เศรษฐกิจอาเซียน
สิงคโปร์ เศรษฐกิจสิงคโปร์มีแนวโน้มขยายตัวดีในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และร้อยละ 11.9 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2547 เป็นผลจากการ ขยายตัวของการส่งออกจากอุปสงค์ต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเวชภัณฑ์ ขณะที่อุปสงค์ภายในค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยการส่งออกสินค้า Non-oil Domestic Exports ในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 31.9 เร่งขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวร้อยละ 20.5 โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวร้อยละ 27 และสินค้าที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวร้อยละ 37.4
สำหรับอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอลงโดยอัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.6 เท่ากับเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตามธนาคารกลางสิงคโปร์ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด เพื่อรักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อต่อไปโดยการปล่อยให้ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ค่อย ๆ แข็งค่าขึ้นทีละน้อย เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้สิงคโปร์ได้รับเพิ่มการคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2547 จากร้อยละ 5.5 - 7.5 เป็นร้อยละ 8 - 9
มาเลเซีย
เศรษฐกิจมาเลเซียในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และในไตรมาส 3/2547 มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการส่งออกยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มสูงขึ้น แม้จะมีสัญญาณแสดงถึงการชะลอตัวลงตาม Industrial Production Index แต่ภาคการผลิตและภาคบริการก็ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนการนำเข้าขยายตัวในอัตราที่ลดลงจากร้อยละ 38.8 ในเดือนมิถุนายนเป็นร้อยละ 27.6 ในเดือนกรกฎาคม ทางด้านอุปสงค์ภายในประเทศยังขยายตัวได้ดี โดยยอดขายรถยนต์ในเดือนสิงหาคมได้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 12.8 ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.4 ในเดือนสิงหาคม เทียบกับร้อยละ 1.3 ในเดือนกรกฎาคม สำหรับการขาดดุลงบประมาณนั้น มาเลเซียคงใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลต่อไปโดยไม่สามารถเข้าสู่ภาวะงบประมาณสมดุลในปี 2549 ตามกำหนดได้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลต่อการหดตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามมาเลเซียได้ปรับเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2547 จากร้อยละ 6 - 6.5 เป็นร้อยละ 7
ฟิลิปปินส์
เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 6.2 ส่งผลให้การขยายตัวในครึ่งแรกปี 2547 อยู่ที่ร้อยละ 6.3 ทั้งนี้ปัจจัยหลักมาจากการส่งออกที่ขยายตัวเร่งขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้นบ้าง สำหรับภาคเกษตรกรรมอยู่ในภาวะชะลอตัวลง
ด้านอัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ยังคงเร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 6.3 จากร้อยละ 6 ในเดือนกรกฎาคม และยังเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการปรับขึ้นค่าโดยสารในประเทศ อย่างไรก็ตามธนาคารกลางฟิลิปปินส์ยังยืนยันว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้เพื่อชะลอแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลจากด้านอุปทาน สำหรับอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแออยู่
อย่างไรก็ดีฟิลิปปินส์คาดว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปีจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการเข้มงวดการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อรักษาฐานะทางการคลังให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยคาดว่าปี 2547 เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 4.9 - 5.8 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
อินโดนีเซีย
เศรษฐกิจอินโดนีเซียไตรมาส 2/2547 ค่อนข้างทรงตัวโดยขยายตัวร้อยละ 4.3 ชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 5 เนื่องจากการใช้จ่ายของภาครัฐและภาคเอกชนชะลอตัวลงประกอบกับการส่งออกยังขยายตัวไม่มาก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันที่ต้องแข่งขันกับสินค้าส่งออกต้นทุนต่ำจากจีนและอินเดีย
สำหรับแรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากด้านราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและน้ำมัน โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 6.7 เทียบกับร้อยละ 7.2 เมื่อเดือนกรกฎาคม และเทียบกับอัตราเงินเฟ้อต้นปี 2547 ซึ่งอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 - 5 เท่านั้น
