แท็ก
เยอรมัน
ความสัมพันธ์กับไทย
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน มีความสัมพันธ์กับไทยมานานนับร้อยปี ตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการตกลงทำสัญญาทางการค้า เศรษฐกิจและทางการเมือง ต่อกันหลายฉบับ
สำหรับความสัมพันธ์ทางด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยและเยอรมัน มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี และในช่วงที่ผ่านมา ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับเยอรมันมาโดยตลอด ในปี 2540 ไทยส่งออกไปเยอรมันมีมูลค่ากว่า 44,640 ล้านบาท และนำเข้าจากเยอรมันมูลค่ากว่า 91,069 ล้านบาท สินค้าไทยส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ,คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ยาง และรองเท้า เป็นต้น
สินค้านำเข้าที่สำคัญจากเยอรมัน ได้แก่ เครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรม เคมีภัณฑ์, แผงวงจรไฟฟ้า, รถยนต์, เหล็ก และเหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ยา เป็นต้น
แนวโน้มตลาดสินค้าเยอรมันยังมีอนาคตสดใสอีกมาก กำลังซื้อของประชาชนยังมีสูง เพราะเยอรมันมีประชากรกว่า 82 ล้านคน และถ้าในอนาคตประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ได้มีการร่วมกันใช้เงินสกุล Euro (ตามข้อตกลงในขั้นแรก ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 จะทำการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นมูลค่าตายตัว สำหรับเงินสกุลต่าง ๆ ของประเทศที่เข้าร่วมทั้ง 11 ประเทศ กับเงินสกุล EURO ใช้ควบคู่กันไป โดยจะเป็นเพียงตัวเลขปรากฎในบัญชีและในการโอนต่าง ๆ เท่านั้น และจะใช้คู่กันไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2544 และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นไป จึงจะมีการใช้ธนบัตร และเหรียญเงินเพียงสกุลเดียว และยกเลิกใช้เงินสกุลอื่น ๆ ทั้งหมด) ประเทศสมาชิก สหภาพยุโรปที่จะใช้เงินสกุล EURO จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในร่างสัญญาดังกล่าว คือ มีอัตราเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ 3, ประเทศมีหนี้สินไม่เกินร้อยละ 6 ของผลผลิตมวลรวม และรายจ่ายของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นไม่เกินร้อยละ 3 และในจำนวนสมาชิก 15 ประเทศ มีเพียง 11 ประเทศที่มีสิทธิได้เข้าร่วมในครั้งนี้ ซึ่งเยอรมันก็เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่เข้าร่วมในการนำเงินสกุล Euro มาใช้ดังกล่าวซึ่งจากข้อกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา เห็นว่าประเทศที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้ จะต้องมีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจและการเงินที่เข้มแข็งพอสมควร ดังนั้นประเทศเยอรมันน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ไทยจะได้เข้าไปดูลู่ทางในการขยายตลาดสินค้าเพิ่มมากขึ้น
นโยบายทางการค้า
นโยบายทางการค้าของเยอรมันส่วนหนึ่งจะดำเนินการตามกฎเกณฑ์ที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ และในอีกส่วนหนึ่งเยอรมันพยายามส่งเสริมให้เป็นการค้า การประกอบกิจการทางธุรกิจที่มีเสรีภาพ มีการแข่งขันที่ให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด โดยรัฐบาลจะกำหนดขอบเขตของการควบคุมอย่างกว้าง ๆ และเข้าแทรกแซง การดำเนินการบางอย่าง เมื่อเกิดความจำเป็น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ คือ
- การควบคุมราคาของสินค้าให้มีเสถีรภาพ
- ให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม
- ให้มีดุลการชำระเงินที่มีความสมดุลย์
การห้ามนำเข้า
