บทสรุปภาวะการส่งออกของประเทศไทยระหว่างเดือน ม.ค.- ก.ย. 2547

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday November 17, 2004 11:36 —กรมส่งเสริมการส่งออก

1. เศรษฐกิจไทยในปี 2547 คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 6-7 โดยไตรมาสแรก GDP ขยายตัวประมาณร้อยละ 6.5 และประมาณร้อยละ 6.3 ในไตรมาสที่สอง และในปี 2548 คาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 5.8 2. ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสำคัญอันดับที่ 23 ของโลก ในปี 2546 มีสัดส่วนการส่งออกประมาณร้อยละ 1.20 ของการส่งออกรวมในตลาดโลกมูลค่าประมาณ 6,673 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ปี 2545 ไทยอยู่อันดับที่ 23 สัดส่วนร้อยละ 1.19) 3. ประเทศไทยเป็นผู้นำเข้าสำคัญอันดับที่ 22 ของโลก ในปี 2546 มีสัดส่วนการนำเข้าประมาณร้อยละ 1.11 ของการนำเข้าในตลาดโลกมูลค่าประมาณ 6,839 พันล้านเหรียญสหรัฐ(ปี 2545 ไทยอยู่อันดับที่ 22 สัดส่วนร้อยละ 1.10) 4. การค้าของไทยเดือน ม.ค.-ก.ย. 2547 มีมูลค่า 141,859.01 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.36 แยกเป็นการส่งออกมูลค่า 71,417.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.77 การนำเข้ามีมูลค่า 70,441.50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.22 ไทยได้เปรียบดุลการค้าเป็นมูลค่า 976.01 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 76.06 สำหรับเดือน กันยายน 2547 ไทยได้ดุลการค้าเป็นมูลค่า 483.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 5. กระทรวงพาณิชย์ได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกในปี 2547 ที่มูลค่า 92,060 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 การส่งออกเดือน ม.ค.-ก.ย. 2547 มีมูลค่า 71,417.51 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 77.57 ของเป้าหมายการส่งออก 6. สินค้าส่งออกสำคัญ 50 อันดับแรก สัดส่วนรวมกันร้อยละ 82.49 ของมูลค่าการส่งออกเดือน ม.ค.-ก.ย. 2547 สินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกเปลี่ยนแปลงสูง มีดังนี้ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 มี 2 รายการ คือ วงจรพิมพ์ เครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 108.18 และ 142.84 ตามลำดับ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 10 รายการ คือ ข้าว เครื่องใช้ไฟฟ้าและส่วนประกอบอื่นๆ น้ำมันสำเร็จรูป ส่วนประกอบอากาศยานและอุปกรณ์การบิน แผงสวิทช์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เลนซ์ เตาอบไมโครเวฟและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ให้ความร้อน รถจักรยานยนต์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม และเครื่องคอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น เพิ่มขึ้นร้อยละ 64.24, 95.49, 53.31, 88.68, 54.94, 64.21, 51.48, 55.69, 51.46 และ 58.76 ตามลำดับ 7. ตลาดส่งออกสำคัญ 50 อันดับแรก สัดส่วนรวมกันร้อยละ 95.33 ของมูลค่าการส่งออกเดือน ม.ค.-ก.ย. 2547 ตลาดที่มีมูลค่าการส่งออกเปลี่ยนแปลงสูง มีดังนี้ - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 100 มี 1 ตลาดได้แก่ อิรัก เพิ่มขึ้นร้อยละ 282.63 - เพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 มี 5 ตลาด ได้แก่ แอฟริกาใต้ อิหร่าน ตุรกี ฟินแลนด์ และเซเนกัล โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 73.36, 72.34, 66.79, 67.51 และ 63.06 ตามลำดับ 8. การนำเข้า 8.1 สินค้านำเข้ามีสัดส่วนโครงสร้างดังนี้ - สินค้าเชื้อเพลิง สัดส่วนร้อยละ 13.42 เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.68 - สินค้าทุน สัดส่วนร้อยละ 43.17 เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.92 - สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สัดส่วนร้อยละ 30.65 เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.98 - สินค้าบริโภค สัดส่วนร้อยละ 7.86 เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.33 - สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่ง สัดส่วนร้อยละ 3.88 เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.31 - สินค้าอื่นๆ สัดส่วนร้อยละ 1.01 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.11 8.2 แหล่งนำเข้าสำคัญ 10 อันดับแรก มีสัดส่วนรวมกันร้อยละ 67.35 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งสิ้น(ม.