ตามที่กระทรวงการคลังได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศให้เป็นแหล่งระดมทุนในระดับภูมิภาค เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการเพิ่มผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตลาดตราสารหนี้เพื่อรองรับการออกตราสารหนี้ภายใต้กรอบพันธบัตรเอเชีย ซึ่งในชั้นนี้ กระทรวงการคลังได้กำหนดมาตรการในการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชียในประเทศไทย โดย (1) ได้ออกกฎเกณฑ์อนุญาตให้สถาบันการเงินระหว่างประเทศออกพันธบัตรสกุลเงินบาทในประเทศไทย และ ADB เป็นรายแรกที่ออกพันธบัตรสกุลเงินบาท เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2548 โดยมีวงเงิน 4,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.87 ต่อปี และ (2) ได้ออกกฎเกณฑ์อนุญาตให้รัฐบาลหรือสถาบันการเงินของรัฐบาลต่างประเทศออกพันธบัตรสกุลเงินบาทในประเทศไทย และธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan Bank for International Cooperation หรือ JBIC) ได้ยื่นคำขอออกพันธบัตรสกุลในประเทศไทย วงเงิน 3,000 ล้านบาท และกระทรวงการคลังได้อนุมัติคำขอดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2548 นั้น
วันนี้ JBIC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ซิตี้คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัด ได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยการจัดจำหน่ายพันธบัตรสกุลเงินบาทของ JBIC ณ โรงแรม Grand Hyatt Erawan โดยมี นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นประธานในพิธี
พันธบัตรสกุลเงินบาทที่ JBIC ออกจำหน่าย วงเงิน 3,000 ล้านบาท โดยมีรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้ค้ำประกัน จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.78 ต่อปี สำหรับระยะไถ่ถอน 5 ปี ซึ่งเทียบเท่าอัตรา ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ระยะ 5 ปี บวกด้วยส่วนต่าง 28 Basis Points และผลจากการจัดจำหน่ายพันธบัตรดังกล่าวปรากฏว่ามีมีปริมาณการเสนอซื้อมากกว่าวงเงินที่ออก 1.5 เท่า
การออกพันธบัตรสกุลเงินบาทของ JBIC ในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่สถาบันการเงินของ รัฐบาลต่างประเทศได้ดำเนินการออกพันธบัตรสกุลเงินบาทภายใต้มาตรการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Market Initiative) ในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะช่วยพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยให้มีผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ที่หลากหลายเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน นอกจากนี้ ยังเป็นการดึงดูดความสนใจในการลงทุนจากนักลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งปรากฏว่า มีนักลงทุนชาวต่างชาติลงทุนในพันธบัตรที่ออกโดย JBIC ถึงร้อยละ 10 ของวงเงินที่ออก
สำหรับเงินที่ได้จากการออกพันธบัตรในครั้งนี้ JBIC กำหนดจะนำไปให้กู้ต่อแก่ธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย เพื่อนำไปให้บริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินกิจการในประเทศไทยกู้ต่ออีกลำดับหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถจัดหาเงินลงทุนที่มีต้นทุนต่ำและไม่มีความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน อันจะทำให้บริษัทญี่ปุ่นที่มาลงทุนในประเทศไทยสามารถขยายกำลังการผลิตได้มากขึ้น และเป็นผลดีต่อประเทศไทยในการที่จะเป็นฐานการผลิตในระดับภูมิภาค ดังนั้น การออกพันธบัตรในครั้งนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญอีกก้าวหนึ่งของความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจที่กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 68/2548 1 กันยายน 48--
วันนี้ JBIC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ซิตี้คอร์ป (ประเทศไทย) จำกัด ได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยการจัดจำหน่ายพันธบัตรสกุลเงินบาทของ JBIC ณ โรงแรม Grand Hyatt Erawan โดยมี นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นประธานในพิธี
พันธบัตรสกุลเงินบาทที่ JBIC ออกจำหน่าย วงเงิน 3,000 ล้านบาท โดยมีรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้ค้ำประกัน จะกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.78 ต่อปี สำหรับระยะไถ่ถอน 5 ปี ซึ่งเทียบเท่าอัตรา ผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย ระยะ 5 ปี บวกด้วยส่วนต่าง 28 Basis Points และผลจากการจัดจำหน่ายพันธบัตรดังกล่าวปรากฏว่ามีมีปริมาณการเสนอซื้อมากกว่าวงเงินที่ออก 1.5 เท่า
การออกพันธบัตรสกุลเงินบาทของ JBIC ในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่สถาบันการเงินของ รัฐบาลต่างประเทศได้ดำเนินการออกพันธบัตรสกุลเงินบาทภายใต้มาตรการพัฒนาตลาดพันธบัตรเอเชีย (Asian Bond Market Initiative) ในประเทศไทย ซึ่งนอกจากจะช่วยพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยให้มีผลิตภัณฑ์ตราสารหนี้ที่หลากหลายเพิ่มขึ้นแล้ว ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้นักลงทุน นอกจากนี้ ยังเป็นการดึงดูดความสนใจในการลงทุนจากนักลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งปรากฏว่า มีนักลงทุนชาวต่างชาติลงทุนในพันธบัตรที่ออกโดย JBIC ถึงร้อยละ 10 ของวงเงินที่ออก
สำหรับเงินที่ได้จากการออกพันธบัตรในครั้งนี้ JBIC กำหนดจะนำไปให้กู้ต่อแก่ธนาคารพาณิชย์ญี่ปุ่นในประเทศไทย เพื่อนำไปให้บริษัทญี่ปุ่นที่ดำเนินกิจการในประเทศไทยกู้ต่ออีกลำดับหนึ่ง ซึ่งจะช่วยให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถจัดหาเงินลงทุนที่มีต้นทุนต่ำและไม่มีความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยน อันจะทำให้บริษัทญี่ปุ่นที่มาลงทุนในประเทศไทยสามารถขยายกำลังการผลิตได้มากขึ้น และเป็นผลดีต่อประเทศไทยในการที่จะเป็นฐานการผลิตในระดับภูมิภาค ดังนั้น การออกพันธบัตรในครั้งนี้ถือเป็นก้าวที่สำคัญอีกก้าวหนึ่งของความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจที่กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 68/2548 1 กันยายน 48--