เยอรมันมีข้อห้าม ข้อกำหนดกับสินค้าบางรายการเพื่อป้องกันสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค ด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม การป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ มิให้สิ้นเปลืองวัตถุดิบ หากสินค้านำเข้าไม่เป็นไปตามข้อกำหนดก็จะไม่อนุญาตให้นำเข้า ข้อกำหนดต่าง ๆ สำหรับสินค้าแต่ละชนิด ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
สินค้าอาหารสำเร็จรูป ต้องปราศจากเชื้อโรค เชื้อรา และสารพิษตกค้างต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วต้องมีการปิดฉลากแจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ตามที่กำหนดในกฎหมายการปิดฉลาก เช่น ขนาดบรรจุ ส่วนประกอบ วันหมดอายุ ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า
สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ต้องไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้ตามข้อกำหนดในด้านมาตรฐาน สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร
สัตว์ป่าและของป่า เพื่อป้องกันมิให้สัตว์ป่าสูญพันธ์หรือเป็นการทำลายป่าไม้ หากเป็นสินค้าต้องห้ามตามรายการในสัญญาวอชิงตัน จะไม่อนุญาตให้นำเข้า
เคมีภัณฑ์ สารพิษต่าง ๆ ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง เมื่อมีสารพิษเจือปนเกินอัตราที่กำหนดเอาไว้ หรือเป็นสารพิษที่ไม่อนุญาตให้ใช้ เช่น ดี.ดี.ที. เป็นต้น จะไม่อนุญาตให้นำเข้า
วัตถุดิบต่าง ๆ รวมทั้งสี ที่นำมาใช้ในการผลิตจะต้องไม่เป็นพิษหรือตกค้างในสินค้าเกินกว่าปริมาณ ที่กำหนดให้มีตกค้างได้
มาตรการด้านภาษี
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2541 เยอรมันได้ปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก 1% เป็นร้อยละ 16 การเพิ่มอัตราภาษีครั้งนี้ โดยเฉลี่ยทำให้ราคาของสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอีกประมาณร้อยละ 0.4-0.7
ภาษีนำเข้า
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันใช้ระบบจำแนกพิกัดสินค้าตามระบบ ฮาร์โนไนซ์ (H.S.Code) การเรียกเก็บภาษีจะเรียกเก็บในอัตราเดียวกันกับที่สหภาพยุโรปกำหนดเอาไว้ตามชนิดของสินค้าโดยทั่วไปแบ่งการเก็บออกเป็น 3 ประเภทตามอัตราการเก็บ ดังนี้
- สินค้าจากประเทศอุตสาหกรรม เรียกเก็บเต็มอัตรา
- สินค้าจากประเทศกำลังพัฒนาเสียในอัตราต่ำกว่าอัตราปกติ
- สินค้าจากประเทศด้อยพัฒนา เสียในอัตราต่ำกว่าอัตราสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
นโยบายการค้าของเยอรมันดำเนินตามกฎเกณฑ์การค้าเสรีของ WTO ตามโครงการ GSP และข้อตกลงสิ่งทอในด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งตามข้อตกลงที่สหภาพยุโรปได้ตกลงกับกลุ่มประเทศต่าง ๆ กับประเทศกำลังพัฒนา และตามสนธิสัญญาโลเม่ เพื่อส่งเสริมให้การค้าทั่วโลกมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน และให้ประเทศที่อยู่ในฐานะที่ด้อยกว่ามีความสามารถในการแข่งขันทางการค้าได้ ตามหลักการเหล่านี้ จึงมีการลดอัตราภาษีนำเข้าให้กับกลุ่มประเทศและบางประเทศแตกต่างกันไปดังนี้
สินค้าอาหาร กว่า 400 ชนิด ที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนาจะเสียภาษีนำเข้าใน อัตราที่ต่ำกว่าอัตราที่เรียกเก็บตามปกติ หรือไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าแต่อย่างใด บางรายการจะมีการกำหนดโควต้าสำหรับการนำเข้า จำนวนที่เกินโควต้าจะต้องเสียภาษีในอัตราปกติ
ประเทศที่ยังคงได้รับสิทธิ์พิเศษเสียภาษีนำเข้าน้อยในอัตราที่ต่ำกว่าของไทย ได้แก่
กลุ่มประเทศในอัฟริกาตอนเหนือ ได้แก่ โมรอคโค อัลจีเรีย และตูเนเซีย เป็นต้น
กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ได้แก่ อียิปต์ จอร์แดน
กลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออก และยุโรปกลาง ได้แก่ โปแลนด์ โรมาเนีย ฮังการี เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วบางประเทศยังสามารถนำเข้าสินค้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านโควต้าอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในอัฟริกา
สินค้าสิ่งทอ