ด้านเสถียรภาพทางการเงินนั้น ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับเพิ่ม reserve requirement ของธนาคารพาณิชย์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา เพื่อลดสภาพคล่องในระบบและรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน ส่งผลให้เงินรูเปียห์แข็งค่าขึ้นจากประมาณ 9,400 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 8,800 - 9,000 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม และได้อ่อนค่าลงบ้างในเดือนสิงหาคมที่ 9,370 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ แต่กลับแข็งค่าขึ้น ในเดือนกันยายน อยู่ที่ 9,110 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ธนาคารอินโดนีเซียคาดว่าค่าเงินรูเปียห์จะแข็งค่าไปอยู่ที่ระดับ 8,800 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ ได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี เนื่องจาก คาดว่าจะเริ่มมีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินโดนีเซียคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2547 จะขยายตัวร้อยละ 4.8 และคาดว่าปี 2548 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.4
เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย
ไต้หวัน ในเดือนกรกฎาคม 2547 เศรษฐกิจของไต้หวันขยายตัวอย่างต่อเนื่องทำให้ไต้หวันปรับประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2547 จากเดิมร้อยละ 5.4 เป็นร้อยละ 5.9 จากการส่งออกในเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวสูงขึ้นตามอุปสงค์ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และการลงทุนของภาคเอกชนที่ขยายตัวสูง แต่เดือนสิงหาคมสถานการณ์ได้พลิกผัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น ทำให้การส่งออกในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 20 ชะลอจากเดือนกรกฎาคม ที่ขยายตัวร้อยละ 26.1 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการหยุดทำงานของภาคการผลิตในช่วงเกิดพายุ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และการสื่อสารมีการส่งออกลดลงชัดเจน อีกทั้งการส่งออกอาจชะลอตัวได้อีกจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ลดลง สำหรับการนำเข้าในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 33.7 เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวร้อยละ 32.9 ซึ่งเป็นการนำเข้าสินค้าทุนสำหรับใช้ในการผลิต
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.5 จากที่สูงถึงร้อยละ 3.3 ในเดือนกรกฎาคม แต่ราคาค้าส่งกลับสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 10.3 โดยมีปัจจัยจากราคาน้ำมันในตลาดโลกและวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น
ฮ่องกง
ในไตรมาส 2/2547 เศรษฐกิจฮ่องกงขยายตัวดีขึ้นในอัตราที่สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2543 เป็นต้นมา โดยขยายตัวถึงร้อยละ 12.1 เทียบกับร้อยละ 6.8 ในไตรมาสแรกของปี เป็นผลจากการบริโภคในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นตามภาวะการจ้างงาน (โดยล่าสุดการว่างงานของเดือนสิงหาคมปรับลดลงอยู่ที่ร้อยละ 6.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 30 เดือน) และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น การลงทุนในสินค้าทุนและเครื่องจักร การส่งออก การท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวกับประเทศจีนที่ขยายตัวดี ประกอบกับภาวะเงินฝืดและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มมีประสิทธิภาพโดยอัตราเงินเฟ้อปรับตัวเป็นบวกเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.9 หลังจากที่ตกอยู่ในภาวะเงินฝืดนานถึง 69 เดือน ซึ่งนับเป็นการตกอยู่ในภาวะเงินฝืดที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์แต่ธนาคารกลางฮ่องกงกลับปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 2.75 จากร้อยละ 2.5 ทั้งนี้ทางการฮ่องกงได้ปรับเพิ่มการขยายตัวเศรษฐกิจในปี 2547 เป็นร้อยละ 7.5 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 6.0
เกาหลีใต้
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรือร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2547 โดยปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ส่งผลให้การลงทุนขยายตัวเร่งขึ้น แต่เศรษฐกิจได้ชะลอลงในไตรมาส 3 เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนยังหดตัวจากปัญหาหนี้บัตรเครดิตในภาคครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลงประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี จะเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 87 ลดลงจาก 89.6 ในเดือนกรกฎาคม และยอดขายสินค้าของห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดสามแห่งในเดือนสิงหาคมลดลงร้อยละ 2.3 ประกอบกับการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนที่ชะลอตัวลง รวมทั้งราคาน้ำมันที่สูง โดยเกาหลีใต้ได้ดำเนินนโยบายทั้งด้านการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ โดยเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2547 ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (overnight call rate) ลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และกระทรวงการคลังได้ลดภาษีรายได้และภาษีดอกเบี้ยและเงินปันผลลงอย่างร้อยละ 1 ซึ่งผลจากมาตรการต่าง ๆ เริ่มแสดงผลบ้าง โดยดัชนีความเชื่อมั่น ภาคธุรกิจได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตได้ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ทางการเกาหลีใต้ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 5 เทียบกับปี 2546 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.1
สรุปภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วง 9 เดือนแรกปี 2547 และแนวโน้ม
ภาวะเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคของโลกยังมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น จากจีนที่แม้จะประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจแต่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี สหภาพยุโรปที่ยังฟื้นตัวต่อเนื่องจากการส่งออก รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ที่มีแนวโน้มขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ มาเลเซีย ก็ยังขยายตัวในทิศทางที่ดี สำหรับอินโดนีเซียเศรษฐกิจค่อนข้างทรงตัว ในขณะที่ฟิลิปปินส์ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ทางด้านสหรัฐอเมริกาเศรษฐกิจชะลอตัวจากการบริโภคของภาคเอกชน และอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง แต่ทางด้านการผลิตยังคงขยายตัวช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปต้องจับตาเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์การก่อการร้ายในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งอาจทำลายบ่อน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันอาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิดจนเกิดภาวะวิกฤตได้ อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลักที่สำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ปัญหาการขาดดุลแฝดอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตที่ดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดไม่สามารถขาดดุลได้อีกต่อไป เนื่องจากสหรัฐอเมริกาขาดแคลนเงินออมต้องพึ่งพิงเงินกู้จากภายในและต่างประเทศในการลงทุนและใช้จ่ายจนยอดหนี้สาธารณะเกือบจะทะลุเพดาน ทำให้ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชเสนอสภาสูงสหรัฐให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะ แต่การใช้จ่ายที่เกินตัวอาจทำให้ต่างประเทศเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาลดน้อยลง จนนำไปสู่การให้กู้ลดลง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาในการใช้นโยบายการเงินและการคลังบริหารประเทศในระยะต่อไป
หากสหรัฐอเมริกาต้องประสบปัญหารุนแรงดังกล่าว ประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกที่ต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ทั้งทางด้านการผลิตและการค้าจะได้รับผลกระทบไปด้วย
อนึ่ง จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ที่ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้รับชัยชนะโดยได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยที่ 2 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้นตอบรับทันที เนื่องจากนโยบายในการปราบปรามการก่อการร้ายในภูมิภาคของโลกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นสัญญาณว่าการเจรจาและลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ จะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ภาวะเศรษฐกิจจีนก็มีผลต่อเศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคของโลกอย่างมากด้วย เช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความได้เปรียบของค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า ทำให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกได้มากขึ้น ทำให้ต้องนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าเพื่อนำมาใช้ในการผลิตส่งออก ซึ่งหลังจากจีนได้ประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจแล้วอาจทำให้ประเทศในเอเชียอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งกับจีนในการส่งออกได้รับประโยชน์ในส่วนแบ่งตลาดส่งออกของจีนเดิม ขณะเดียวกันอาจสูญเสียการส่งออกวัตถุดิบและสินค้าไปยังจีนพร้อม ๆ กันด้วยขึ้นกับว่าผลอันไหนจะมากกว่า และจะปรับสมดุลอย่างไร อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจก็ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงแรก และการขยายตัวจะค่อย ๆ ปรับลดลงไปในที่สุดในระยะยาว
กล่าวโดยสรุป ทุกประเทศในโลกจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เปลี่ยนแปลง โดยระยะต่อไปจะเป็นระยะแห่งการเจรจาผลประโยชน์และจัดทำข้อตกลงทางการค้าทั้งในรูปพหุพาคีและทวิภาคีของประเทศต่าง ๆ โดย WTO และ FTA จะมีบทบาทสำคัญสำหรับการสร้างเครือข่ายด้านการค้า การผลิต และการลงทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