ค.-ก.ย. 2547) ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เยอรมนี และซาอุดีอาระเบีย สัดส่วนร้อยละ 23.97, 8.23, 7.61, 5.82, 4.49, 4.32, 3.92, 3.50, 3.02 และ 2.47 โดยมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 29.66, 34.22, 9.50, 29.06, 35.66, 31.45, 36.41, 70.27, 12.09 และ 40.42 ตามลำดับ 9. ข้อคิดเห็น 1. เศรษฐกิจไทยปี 2547 คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวได้ในระดับร้อยละ 6.4 จากการประเมินของเวิลด์แบงค์ และในปี 2548 มีโอกาสขยายตัวได้สูงประมาณร้อยละ 5.8 โดยการส่งออกและการลงทุนภายในประเทศเป็นปัจจัยสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป การส่งออกในปี 2548 คาดว่าจะรักษาระดับการเติบโตให้เพิ่มสูงได้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และหากราคาสินค้าในตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับสูงโดยเฉพาะสินค้าเกษตรสำคัญของไทย เช่น ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา ก็จะทำให้มูลค่าการส่งออกที่เพิ่มสูงมี สัดส่วนแปรผันโดยตรงกับรายได้ของเกษตรกรมากขึ้น ส่วนการลงทุนภายในประเทศ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนจะเป็นอีกปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจที่สำคัญในปี 2548 โดยภาครัฐมีโครงการลงทุนขนาดใหญ่(Mega-Projects) ทั้งระบบขนส่งมวลชนระบบราง ถนน ทางด่วน สนามบิน และท่าเรือ ซึ่งจะก่อให้เกิดการจ้างงานและกำลังซื้อในระบบ และยังสนับสนุนให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นของภาคเอกชนตามมา อย่างไรก็ตามการขยายการลงทุนจะส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าที่จะต้องเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดได้ โดยเวิลด์แบงค์คาดการณ์ว่าในปี 2548 ไทยจะขาดดุลการค้าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท หรือร้อยละ 1.1 ของจีดีพี แต่น่าจะยังคงรักษาดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลไว้ได้ที่ 1.14 แสนล้านบาท เพราะยังมีรายได้จากภาคบริการและการท่องเที่ยวเป็นปัจจัยสนับสนุน และการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 จะส่งผลให้มีเงินสะพัดในระบบมาก ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงปลายปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปีหน้า อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2548 จะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ปัจจัยเสี่ยงทางเศรษฐกิจทั้งในเรื่องของราคาน้ำมันที่เพิ่มสูง การแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกที่ยังกำจัดได้ไม่หมด สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ และแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย จะยังคงส่งผลกระทบทางลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจไทยรวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนในปี 2548 2. ประเทศสมาชิกอาเซียนตกลงที่จะใช้กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสะสมแบบใหม่ในข้อตกลงการลดภาษีระหว่างกันภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน(AFTA) ซึ่งปกติมีกลไกในการลดภาษีระหว่างกันคือ อัตราภาษีพิเศษที่เท่ากัน (CEPT: Common Effective Preferential Tariff) โดยการที่จะรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องเป็นไปตามกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า (Rule of Origin) ตามกรอบอาฟต้าเดิมได้กำหนดให้ต้องมีสัดส่วนของสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศ (Local Content) ไม่น้อยกว่า 40% และสามารถใช้กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าสะสม(CRO: Cumulative Rule of Origin) ด้วยการใช้วัตถุดิบของอีกประเทศหนึ่งที่ผ่านเกณฑ์ 40% มาสะสมได้เต็มมูลค่า แต่หากวัตถุดิบที่นำเข้ามาจากประเทศสมาชิกมี Local Content ไม่ถึงเกณฑ์ 40% ก็ไม่สามารถนำมาสะสมรวมได้ แต่กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสะสมแบบใหม่ ซึ่งเป็นข้อเสนอจากสิงคโปร์ ได้กำหนดให้นำวัตถุดิบของประเทศสมาชิกที่ผ่านเกณฑ์ Local Content ขั้นต่ำเพียง 20%(จากเดิม 40%) มาสะสมรวมกับของตนเองได้ตามสัดส่วนที่เป็นจริง และถ้ารวมกันแล้วมี Local Content สูงกว่า 