นอกเหนือจากประเทศด้อยพัฒนาและประเทศตามสัญญาโลเม่ จะมีการกำหนดโควต้าในการนำเข้าโดยเสียภาษีนำเข้าในอัตราต่ำกว่าปรกติ สำหรับจำนวนที่เกินโควต้าจะต้องเสียภาษีในอัตราปกติหรือไม่อนุญาตให้นำเข้า
อัตราภาษีนำเข้า
แบ่งแยกตามประเภทของสินค้าจะมีการเรียกเก็บภาษีโดยประมาณ ดังนี้
- สินค้าประเภทวัตถุดิบจะเสียภาษีสูงสุดไม่เกินร้อยละ 4
- สินค้าขั้นปฐมต่าง ๆ อัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ 20
- สินค้าอุตสาหกรรม สำเร็จรูปต่าง ๆ ส่วนใหญ่ ไม่เสียภาษี บางชนิดมีการกำหนดโควต้านำเข้าได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีในอัตราปกติ ได้แก่ สิ่งทอ เครื่องหนัง ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น ซึ่งมีอัตราภาษีนำเข้าสูงสุด
ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด
ปัจจุบัน ข้อกำหนดในด้านโควต้าสำหรับการนำเข้าได้ถูกยกเลิกไปเป็นจำนวนมาก สินค้าต่าง ๆ เมื่อได้ชำระภาษีนำเข้าแล้วสามารถนำเข้าได้ จึงทำให้มีการตรวจสอบในด้านราคาต้นทุนการผลิตของสินค้าเพิ่มมากขึ้น หากตรวจพบว่าราคาที่เสนอขายต่ำกว่าความเป็นจริงในประเทศผู้ส่งออก สินค้านั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดเพิ่มเติม สินค้าที่เคยมีการพิจารณาเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด อาทิเช่น เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าจากญี่ปุ่น เทปวีดีโอจากฮ่องกง แม่เหล็กจากญี่ปุ่นและไต้หวัน แปรงทาสีจากจีน รถยนต์และวิทยุจากเกาหลีใต้ เครื่องเหล็กจากประเทศยุโรปตะวันออก จักรยาน 2 ล้อ จากไต้หวัน เคมีภัณฑ์จากสหรัฐ เป็นต้น
สินค้าของไทยที่เคยถูกพิจารณาเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดเพิ่มเติมและยุติไปแล้ว ได้แก่
- ตลับลูกปืน - ผงชูรส
- ผ้าปูที่นอน - เฟอร์ฟูริล อัลกอฮอล์
- ชิ้นส่วนนาฬิกาข้อมือ - ผ้าผืนใยสังเคราะห์
- แผ่นดิสต์บันทึกข้อมูล
สินค้าที่เสียภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ได้แก่
- ไฟแช็กชนิดเติมแก๊สไม่ได้ (One-way-lighter) อัตราปัจจุบัน ร้อยละ 5
- โทรทัศน์สี " " 29.8
- จักรยาน " " 13-39.2
- ถุงพลาสติก " " 13.8-94.2
- เส้นใยสังเคราะห์ " " 8-10
- แผ่นดิสเกตต์บันทึกข้อมูล " " 10-38
- รองเท้า " " 50
- เครื่องโทรสาร " " 10.4-22.6
มาตรการที่มิใช่ภาษี
ใบอนุญาตนำเข้า
มีการกำหนดให้มีการขออนุญาตนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมสำหรับบางประเทศ เช่นจากจีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม และมองโกเลีย สำหรับสินค้าเกษตรจะต้องมีใบอนุญาตนำเข้าทุกครั้งได้แก่ สินค้าเกษตรที่ต้องเสียภาษีนำเข้า สินค้าสิ่งทอ ตามข้อตกลงสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าจากประเทศในยุโรปตะวันออก ถ่านหิน และอาวุธ เป็นต้น
การให้โควต้าพิเศษ
สินค้าที่มีโควต้าพิเศษที่สำคัญ ๆ ได้แก่ เนื้อสัตว์ปีก ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้าจากประเทศในยุโปรตะวันออกจำนวนโควต้าที่กำหนดปัจจุบันเป็นโควต้ารวมสำหรับทุกประเทศในสหภาพยุโรป มิได้แยกออกเป็นโควต้ารายประเทศดังเช่นที่เคยปฏิบัติมา การจัดแบ่งโควต้าพิเศษนี้ เป็นอุปสรรคต่อการค้าของไทย เพราะทำให้สินค้าไทยที่ส่งออกมาเยอรมันเสียเปรียบในด้านราคาเมื่อเทียบกับประเทศที่ได้รับโควต้าพิเศษนี้
การตรวจสอบสินค้า
โดยทั่วไปแล้วเจ้าหน้าที่ศุลกากรเยอรมันจะไม่เข้มงวดเท่าใด เมื่อมีเอกสารประกอบการนำเข้าครบถ้วน ถูกต้องตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับ จะอนุญาตให้นำเข้าสินค้านั้น ๆ ได้แต่บางครั้งก็จะมีการสุ่มตัวอย่างตรวจสอบก่อนอนุญาตให้นำเข้า นอกจากนี้จะมีการนำสินค้าที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดมาตรวจสอบความถูกต้องเป็นครั้งคราว หรือเมื่อได้รับแจ้งจากผู้บริโภค ทั้งในด้านสุขอนามัย และตามขนาดบรรจุ เมื่อตรวจพบว่าไม่ถูกต้อง ขัดกับระเบียบ ข้อกำหนดก็จะสั่งยึดและเก็บสินค้านั้น ๆ ออกจากตลาดมาทำลายต่อไป
