลลาร์ สรอ.ที่ระดับประมาณ 8.3 หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเป็นนโยบายที่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม
ของสรอ. ตำหนิว่าไม่เป็นธรรมเนื่องจากทำให้สินค้าของจีนมีราคาถูกกว่าความเป็นจริง โดยนาย John Snow
ให้ความเห็นว่าการปล่อยให้ค่าเงินลอยตัวอย่างเสรีมากขึ้นจะเป็นประโยชน์ต่อจีนในการใช้นโยบายการเงินให้
มีประสิทธิภาพเพื่อควบคุมภาวะเงินเฟ้อมากขึ้น ( รอยเตอร์)
2. ราคาบ้านของอังกฤษและเวลล์ในไตรมาสที่ 2 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 16.98 รายงานจาก
ลอนดอน เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 47 รัฐบาลอังกฤษเปิดเผยตัวเลขราคาบ้านในไตรมาสที่ 2 ปี 47 มีราคาสูงขึ้น
ถึงร้อยละ 16.98 จากไตรมาสเดียวกันปีที่แล้วและเพิ่มขึ้นจากร้อยละ14.06 ในไตรมาสที่ 1 ทั้งๆที่รัฐบาลได้
ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงเพื่อลดความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์มาตั้งแต่เดือนพ.ย. 46
แล้วถึง 5 ครั้งโดยอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันของอังกฤษอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.75 เป็นสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
โดย ธ.กลางอังกฤษเห็นว่าราคาบ้านจะเริ่มอ่อนตัวลงแม้ว่าขณะนี้จะยังมีราคาสูงอยู่ก็ตาม ทั้งนี้ปัจจุบันในไตร
มาสที่ 2 ปี 47 ราคาบ้านโดยเฉลี่ยในอังกฤษ และเวลล์อยู่ที่ระดับ 175,401 ปอนด์โดยมีปริมาณซื้อ-ขายเพิ่ม
ขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 22.13 ( รอยเตอร์)
3. คาดว่าเศรษฐกิจของเยอรมนีในไตรมาสที่ 2 ปี 47 จะขยายตัวร้อยละ 0.5 ต่อไตรมาส
รายงานจากเบอร์ลิน เมื่อ 7 ส.ค.47 DIW ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจชั้นนำของเยอรมนีคาดว่าเศรษฐกิจ
ของเยอรมนีในไตรมาสที่ 2 ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 0.5 ต่อไตรมาส หลังจากขยายตัวร้อยละ 0.4 ในไตร
มาสก่อน โดยขยายตัวร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับปีก่อน หลังจากขยายตัวร้อยละ 1.5 ในไตรมาสก่อน ผลจาก
การส่งออกขยายตัวร้อยละ 3.8 จากไตรมาสก่อน ในขณะที่การบริโภคในประเทศขยายตัวเพียงร้อยละ 0.1
จากไตรมาสก่อน แสดงให้เห็นว่าการใช้จ่ายในประเทศยังอยู่ในภาวะซบเซาจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นในขณะนี้ซึ่ง
ไม่เพียงแต่ทำให้กำลังซื้อในประเทศลดลง ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการส่งออกของประเทศซึ่งเป็น
ตัวหลักเพียงหนึ่งเดียวในการผลักดันเศรษฐกิจของเยอรมนีในขณะนี้ รัฐบาลเยอรมนีจึงยังคงใช้งบประมาณขาด
ดุลต่อไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจนกว่าการใช้จ่ายในประเทศจะฟื้นตัวและทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างมี
เสถียรภาพ โดยคาดว่าการขาดดุลงบประมาณของเยอรมนีในปีนี้จะยังคงเกินกว่าข้อกำหนดของ EU ซึ่งกำหนด
ให้ไม่เกินร้อยละ 3.0 ของ GDP เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ธ.กลางเยอรมนีคาดว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวร้อย
ละ 1.8 สูงกว่าที่คาดไว้เมื่อเดือน มิ.ย.47 ว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 1.6 ถึง 1.7 ต่อปี หลังจากขยาย