40% ก็สามารถรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี(CEPT)ระหว่างประเทศสมาชิกได้ โดยสิงคโปร์ให้เหตุผลว่าหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะเป็นขยายการค้าระหว่างอาเซียน จูงใจให้มีการลงทุนในอาเซียนมากขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนมากขึ้น ซึ่งอาเซียนได้รับหลักการนี้แล้วและคาดว่าจะเริ่มบังคับใช้ในต้นปี 2548 คาดว่าหลักเกณฑ์ใหม่นี้จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างการผลิต และการส่งออกสินค้าระหว่างประเทศสมาชิกค่อนข้างมาก และประเทศที่น่าจะได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากหลักการใหม่นี้น่าจะเป็นสิงคโปร์ เพราะเป็นประเทศคนกลางขายสินค้าและมีโครงสร้างภาษีนำเข้าต่ำอยู่แล้ว และประเทศจีน เนื่องจากอาเซียนน่าจะนำเข้าวัตถุดิบราคาถูกจากจีนมาผลิตเพื่อส่งออกในประเทศสมาชิกเพิ่มขึ้น สำหรับประเทศไทยนับว่าเป็นโอกาสของอุตสาหกรรมปลายน้ำและอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม(SME) เพราะสามารถนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าในประเทศเข้ามาผลิตสินค้าสำเร็จรูปเพื่อส่งออกภายใต้สิทธิพิเศษทางภาษีที่เท่าเทียมกัน(CEPT)ได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็จะส่งผลกระทบทางลบต่อผู้ผลิตสินค้าวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูปที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันต่ำ เพราะต้นทุนสินค้านำเข้าจากประเทศสมาชิกอื่นที่ผลิตด้วยวัตถุดิบราคาถูกจากจีน อาจต่ำกว่าต้นทุนสินค้าที่ผลิตในประเทศได้ และการตรวจสอบสินค้าแอบอ้างสิทธิที่นำมาจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้านก็ทำได้ยากขึ้น ทั้งนี้ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดว่ามีสินค้า 8 กลุ่มที่เสี่ยงต่อการถูกทุ่มตลาดจากสินค้าแอบอ้างสิทธิ์ ได้แก่ สินค้ากลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล ผลิตภัณฑ์อาหาร เสื้อผ้า ยา หนังและรองเท้า เนื่องจากกลุ่มสินค้าดังกล่าวจีนมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง 3. สหภาพยุโรป(EU)ได้ออกข้อบังคับและกฎระเบียบต่างๆที่จะมีผลกระทบต่อสินค้าส่งออกของไทยอย่างมาก ได้แก่ ระเบียบการจัดการซากเหลือของสินค้าไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์(WEEE) ระเบียบว่าด้วยการกำจัดการใช้สารอันตรายในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (RoHS) สมุดปกขาวว่าด้วยเรื่องของการห้ามนำเข้าสินค้าเคมีภัณฑ์(REACH) สมุดปกเขียวว่าด้วยนโยบายสินค้าครบวงจร(IPP) และสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP)รอบใหม่ปี 2549-2552 ระเบียบข้อบังคับดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปลายปี 2548 ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวให้มีระบบการจัดการให้ได้ตามมาตฐานเพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการส่งออกสินค้าซึ่งคาดว่าจะต้องมีแน่นอน เพราะน่าจะมีผลกระทบต่อไปยังหลายอุตสาหกรรมต่อเนื่องเช่น บรรจุภัณฑ์ สิ่งทอ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอนิเจอร์ ชิ้นส่วนยานยนต์ และของเล่น เป็นต้น แต่หากผู้ส่งออกไทยสามารถปรับตัวได้ทันกับกฎระเบียบได้อย่างรวดเร็ว จะเป็นการพัฒนาโครงสร้างการผลิตและเทคโนโลยี รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า และเป็นโอกาสในการขยายตลาดในสหภาพยุโรปให้เพิ่มขึ้นได้ ส่วนระบบสิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร(GSP)รอบใหม่ ที่จะเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2549-2552 ไทยได้ขอคืนสิทธิ GSP ให้กับสินค้ากุ้ง ซึ่งคาดว่าน่าจะผลักดันได้เพราะมีข้อพิสูจน์ว่าไทยได้รับความเสียหายถึงร้อยละ 90 ในการส่งออกกุ้งไปยังสหภาพยุโรปหลังถูกตัดสิทธิ GSP จากเดิมที่เคยส่งออกได้ 192 ล้านยูโร ลดลงเหลือเพียง 5 ล้านยูโร ส่วนสินค้าไทยอยู่ในข่ายอาจจะถูกตัดสิทธิ GSP ในการให้สิทธิรอบใหม่ ได้แก่กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนและกลุ่มอัญมณี เนื่องจากอียูพิจารณาว่าสินค้าของไทยในสองกลุ่มนี้มีการนำเข้าภายใต้สิทธิพิเศษ GSP สูงกว่าร้อยละ 15 ของมูลค่าสินค้า ซึ่งทางไทยได้ส่งรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเจรจาขอต่อสิทธิ GSP แล้ว ที่มา: http://www.depthai.go.th-ดท-

แท็ก การส่งออก   GDP  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