ในระยะหลังนี้ได้มีการตรวจสอบพบความไม่ถูกต้องของสินค้าที่นำเข้าจากไทยบ่อยครั้งขึ้นโดยเฉพาะดอกไม้สดและพืช ผัก สินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่มีการควบคุมการนำเข้า ซึ่งจะต้องมีเอกสารรับรองออกให้หน่วยงานของไทยแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งนอกจากจะทำให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเคร่งครัดกับสินค้านำเข้าจากไทยเพิ่มมากขึ้นแล้ว อาจจะมีผลกระทบต่อความเชื่อถือในเอกสารที่ออกโดยหน่วยงานไทยอีกด้วย เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
กฏเกณฑ์ใหม่ ๆ สำหรับสินค้า
ความปลอดภัยของผู้บริโภคในด้านสุขภาพ การป้องกันสิ่งแวดล้อม และการสงวนทรัพยากรธรรมชาติมีความสำคัญต่อการค้าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ด้วยเหตุนี้จึงมีการกำหนดกฏระเบียบต่าง ๆเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้บรรลุถึงจุดประสงค์ต่าง ๆ เหล่านี้ เยอรมันให้ความสำคัญในเรื่องเช่นนี้มากที่สุดมาตราการและคำแนะนำในส่วนที่เกี่ยวข้องนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นความผิด และความต้องการของเยอรมันกฏเกณฑ์สำคัญ ๆ ที่มีการรับรอง และใช้ในสหภาพยุโรป ได้แก่
ตรา CE เป็นสัญลักษณ์รับรองคุณภาพของสินค้าที่ผลิตขึ้นมาตามข้อกำหนดในด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม สินค้าที่ใช้ตรา CE แล้วในปัจจุบัน ได้แก่ ของเด็กเล่น เครื่องจักรกล อุปกรณ์ก่อสร้าง อุปกรณ์ใช้แก๊ส เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้นดังนั้น สินค้าไทยที่จะเข้าสู่ตลาดเยอรมันควรจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงใช้วัตถุดิบในการผลิตที่ตรงตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นให้มากขึ้น ก็จะช่วยส่งเสริมให้สินค้าของไทยได้รับความสนใจมากขึ้นหากไม่รีบแก้ไข ในระยะยาวก็จะทำให้ตลาดไม่ยอมรับสินค้าจากไทย
การรับผิดชอบต่อสินค้า สินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสู่ตลาดมีข้อกำหนดตามกฏหมายระบุไว้ว่า เมื่อสินค้านั้นเป็นต้นเหตุก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคไม่ว่าจะในด้านสุขภาพอนามัยของผู้ใช้ หรือต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ผลิตจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในวงเงินไม่เกิน 160 ล้านมาร์คหากเป็นสินค้านำเข้า ผู้นำเข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้านั้น ยกเว้นสินค้าเกษตรที่ยังมิได้แปรสภาพ ด้วยเหตุนี้สินค้าที่ผู้นำเข้าเยอรมันจะนำเข้าจึงต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ และเป็นที่แน่ใจได้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภคการผลิตสินค้าของไทยจึงต้องคำนึงถึงข้อนี้ให้มาก เพราะความรับผิดชอบดังกล่าวเป็นเรื่องเยอรมันให้ความสำคัญมาก
การนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycling) เพื่อเป็นการสงวนวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติมีการกำหนดให้มีการนำวัสดุบรรจุสินค้า หีบห่อต่าง ๆ กลับมาใช้ใหม่ด้วยการ Recycling ปัจจุบันมีการกำหนดอัตรานำกลับมาใช้ใหม่สหภาพยุโรปในระหว่างร้อยละ 25-45 แต่ในเยอรมันมีอัตราสูงถึงกว่าร้อยละ 50 การใช้วัตถุดิบบรรจุสินค้าของไทย จึงต้องคำนึงถึงข้อนี้ให้มาก และควรจะใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้สินค้าไทยเป็นที่นิยมมากขึ้นของผู้นำเข้าเยอรมัน
ระบบ HCCP ระบบควบคุมการผลิตสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ทุกขั้นตอนจากสภาพที่เป็นวัตถุดิบไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปนั้น ในส่วนของเยอรมันจะนำมาใช้ตามที่สหภาพยุโรปกำหนด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการผลิตสินค้าอาหารเพื่อการบริโภคนี้ ในส่วนของเยอรมันมี Food law และข้อกำหนดอื่นๆ ที่เข้มงวดและรัดกุมอยู่แล้ว จึงไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายกับอุตสาหกรรมแขนงนี้
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 2/30 มิถุนายน 2541--
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน มีความสัมพันธ์กับไทยมานานนับร้อยปี ตลอดในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการตกลงทำสัญญาทางการค้า เศรษฐกิจและทางการเมือง ต่อกันหลายฉบับ
สำหรับความสัมพันธ์ทางด้านการค้าระหว่างประเทศของไทยและเยอรมัน มีมูลค่าการค้าระหว่างกันกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี และในช่วงที่ผ่านมา ไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้ากับเยอรมันมาโดยตลอด ในปี 2540 ไทยส่งออกไปเยอรมันมีมูลค่ากว่า 44,640 ล้านบาท และนำเข้าจากเยอรมันมูลค่ากว่า 91,069 ล้านบาท สินค้าไทยส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ,คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ไก่แช่แข็ง ผลิตภัณฑ์ยาง และรองเท้า เป็นต้น
สินค้านำเข้าที่สำคัญจากเยอรมัน ได้แก่ เครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรม เคมีภัณฑ์, แผงวงจรไฟฟ้า, รถยนต์, เหล็ก และเหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ยา เป็นต้น
แนวโน้มตลาดสินค้าเยอรมันยังมีอนาคตสดใสอีกมาก กำลังซื้อของประชาชนยังมีสูง เพราะเยอรมันมีประชากรกว่า 82 ล้านคน และถ้าในอนาคตประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ได้มีการร่วมกันใช้เงินสกุล Euro (ตามข้อตกลงในขั้นแรก ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 จะทำการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นมูลค่าตายตัว สำหรับเงินสกุลต่าง ๆ ของประเทศที่เข้าร่วมทั้ง 11 ประเทศ กับเงินสกุล EURO ใช้ควบคู่กันไป โดยจะเป็นเพียงตัวเลขปรากฎในบัญชีและในการโอนต่าง ๆ เท่านั้น และจะใช้คู่กันไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2544 และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2545 เป็นต้นไป จึงจะมีการใช้ธนบัตร และเหรียญเงินเพียงสกุลเดียว และยกเลิกใช้เงินสกุลอื่น ๆ ทั้งหมด) ประเทศสมาชิก สหภาพยุโรปที่จะใช้เงินสกุล EURO จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในร่างสัญญาดังกล่าว คือ มีอัตราเงินเฟ้อไม่เกินร้อยละ 3, ประเทศมีหนี้สินไม่เกินร้อยละ 6 ของผลผลิตมวลรวม และรายจ่ายของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นไม่เกินร้อยละ 3 และในจำนวนสมาชิก 15 ประเทศ มีเพียง 11 ประเทศที่มีสิทธิได้เข้าร่วมในครั้งนี้ ซึ่งเยอรมันก็เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่เข้าร่วมในการนำเงินสกุล Euro มาใช้ดังกล่าวซึ่งจากข้อกำหนดที่ระบุไว้ในสัญญา เห็นว่าประเทศที่เข้าร่วมโครงการดังกล่าวได้ จะต้องมีพื้นฐานทางด้านเศรษฐกิจและการเงินที่เข้มแข็งพอสมควร ดังนั้นประเทศเยอรมันน่าจะเป็นโอกาสที่ดีที่ไทยจะได้เข้าไปดูลู่ทางในการขยายตลาดสินค้าเพิ่มมากขึ้น
นโยบายทางการค้า
นโยบายทางการค้าของเยอรมันส่วนหนึ่งจะดำเนินการตามกฎเกณฑ์ที่สหภาพยุโรปกำหนดไว้ และในอีกส่วนหนึ่งเยอรมันพยายามส่งเสริมให้เป็นการค้า การประกอบกิจการทางธุรกิจที่มีเสรีภาพ มีการแข่งขันที่ให้เกิดความยุติธรรมมากที่สุด โดยรัฐบาลจะกำหนดขอบเขตของการควบคุมอย่างกว้าง ๆ และเข้าแทรกแซง การดำเนินการบางอย่าง เมื่อเกิดความจำเป็น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ คือ
- การควบคุมราคาของสินค้าให้มีเสถีรภาพ
- ให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม
- ให้มีดุลการชำระเงินที่มีความสมดุลย์
การห้ามนำเข้า
เยอรมันมีข้อห้าม ข้อกำหนดกับสินค้าบางรายการเพื่อป้องกันสุขภาพและความปลอดภัยของผู้บริโภค ด้วยเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อม การป้องกันทรัพยากรธรรมชาติ มิให้สิ้นเปลืองวัตถุดิบ หากสินค้านำเข้าไม่เป็นไปตามข้อกำหนดก็จะไม่อนุญาตให้นำเข้า ข้อกำหนดต่าง ๆ สำหรับสินค้าแต่ละชนิด ที่สำคัญ ๆ ได้แก่