สิงคโปร์ เศรษฐกิจสิงคโปร์มีแนวโน้มขยายตัวดีในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และร้อยละ 11.9 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2547 เป็นผลจากการ ขยายตัวของการส่งออกจากอุปสงค์ต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเวชภัณฑ์ ขณะที่อุปสงค์ภายในค่อย ๆ ฟื้นตัว โดยการส่งออกสินค้า Non-oil Domestic Exports ในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 31.9 เร่งขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวร้อยละ 20.5 โดยการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวร้อยละ 27 และสินค้าที่ไม่ใช่อิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวร้อยละ 37.4
สำหรับอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอลงโดยอัตราเงินเฟ้อเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.6 เท่ากับเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตามธนาคารกลางสิงคโปร์ยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด เพื่อรักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อต่อไปโดยการปล่อยให้ค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ค่อย ๆ แข็งค่าขึ้นทีละน้อย เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้สิงคโปร์ได้รับเพิ่มการคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2547 จากร้อยละ 5.5 - 7.5 เป็นร้อยละ 8 - 9
มาเลเซีย
เศรษฐกิจมาเลเซียในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และในไตรมาส 3/2547 มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการส่งออกยังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มสูงขึ้น แม้จะมีสัญญาณแสดงถึงการชะลอตัวลงตาม Industrial Production Index แต่ภาคการผลิตและภาคบริการก็ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่วนการนำเข้าขยายตัวในอัตราที่ลดลงจากร้อยละ 38.8 ในเดือนมิถุนายนเป็นร้อยละ 27.6 ในเดือนกรกฎาคม ทางด้านอุปสงค์ภายในประเทศยังขยายตัวได้ดี โดยยอดขายรถยนต์ในเดือนสิงหาคมได้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 12.8 ขณะที่แรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ปรับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 1.4 ในเดือนสิงหาคม เทียบกับร้อยละ 1.3 ในเดือนกรกฎาคม สำหรับการขาดดุลงบประมาณนั้น มาเลเซียคงใช้นโยบายงบประมาณขาดดุลต่อไปโดยไม่สามารถเข้าสู่ภาวะงบประมาณสมดุลในปี 2549 ตามกำหนดได้ เพื่อหลีกเลี่ยงผลต่อการหดตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามมาเลเซียได้ปรับเป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2547 จากร้อยละ 6 - 6.5 เป็นร้อยละ 7
ฟิลิปปินส์
เศรษฐกิจฟิลิปปินส์ในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 6.2 ส่งผลให้การขยายตัวในครึ่งแรกปี 2547 อยู่ที่ร้อยละ 6.3 ทั้งนี้ปัจจัยหลักมาจากการส่งออกที่ขยายตัวเร่งขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการบริโภคภายในประเทศที่ฟื้นตัวดีขึ้นบ้าง สำหรับภาคเกษตรกรรมอยู่ในภาวะชะลอตัวลง
ด้านอัตราเงินเฟ้อของฟิลิปปินส์ยังคงเร่งตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 6.3 จากร้อยละ 6 ในเดือนกรกฎาคม และยังเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการปรับขึ้นค่าโดยสารในประเทศ อย่างไรก็ตามธนาคารกลางฟิลิปปินส์ยังยืนยันว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในขณะนี้เพื่อชะลอแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นผลจากด้านอุปทาน สำหรับอุปสงค์ภายในประเทศยังคงอ่อนแออยู่
อย่างไรก็ดีฟิลิปปินส์คาดว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปีจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการเข้มงวดการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อรักษาฐานะทางการคลังให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยคาดว่าปี 2547 เศรษฐกิจจะขยายตัวร้อยละ 4.9 - 5.8 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้
อินโดนีเซีย
เศรษฐกิจอินโดนีเซียไตรมาส 2/2547 ค่อนข้างทรงตัวโดยขยายตัวร้อยละ 4.3 ชะลอลงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 5 เนื่องจากการใช้จ่ายของภาครัฐและภาคเอกชนชะลอตัวลงประกอบกับการส่งออกยังขยายตัวไม่มาก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมันที่ต้องแข่งขันกับสินค้าส่งออกต้นทุนต่ำจากจีนและอินเดีย
สำหรับแรงกดดันด้านภาวะเงินเฟ้อยังคงสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากด้านราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและน้ำมัน โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 6.7 เทียบกับร้อยละ 7.2 เมื่อเดือนกรกฎาคม และเทียบกับอัตราเงินเฟ้อต้นปี 2547 ซึ่งอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4 - 5 เท่านั้น