ตัวเพียงเล็กน้อยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สนง.สถิติกลางของเยอรมนีมีกำหนดจะประกาศตัวเลข GDP เบื้อง
ต้นสำหรับไตรมาสที่ 2 ปี 47 ในวันที่ 12 ส.ค.47 เวลา 6.00 น. ตามเวลากรีนนิช (รอยเตอร์)
4. ยอดเงินให้กู้ยืมของ ธพ.ญี่ปุ่นในเดือน ก.ค.47 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 43 ที่ร้อยละ 3.4
รายงานจากโตเกียวเมื่อ 9 ส.ค.47 ธ.กลางญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ยอดเงินให้กู้ยืมของ ธพ.ญี่ปุ่นในเดือน ก.ค.47
ซึ่งเป็นตัวเลขเบื้องต้นจากสถาบันการเงินขนาดใหญ่ 4 ประเภทซึ่งรวมถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ (Shinkin
banks) มีจำนวน 448.0340 ล้านล้านเยน (4.054 ล้านล้านดอลลาร์ สรอ.) ลดลงร้อยละ 3.4 เทียบต่อปี
ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 43 ทั้งนี้ ตัวเลขเงินให้กู้ยืมของญี่ปุ่นได้ลดลงทุกเดือนนับตั้งแต่ ธ.กลาง
ญี่ปุ่นเริ่มนับรวมตัวเลขการให้กู้ยืมของสหกรณ์ออมทรัพย์เข้ากับยอดเงินให้กู้ยืมทั้งระบบตั้งแต่เดือน ม.ค.44
อย่างไรก็ตาม ระดับการลดลงในเดือน ก.ค. ได้ชะลอตัวลงจากเมื่อ 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ อนึ่ง ยอดเงินให้
กู้ยืมที่ไม่รวมสหกรณ์ออมทรัพย์มีจำนวน 386.6311 ล้านล้านเยน ลดลงร้อยละ 3.9 และลดลงต่อเนื่องเป็น
เดือนที่ 79 นอกจากนี้ ยอดเงินให้กู้ยืมของ ธ.ต่างประเทศ ในเดือนเดียวกันมีจำนวน 5.3450 ล้านล้านเยน
ลดลงร้อยละ 23.7 เทียบต่อปี (รอยเตอร์)
5. นรม.สิงคโปร์คาดว่าเศรษฐกิจสิงคโปร์ปี 47 จะเติบโตร้อยละ 8-9 รายงานจากประเทศ
สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 8 ส.ค.47 Goh Chok Tong นรม.สิงคโปร์ กล่าวว่า เศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปี 47
จะเติบโตประมาณร้อยละ 8-9 หลังจากในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้เศรษฐกิจขยายตัวถึงร้อยละ 10 ซึ่งเป็น
การปรับเพิ่มพยากรณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของรัฐบาลเป็นครั้งที่ 3 แล้วจากครั้งก่อนที่คาดว่าเศรษฐกิจจะ
เติบโตร้อยละ 5.5-7.5 และถ้าเศรษฐกิจของสิงคโปร์เติบโตถึงร้อยละ 8-9 จะทำให้สิงคโปร์มีอัตราการ
เติบโตทางเศรษฐกิจสูงเป็นอันดับ 2 ของเอเชียรองจากจีน โดยการเติบโตเป็นผลมาจากการขยายตัวของ
การส่งออกชิปส์คอมพิวเตอร์และเวชภัณฑ์ ทั้งนี้ สิงคโปร์มีกำหนดจะเปิดเผยตัวเลขจีดีพีอย่างเป็นทางการของ
เดือน เม.ย.-มิ.ย.47 ในสองวันนี้ ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่าการเติบโตรายไตรมาสจะอยู่ที่ระดับ
ร้อยละ 9.5 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 9 ส.ค. 47 6 ส.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.462 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 41.2817/41.5676 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.1000-1.2800 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 610.94/8.68 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,700/7,800 7,650/7,750 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 37.27 38.12 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 19.99*/14.59 19.99*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 6 ส.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-