สินค้าอาหารสำเร็จรูป ต้องปราศจากเชื้อโรค เชื้อรา และสารพิษตกค้างต่าง ๆ นอกจากนี้แล้วต้องมีการปิดฉลากแจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ตามที่กำหนดในกฎหมายการปิดฉลาก เช่น ขนาดบรรจุ ส่วนประกอบ วันหมดอายุ ชื่อและที่อยู่ของผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า
สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักรกล ต้องไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้ใช้ตามข้อกำหนดในด้านมาตรฐาน สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องจักร
สัตว์ป่าและของป่า เพื่อป้องกันมิให้สัตว์ป่าสูญพันธ์หรือเป็นการทำลายป่าไม้ หากเป็นสินค้าต้องห้ามตามรายการในสัญญาวอชิงตัน จะไม่อนุญาตให้นำเข้า
เคมีภัณฑ์ สารพิษต่าง ๆ ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง เมื่อมีสารพิษเจือปนเกินอัตราที่กำหนดเอาไว้ หรือเป็นสารพิษที่ไม่อนุญาตให้ใช้ เช่น ดี.ดี.ที. เป็นต้น จะไม่อนุญาตให้นำเข้า
วัตถุดิบต่าง ๆ รวมทั้งสี ที่นำมาใช้ในการผลิตจะต้องไม่เป็นพิษหรือตกค้างในสินค้าเกินกว่าปริมาณ ที่กำหนดให้มีตกค้างได้
มาตรการด้านภาษี
ภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2541 เยอรมันได้ปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก 1% เป็นร้อยละ 16 การเพิ่มอัตราภาษีครั้งนี้ โดยเฉลี่ยทำให้ราคาของสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอีกประมาณร้อยละ 0.4-0.7
ภาษีนำเข้า
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันใช้ระบบจำแนกพิกัดสินค้าตามระบบ ฮาร์โนไนซ์ (H.S.Code) การเรียกเก็บภาษีจะเรียกเก็บในอัตราเดียวกันกับที่สหภาพยุโรปกำหนดเอาไว้ตามชนิดของสินค้าโดยทั่วไปแบ่งการเก็บออกเป็น 3 ประเภทตามอัตราการเก็บ ดังนี้
- สินค้าจากประเทศอุตสาหกรรม เรียกเก็บเต็มอัตรา
- สินค้าจากประเทศกำลังพัฒนาเสียในอัตราต่ำกว่าอัตราปกติ
- สินค้าจากประเทศด้อยพัฒนา เสียในอัตราต่ำกว่าอัตราสำหรับประเทศกำลังพัฒนา
นโยบายการค้าของเยอรมันดำเนินตามกฎเกณฑ์การค้าเสรีของ WTO ตามโครงการ GSP และข้อตกลงสิ่งทอในด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งตามข้อตกลงที่สหภาพยุโรปได้ตกลงกับกลุ่มประเทศต่าง ๆ กับประเทศกำลังพัฒนา และตามสนธิสัญญาโลเม่ เพื่อส่งเสริมให้การค้าทั่วโลกมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีการเอารัดเอาเปรียบกัน และให้ประเทศที่อยู่ในฐานะที่ด้อยกว่ามีความสามารถในการแข่งขันทางการค้าได้ ตามหลักการเหล่านี้ จึงมีการลดอัตราภาษีนำเข้าให้กับกลุ่มประเทศและบางประเทศแตกต่างกันไปดังนี้
สินค้าอาหาร กว่า 400 ชนิด ที่นำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนาจะเสียภาษีนำเข้าใน อัตราที่ต่ำกว่าอัตราที่เรียกเก็บตามปกติ หรือไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าแต่อย่างใด บางรายการจะมีการกำหนดโควต้าสำหรับการนำเข้า จำนวนที่เกินโควต้าจะต้องเสียภาษีในอัตราปกติ
ประเทศที่ยังคงได้รับสิทธิ์พิเศษเสียภาษีนำเข้าน้อยในอัตราที่ต่ำกว่าของไทย ได้แก่
กลุ่มประเทศในอัฟริกาตอนเหนือ ได้แก่ โมรอคโค อัลจีเรีย และตูเนเซีย เป็นต้น
กลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง ได้แก่ อียิปต์ จอร์แดน
กลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออก และยุโรปกลาง ได้แก่ โปแลนด์ โรมาเนีย ฮังการี เป็นต้น
นอกจากนี้แล้วบางประเทศยังสามารถนำเข้าสินค้าได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านโควต้าอีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นประเทศในอัฟริกา
สินค้าสิ่งทอ
นอกเหนือจากประเทศด้อยพัฒนาและประเทศตามสัญญาโลเม่ จะมีการกำหนดโควต้าในการนำเข้าโดยเสียภาษีนำเข้าในอัตราต่ำกว่าปรกติ สำหรับจำนวนที่เกินโควต้าจะต้องเสียภาษีในอัตราปกติหรือไม่อนุญาตให้นำเข้า
