นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนกันยายน 2547 ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายนยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวดี การลงทุนภาคเอกชนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวสูง การค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าขยายตัวสูง การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นในเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 47 การผลิตมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจยังขยายตัวต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนั้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี ในขณะที่ฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดยภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนกลับมาขยายตัวดีที่ร้อยละ 10.1 เพิ่มขึ้นจากที่หดตัวลงที่ร้อยละ 1.8 ในเดือนสิงหาคมที่เป็นผลจากการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนกันยายนขยายตัวที่ร้อยละ 12.7 สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 13.0 ซึ่งสะท้อนอุปสงค์การบริโภคของประชาชนยังคงขยายตัวดี สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจัดทำโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยปรับลดลงมาอยู่ที่ 91.1 จุดในเดือนกันยายน เนื่องจากเป็นผลจากความกังวลต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก และปัญหาความไม่สงบของภาคใต้
การลงทุนภาคเอกชนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวสูง การลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตยังคงขยายตัวสูง การลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนเดือนกันยายนขยายตัวร้อยละ 24.4 ขณะที่การลงทุนภาคก่อสร้างยังคงมีแนวโน้มที่ดีตามการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนจากรายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวสูงร้อยละ 58.9 ในเดือนกันยายน ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 13.0 ในเดือนสิงหาคม
การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นเล็กน้อย รายจ่ายรัฐบาลตามระบบ สศค. เดือนกันยายนซึ่งเป็นเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 47 อยู่ที่ 131.67 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็น รายจ่ายลงทุนขยายตัวดีที่ร้อยละ 9.1 ขณะที่รายจ่ายประจำขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 1.1
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง มูลค่าการส่งออกเดือนกันยายนอยู่ที่ 8.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 22.0 ซึ่งทำสถิติมูลค่าการส่งออกสูงสุดใหม่อีกครั้ง ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเดือนกันยายนอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.0 ลดลงจากร้อยละ 35.4 ในเดือนก่อน โดยสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนและวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต รวมทั้งน้ำมันยังเป็นสินค้านำเข้าที่มีอัตราการขยายตัวสูงจากราคาเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของการนำเข้าที่ลดลงส่งผลให้ดุลการค้าเดือนกันยายนกลับมาเกินดุลอีกครั้งที่ 483 ล้านดอลลาร์
การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 6.1 ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 66.7 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 70.9 เนื่องจากปัจจัยชั่วคราว ได้แก่ การปิดซ่อมบำรุงโรงงานในหมวดเหล็ก และผลิตภัณฑ์เหล็ก และหมวดปิโตรเลียม รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในหมวดอาหาร
สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวต่อเนื่อง โดยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวร้อยละ 9.5 ในเดือนสิงหาคม ขณะที่สินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในเดือนกรกฎาคม ขยายตัวร้อยละ 12.1 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 3.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.1 ในเดือนก่อน โดยกลุ่มสินค้าที่มีการปรับราคาสูงขึ้นได้แก่ กลุ่มอาหารสดโดยเฉพาะผักและผลไม้ และกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันเบนซินที่ปรับตัวสูงขึ้นมากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ในเดือนสิงหาคม ดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนสิงหาคมเกินดุลที่ 215 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเกินดุล 610 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อน ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 44.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนกันยายน คิดเป็น 5.4 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.8 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความแข็งแกร่งและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ตลอดปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - กันยายน 2547) ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค. เกินดุล 40,539 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.6 ของ GDP โดยรัฐบาลมีรายได้สุทธิ จำนวน 1,361,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 22.6 เป็นผลจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นผลจากหน่วยงานจัดเก็บได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดเก็บภาษีจึงทำให้สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับด้านรายจ่ายรัฐบาลได้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 1,348,743 ล้านบาท เมื่อหักนับซ้ำแล้วเหลือเป็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 1,282,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 21.6 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำร้อยละ 24.4 ขณะที่รายจ่ายลงทุนลดลงร้อยละ 0.2 นอกจากนี้ สศค.ได้คาดการณ์ว่าดุลการคลังภาคสาธารณะตามระบบ สศค.ตลอดปีงบประมาณ 2547 จะเกินดุล 93,251 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.5 ของ GDP เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุลร้อยละ 2.3 ของ GDP ทั้งนี้เป็นผลจากการเกินดุลของรัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ สำหรับดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุลทั้งสิ้น 69,655 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 1.1 ของ GDP ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณที่แล้ว 28,892 ล้านบาท
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2547 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,942 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45.58 ของ GDP เพิ่มขึ้นจาก เดือนมิถุนายน 2547 เท่ากับ 2,932 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45.3 ของ GDP ทั้งนี้คิดเป็นหนี้ในประเทศ ร?อยละ 77.64 และหนี้ต่าง ประเทศ ร้อยละ 22.36
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 14/2547 29 ตุลาคม 2547--