ด้านเสถียรภาพทางการเงินนั้น ธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับเพิ่ม reserve requirement ของธนาคารพาณิชย์ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา เพื่อลดสภาพคล่องในระบบและรักษาเสถียรภาพของค่าเงิน ส่งผลให้เงินรูเปียห์แข็งค่าขึ้นจากประมาณ 9,400 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน มาอยู่ที่ 8,800 - 9,000 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม และได้อ่อนค่าลงบ้างในเดือนสิงหาคมที่ 9,370 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ แต่กลับแข็งค่าขึ้น ในเดือนกันยายน อยู่ที่ 9,110 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ ทั้งนี้ธนาคารอินโดนีเซียคาดว่าค่าเงินรูเปียห์จะแข็งค่าไปอยู่ที่ระดับ 8,800 รูเปียห์ต่อเหรียญสหรัฐฯ ได้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี เนื่องจาก คาดว่าจะเริ่มมีเงินลงทุนจากต่างประเทศไหลเข้าภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินโดนีเซียคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2547 จะขยายตัวร้อยละ 4.8 และคาดว่าปี 2548 เศรษฐกิจจะขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5.4
เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย
ไต้หวัน ในเดือนกรกฎาคม 2547 เศรษฐกิจของไต้หวันขยายตัวอย่างต่อเนื่องทำให้ไต้หวันปรับประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2547 จากเดิมร้อยละ 5.4 เป็นร้อยละ 5.9 จากการส่งออกในเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวสูงขึ้นตามอุปสงค์ของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดโลกที่สูงขึ้นต่อเนื่อง และการลงทุนของภาคเอกชนที่ขยายตัวสูง แต่เดือนสิงหาคมสถานการณ์ได้พลิกผัน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพายุไต้ฝุ่น ทำให้การส่งออกในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 20 ชะลอจากเดือนกรกฎาคม ที่ขยายตัวร้อยละ 26.1 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการหยุดทำงานของภาคการผลิตในช่วงเกิดพายุ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และการสื่อสารมีการส่งออกลดลงชัดเจน อีกทั้งการส่งออกอาจชะลอตัวได้อีกจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเกี่ยวกับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ลดลง สำหรับการนำเข้าในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 33.7 เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวร้อยละ 32.9 ซึ่งเป็นการนำเข้าสินค้าทุนสำหรับใช้ในการผลิต
สำหรับอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.5 จากที่สูงถึงร้อยละ 3.3 ในเดือนกรกฎาคม แต่ราคาค้าส่งกลับสูงขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 10.3 โดยมีปัจจัยจากราคาน้ำมันในตลาดโลกและวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น
ฮ่องกง
ในไตรมาส 2/2547 เศรษฐกิจฮ่องกงขยายตัวดีขึ้นในอัตราที่สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2543 เป็นต้นมา โดยขยายตัวถึงร้อยละ 12.1 เทียบกับร้อยละ 6.8 ในไตรมาสแรกของปี เป็นผลจากการบริโภคในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นตามภาวะการจ้างงาน (โดยล่าสุดการว่างงานของเดือนสิงหาคมปรับลดลงอยู่ที่ร้อยละ 6.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 30 เดือน) และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น การลงทุนในสินค้าทุนและเครื่องจักร การส่งออก การท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกและการท่องเที่ยวกับประเทศจีนที่ขยายตัวดี ประกอบกับภาวะเงินฝืดและตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มมีประสิทธิภาพโดยอัตราเงินเฟ้อปรับตัวเป็นบวกเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม อยู่ที่ร้อยละ 0.9 หลังจากที่ตกอยู่ในภาวะเงินฝืดนานถึง 69 เดือน ซึ่งนับเป็นการตกอยู่ในภาวะเงินฝืดที่นานที่สุดในประวัติศาสตร์แต่ธนาคารกลางฮ่องกงกลับปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นร้อยละ 2.75 จากร้อยละ 2.5 ทั้งนี้ทางการฮ่องกงได้ปรับเพิ่มการขยายตัวเศรษฐกิจในปี 2547 เป็นร้อยละ 7.5 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ร้อยละ 6.0
เกาหลีใต้
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรือร้อยละ 0.6 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2547 โดยปัจจัยสำคัญมาจากการส่งออกสินค้าและบริการที่สูงขึ้น ส่งผลให้การลงทุนขยายตัวเร่งขึ้น แต่เศรษฐกิจได้ชะลอลงในไตรมาส 3 เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนยังหดตัวจากปัญหาหนี้บัตรเครดิตในภาคครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายลงประกอบกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี จะเห็นได้จากดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภคในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 87 ลดลงจาก 89.6 ในเดือนกรกฎาคม และยอดขายสินค้าของห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดสามแห่งในเดือนสิงหาคมลดลงร้อยละ 2.3 ประกอบกับการส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวลง จากแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีนที่ชะลอตัวลง รวมทั้งราคาน้ำมันที่สูง โดยเกาหลีใต้ได้ดำเนินนโยบายทั้งด้านการเงินและการคลังเพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ โดยเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2547 ธนาคารกลางเกาหลีใต้ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐาน (overnight call rate) ลงร้อยละ 0.25 มาอยู่ที่ร้อยละ 3.5 เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และกระทรวงการคลังได้ลดภาษีรายได้และภาษีดอกเบี้ยและเงินปันผลลงอย่างร้อยละ 1 ซึ่งผลจากมาตรการต่าง ๆ เริ่มแสดงผลบ้าง โดยดัชนีความเชื่อมั่น ภาคธุรกิจได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตได้ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ทางการเกาหลีใต้ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจปี 2547 ขยายตัวร้อยละ 5 เทียบกับปี 2546 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.1
สรุปภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วง 9 เดือนแรกปี 2547 และแนวโน้ม
ภาวะเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคของโลกยังมีการปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น จากจีนที่แม้จะประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจแต่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี สหภาพยุโรปที่ยังฟื้นตัวต่อเนื่องจากการส่งออก รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย ได้แก่ สิงคโปร์ที่มีแนวโน้มขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ มาเลเซีย ก็ยังขยายตัวในทิศทางที่ดี สำหรับอินโดนีเซียเศรษฐกิจค่อนข้างทรงตัว ในขณะที่ฟิลิปปินส์ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ทางด้านสหรัฐอเมริกาเศรษฐกิจชะลอตัวจากการบริโภคของภาคเอกชน และอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง แต่ทางด้านการผลิตยังคงขยายตัวช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจโลกในระยะต่อไปต้องจับตาเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดกับสถานการณ์การก่อการร้ายในภูมิภาคต่าง ๆ ซึ่งอาจทำลายบ่อน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันอาจปรับตัวสูงขึ้นอย่างไม่คาดคิดจนเกิดภาวะวิกฤตได้ อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลักที่สำคัญ ได้แก่ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ปัญหาการขาดดุลแฝดอาจนำไปสู่ภาวะวิกฤตที่ดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดไม่สามารถขาดดุลได้อีกต่อไป เนื่องจากสหรัฐอเมริกาขาดแคลนเงินออมต้องพึ่งพิงเงินกู้จากภายในและต่างประเทศในการลงทุนและใช้จ่ายจนยอดหนี้สาธารณะเกือบจะทะลุเพดาน ทำให้ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุชเสนอสภาสูงสหรัฐให้ขยายเพดานหนี้สาธารณะ แต่การใช้จ่ายที่เกินตัวอาจทำให้ต่างประเทศเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาลดน้อยลง จนนำไปสู่การให้กู้ลดลง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยซึ่งปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจนทำให้สหรัฐอเมริกาประสบปัญหาในการใช้นโยบายการเงินและการคลังบริหารประเทศในระยะต่อไป
หากสหรัฐอเมริกาต้องประสบปัญหารุนแรงดังกล่าว ประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ ของโลกที่ต้องพึ่งพิงเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ทั้งทางด้านการผลิตและการค้าจะได้รับผลกระทบไปด้วย
อนึ่ง จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2547 ที่ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช ได้รับชัยชนะโดยได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสมัยที่ 2 ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกสูงขึ้นตอบรับทันที เนื่องจากนโยบายในการปราบปรามการก่อการร้ายในภูมิภาคของโลกอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นสัญญาณว่าการเจรจาและลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่าง ๆ จะดำเนินการต่อไปอย่างต่อเนื่อง
ภาวะเศรษฐกิจจีนก็มีผลต่อเศรษฐกิจประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคของโลกอย่างมากด้วย เช่นกัน เนื่องจากเศรษฐกิจจีนได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยความได้เปรียบของค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า ทำให้สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกได้มากขึ้น ทำให้ต้องนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าเพื่อนำมาใช้ในการผลิตส่งออก ซึ่งหลังจากจีนได้ประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจแล้วอาจทำให้ประเทศในเอเชียอื่น ๆ ที่เป็นคู่แข่งกับจีนในการส่งออกได้รับประโยชน์ในส่วนแบ่งตลาดส่งออกของจีนเดิม ขณะเดียวกันอาจสูญเสียการส่งออกวัตถุดิบและสินค้าไปยังจีนพร้อม ๆ กันด้วยขึ้นกับว่าผลอันไหนจะมากกว่า และจะปรับสมดุลอย่างไร อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจก็ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในช่วงแรก และการขยายตัวจะค่อย ๆ ปรับลดลงไปในที่สุดในระยะยาว
กล่าวโดยสรุป ทุกประเทศในโลกจะต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองที่เปลี่ยนแปลง โดยระยะต่อไปจะเป็นระยะแห่งการเจรจาผลประโยชน์และจัดทำข้อตกลงทางการค้าทั้งในรูปพหุพาคีและทวิภาคีของประเทศต่าง ๆ โดย WTO และ FTA จะมีบทบาทสำคัญสำหรับการสร้างเครือข่ายด้านการค้า การผลิต และการลงทุนระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลก
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-