อัตราภาษีนำเข้า
แบ่งแยกตามประเภทของสินค้าจะมีการเรียกเก็บภาษีโดยประมาณ ดังนี้
- สินค้าประเภทวัตถุดิบจะเสียภาษีสูงสุดไม่เกินร้อยละ 4
- สินค้าขั้นปฐมต่าง ๆ อัตราสูงสุดไม่เกินร้อยละ 20
- สินค้าอุตสาหกรรม สำเร็จรูปต่าง ๆ ส่วนใหญ่ ไม่เสียภาษี บางชนิดมีการกำหนดโควต้านำเข้าได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ส่วนที่เกินจะต้องเสียภาษีในอัตราปกติ ได้แก่ สิ่งทอ เครื่องหนัง ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น ซึ่งมีอัตราภาษีนำเข้าสูงสุด
ภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด
ปัจจุบัน ข้อกำหนดในด้านโควต้าสำหรับการนำเข้าได้ถูกยกเลิกไปเป็นจำนวนมาก สินค้าต่าง ๆ เมื่อได้ชำระภาษีนำเข้าแล้วสามารถนำเข้าได้ จึงทำให้มีการตรวจสอบในด้านราคาต้นทุนการผลิตของสินค้าเพิ่มมากขึ้น หากตรวจพบว่าราคาที่เสนอขายต่ำกว่าความเป็นจริงในประเทศผู้ส่งออก สินค้านั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดเพิ่มเติม สินค้าที่เคยมีการพิจารณาเรียกเก็บภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด อาทิเช่น เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าจากญี่ปุ่น เทปวีดีโอจากฮ่องกง แม่เหล็กจากญี่ปุ่นและไต้หวัน แปรงทาสีจากจีน รถยนต์และวิทยุจากเกาหลีใต้ เครื่องเหล็กจากประเทศยุโรปตะวันออก จักรยาน 2 ล้อ จากไต้หวัน เคมีภัณฑ์จากสหรัฐ เป็นต้น
สินค้าของไทยที่เคยถูกพิจารณาเรียกเก็บภาษีทุ่มตลาดเพิ่มเติมและยุติไปแล้ว ได้แก่
- ตลับลูกปืน - ผงชูรส
- ผ้าปูที่นอน - เฟอร์ฟูริล อัลกอฮอล์
- ชิ้นส่วนนาฬิกาข้อมือ - ผ้าผืนใยสังเคราะห์
- แผ่นดิสต์บันทึกข้อมูล
สินค้าที่เสียภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด ได้แก่
- ไฟแช็กชนิดเติมแก๊สไม่ได้ (One-way-lighter) อัตราปัจจุบัน ร้อยละ 5
- โทรทัศน์สี " " 29.8
- จักรยาน " " 13-39.2
- ถุงพลาสติก " " 13.8-94.2
- เส้นใยสังเคราะห์ " " 8-10
- แผ่นดิสเกตต์บันทึกข้อมูล " " 10-38
- รองเท้า " " 50
- เครื่องโทรสาร " " 10.4-22.6
มาตรการที่มิใช่ภาษี
ใบอนุญาตนำเข้า
มีการกำหนดให้มีการขออนุญาตนำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมสำหรับบางประเทศ เช่นจากจีน เกาหลีเหนือ เวียดนาม และมองโกเลีย สำหรับสินค้าเกษตรจะต้องมีใบอนุญาตนำเข้าทุกครั้งได้แก่ สินค้าเกษตรที่ต้องเสียภาษีนำเข้า สินค้าสิ่งทอ ตามข้อตกลงสิ่งทอ ผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าจากประเทศในยุโรปตะวันออก ถ่านหิน และอาวุธ เป็นต้น
การให้โควต้าพิเศษ
สินค้าที่มีโควต้าพิเศษที่สำคัญ ๆ ได้แก่ เนื้อสัตว์ปีก ผลิตภัณฑ์เหล็กและเหล็กกล้าจากประเทศในยุโปรตะวันออกจำนวนโควต้าที่กำหนดปัจจุบันเป็นโควต้ารวมสำหรับทุกประเทศในสหภาพยุโรป มิได้แยกออกเป็นโควต้ารายประเทศดังเช่นที่เคยปฏิบัติมา การจัดแบ่งโควต้าพิเศษนี้ เป็นอุปสรรคต่อการค้าของไทย เพราะทำให้สินค้าไทยที่ส่งออกมาเยอรมันเสียเปรียบในด้านราคาเมื่อเทียบกับประเทศที่ได้รับโควต้าพิเศษนี้
การตรวจสอบสินค้า
โดยทั่วไปแล้วเจ้าหน้าที่ศุลกากรเยอรมันจะไม่เข้มงวดเท่าใด เมื่อมีเอกสารประกอบการนำเข้าครบถ้วน ถูกต้องตามที่กำหนดไว้ในระเบียบข้อบังคับ จะอนุญาตให้นำเข้าสินค้านั้น ๆ ได้แต่บางครั้งก็จะมีการสุ่มตัวอย่างตรวจสอบก่อนอนุญาตให้นำเข้า นอกจากนี้จะมีการนำสินค้าที่วางจำหน่ายตามท้องตลาดมาตรวจสอบความถูกต้องเป็นครั้งคราว หรือเมื่อได้รับแจ้งจากผู้บริโภค ทั้งในด้านสุขอนามัย และตามขนาดบรรจุ เมื่อตรวจพบว่าไม่ถูกต้อง ขัดกับระเบียบ ข้อกำหนดก็จะสั่งยึดและเก็บสินค้านั้น ๆ ออกจากตลาดมาทำลายต่อไป