เศรษฐกิจไทยในเดือนกันยายนยังคงขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวดี การลงทุนภาคเอกชนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวสูง การค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าขยายตัวสูง การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นในเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 47 การผลิตมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจยังขยายตัวต่อเนื่องตามภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนั้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี ในขณะที่ฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวดี โดยภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนกลับมาขยายตัวดีที่ร้อยละ 10.1 เพิ่มขึ้นจากที่หดตัวลงที่ร้อยละ 1.8 ในเดือนสิงหาคมที่เป็นผลจากการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์ ขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนกันยายนขยายตัวที่ร้อยละ 12.7 สอดคล้องกับอัตราการขยายตัวของการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 13.0 ซึ่งสะท้อนอุปสงค์การบริโภคของประชาชนยังคงขยายตัวดี สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมจัดทำโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยปรับลดลงมาอยู่ที่ 91.1 จุดในเดือนกันยายน เนื่องจากเป็นผลจากความกังวลต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังคงทรงตัวในระดับสูง ความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก และปัญหาความไม่สงบของภาคใต้
การลงทุนภาคเอกชนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวสูง การลงทุนในเครื่องมือเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตยังคงขยายตัวสูง การลงทุนในสินค้าทุนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนเดือนกันยายนขยายตัวร้อยละ 24.4 ขณะที่การลงทุนภาคก่อสร้างยังคงมีแนวโน้มที่ดีตามการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนจากรายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวสูงร้อยละ 58.9 ในเดือนกันยายน ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 13.0 ในเดือนสิงหาคม
การใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้นเล็กน้อย รายจ่ายรัฐบาลตามระบบ สศค. เดือนกันยายนซึ่งเป็นเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ 47 อยู่ที่ 131.67 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็น รายจ่ายลงทุนขยายตัวดีที่ร้อยละ 9.1 ขณะที่รายจ่ายประจำขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 1.1
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง มูลค่าการส่งออกเดือนกันยายนอยู่ที่ 8.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 22.0 ซึ่งทำสถิติมูลค่าการส่งออกสูงสุดใหม่อีกครั้ง ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเดือนกันยายนอยู่ที่ 8.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.0 ลดลงจากร้อยละ 35.4 ในเดือนก่อน โดยสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าทุนและวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิต รวมทั้งน้ำมันยังเป็นสินค้านำเข้าที่มีอัตราการขยายตัวสูงจากราคาเป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของการนำเข้าที่ลดลงส่งผลให้ดุลการค้าเดือนกันยายนกลับมาเกินดุลอีกครั้งที่ 483 ล้านดอลลาร์
การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 6.1 ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 66.7 ลดลงเล็กน้อยจากร้อยละ 70.9 เนื่องจากปัจจัยชั่วคราว ได้แก่ การปิดซ่อมบำรุงโรงงานในหมวดเหล็ก และผลิตภัณฑ์เหล็ก และหมวดปิโตรเลียม รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบในหมวดอาหาร
สินเชื่อทั้งจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวต่อเนื่อง โดยสินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวร้อยละ 9.5 ในเดือนสิงหาคม ขณะที่สินเชื่อสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ในเดือนกรกฎาคม ขยายตัวร้อยละ 12.1 เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 3.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.1 ในเดือนก่อน โดยกลุ่มสินค้าที่มีการปรับราคาสูงขึ้นได้แก่ กลุ่มอาหารสดโดยเฉพาะผักและผลไม้ และกลุ่มพลังงานโดยเฉพาะน้ำมันเบนซินที่ปรับตัวสูงขึ้นมากจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.5 ในเดือนสิงหาคม ดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนสิงหาคมเกินดุลที่ 215 ล้านดอลลาร์ สรอ. ลดลงจากเกินดุล 610 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อน ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 44.4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนกันยายน คิดเป็น 5.4 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.8 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
ฐานะการคลังของรัฐบาลมีความแข็งแกร่งและอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง ตลอดปีงบประมาณ 2547 (ตุลาคม 2546 - กันยายน 2547) ฐานะการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค. เกินดุล 40,539 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.6 ของ GDP โดยรัฐบาลมีรายได้สุทธิ จำนวน 1,361,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 22.6 เป็นผลจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นผลจากหน่วยงานจัดเก็บได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดเก็บภาษีจึงทำให้สามารถจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับด้านรายจ่ายรัฐบาลได้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 1,348,743 ล้านบาท เมื่อหักนับซ้ำแล้วเหลือเป็นเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจำนวน 1,282,367 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึงร้อยละ 21.6 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายประจำร้อยละ 24.4 ขณะที่รายจ่ายลงทุนลดลงร้อยละ 0.2 นอกจากนี้ สศค.ได้คาดการณ์ว่าดุลการคลังภาคสาธารณะตามระบบ สศค.ตลอดปีงบประมาณ 2547 จะเกินดุล 93,251 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1.5 ของ GDP เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุลร้อยละ 2.3 ของ GDP ทั้งนี้เป็นผลจากการเกินดุลของรัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ สำหรับดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุลทั้งสิ้น 69,655 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 1.1 ของ GDP ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณที่แล้ว 28,892 ล้านบาท
หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2547 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,942 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45.58 ของ GDP เพิ่มขึ้นจาก เดือนมิถุนายน 2547 เท่ากับ 2,932 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 45.3 ของ GDP ทั้งนี้คิดเป็นหนี้ในประเทศ ร?อยละ 77.64 และหนี้ต่าง ประเทศ ร้อยละ 22.36
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 14/2547 29 ตุลาคม 2547--