ในระยะหลังนี้ได้มีการตรวจสอบพบความไม่ถูกต้องของสินค้าที่นำเข้าจากไทยบ่อยครั้งขึ้นโดยเฉพาะดอกไม้สดและพืช ผัก สินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่มีการควบคุมการนำเข้า ซึ่งจะต้องมีเอกสารรับรองออกให้หน่วยงานของไทยแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งนอกจากจะทำให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรเคร่งครัดกับสินค้านำเข้าจากไทยเพิ่มมากขึ้นแล้ว อาจจะมีผลกระทบต่อความเชื่อถือในเอกสารที่ออกโดยหน่วยงานไทยอีกด้วย เป็นสิ่งที่จะต้องให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ
กฏเกณฑ์ใหม่ ๆ สำหรับสินค้า
ความปลอดภัยของผู้บริโภคในด้านสุขภาพ การป้องกันสิ่งแวดล้อม และการสงวนทรัพยากรธรรมชาติมีความสำคัญต่อการค้าเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ ด้วยเหตุนี้จึงมีการกำหนดกฏระเบียบต่าง ๆเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้บรรลุถึงจุดประสงค์ต่าง ๆ เหล่านี้ เยอรมันให้ความสำคัญในเรื่องเช่นนี้มากที่สุดมาตราการและคำแนะนำในส่วนที่เกี่ยวข้องนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นความผิด และความต้องการของเยอรมันกฏเกณฑ์สำคัญ ๆ ที่มีการรับรอง และใช้ในสหภาพยุโรป ได้แก่
ตรา CE เป็นสัญลักษณ์รับรองคุณภาพของสินค้าที่ผลิตขึ้นมาตามข้อกำหนดในด้านความปลอดภัยของผู้บริโภคไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ หรือเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม สินค้าที่ใช้ตรา CE แล้วในปัจจุบัน ได้แก่ ของเด็กเล่น เครื่องจักรกล อุปกรณ์ก่อสร้าง อุปกรณ์ใช้แก๊ส เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้นดังนั้น สินค้าไทยที่จะเข้าสู่ตลาดเยอรมันควรจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงใช้วัตถุดิบในการผลิตที่ตรงตามวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นให้มากขึ้น ก็จะช่วยส่งเสริมให้สินค้าของไทยได้รับความสนใจมากขึ้นหากไม่รีบแก้ไข ในระยะยาวก็จะทำให้ตลาดไม่ยอมรับสินค้าจากไทย
การรับผิดชอบต่อสินค้า สินค้าทุกชนิดที่นำเข้าสู่ตลาดมีข้อกำหนดตามกฏหมายระบุไว้ว่า เมื่อสินค้านั้นเป็นต้นเหตุก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้บริโภคไม่ว่าจะในด้านสุขภาพอนามัยของผู้ใช้ หรือต่อสิ่งแวดล้อม ผู้ผลิตจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในวงเงินไม่เกิน 160 ล้านมาร์คหากเป็นสินค้านำเข้า ผู้นำเข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้านั้น ยกเว้นสินค้าเกษตรที่ยังมิได้แปรสภาพ ด้วยเหตุนี้สินค้าที่ผู้นำเข้าเยอรมันจะนำเข้าจึงต้องเป็นสินค้าที่มีคุณภาพเชื่อถือได้ และเป็นที่แน่ใจได้ว่าจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายกับผู้บริโภคการผลิตสินค้าของไทยจึงต้องคำนึงถึงข้อนี้ให้มาก เพราะความรับผิดชอบดังกล่าวเป็นเรื่องเยอรมันให้ความสำคัญมาก
การนำกลับมาใช้ใหม่ (Recycling) เพื่อเป็นการสงวนวัตถุดิบและทรัพยากรธรรมชาติมีการกำหนดให้มีการนำวัสดุบรรจุสินค้า หีบห่อต่าง ๆ กลับมาใช้ใหม่ด้วยการ Recycling ปัจจุบันมีการกำหนดอัตรานำกลับมาใช้ใหม่สหภาพยุโรปในระหว่างร้อยละ 25-45 แต่ในเยอรมันมีอัตราสูงถึงกว่าร้อยละ 50 การใช้วัตถุดิบบรรจุสินค้าของไทย จึงต้องคำนึงถึงข้อนี้ให้มาก และควรจะใช้วัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ให้มากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้สินค้าไทยเป็นที่นิยมมากขึ้นของผู้นำเข้าเยอรมัน
ระบบ HCCP ระบบควบคุมการผลิตสินค้าให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ทุกขั้นตอนจากสภาพที่เป็นวัตถุดิบไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปนั้น ในส่วนของเยอรมันจะนำมาใช้ตามที่สหภาพยุโรปกำหนด ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการผลิตสินค้าอาหารเพื่อการบริโภคนี้ ในส่วนของเยอรมันมี Food law และข้อกำหนดอื่นๆ ที่เข้มงวดและรัดกุมอยู่แล้ว จึงไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายกับอุตสาหกรรมแขนงนี้
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 2/30 มิถุนายน 2541--